VENICE – Queen of the Adriatic
Story by Editorial Staff
หากเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม ที่นี่คงคึกคักไปด้วยผู้คนและครื้นเครงไปด้วยเสียงดนตรี กับเทศกาลเวนิสคาร์นิวัล (Venice Carnival) ที่สุดแสนยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มต้นฤดูร้อนลากยาวไปถึงเดือนกรกฎาคม ช่วงนี้ก็จะคราครั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นฤดูกาลที่นักท่องเที่ยวนิยมอีกหนึ่งช่วงฤดูกาล หลายคนเดินทางมาเวนิซเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตแห่งสายน้ำ เดินทางท่องเที่ยวไปในเมืองที่ถนนน้อย ใช้บริการการนั่งเรือในการสัญจรไปมา ล่องเรือกอนโดล่าในแกรนด์คาแนล เพื่อชมวิถีชีวิตของบ้านเรือนริมน้ำ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวของเวนิซก็มีมากมาย ก่อนอื่นต้องขอแนะนำการเดินทางมาเวนิซก่อน
เวนิซอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี เราสามารถเดินทางมาได้ทั้งเครื่องบินและรถไฟ สำหรับมาเครื่อง สามารถลงที่สนามบินเวนิสมาร์โคโปโล (Venice Marco Polo Airport) และต่อรถบัสเข้าไปยังตัวเมืองเวนิส แต่ถ้ามารถไฟจากจุดต่างๆ ของยุโรป ให้เลือกไปที่สถานีรถไฟเวเนเซียซานตาลูเซีย (Stazione di Venezia Santa Lucia) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองเวนิสที่มีเส้นทางเดินรถเชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ ได้อย่างสะดวก และอย่างที่ทราบกันคือ เวนิสเดินทางสัญจรไปมาด้วยเรือ สำหรับเรือประจำทาง ที่เรียกว่า “Water-bus นั้นให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ค่าโดยสารหากเป็นนักท่องเที่ยวแนะนำให้ซื้อตั๋ว 1 Day หรือ 2 Days ตามที่สะดวกได้เลย สามารถเดินทางไปมาได้มากกว่า 120 ท่า และมีเส้นทางเดินเรือประมาณ 30 เส้นทาง สถานที่ท่องเที่ยวหลักที่ต้องพุ่งตัวกันไปเลยก็คงหนีไม่พ้นจัตุรัสเปียซซ่า ซานมาร์โคและหอระฆังซานมาร์โค (Piazza San Marco & San Marco Campanile) ซึ่งในบริเวณเดียวกันก็ยังมีมหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco & Museo di San Marco) รวมไปถึงพระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเล (Palazzo Ducale) และสะพานบริดจ์ออฟไซส์ (Bridge of Sighs) ที่เลื่องชื่อ
จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โค (Piazza San Marco) มหาวิหารซานมาร์โค (Basilica di San Marco) และ หอระฆังซานมาร์โค (San Marco Campanile)
เราสามารถนั่งเรือหรือเดินมาย่านซานมาร์โค ซึ่งจะอยู่ริมแกรนด์คาแนลได้ จตุรัสแห่งนี้นับว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองเวนิสมามากกว่า 10 ศตวรรษ เเสดงถึงวัฒนธรรมที่สูงส่งเเละความเจริญก้าวหน้า หนึ่งที่เที่ยวไฮไลต์ของเวนิส
ภายในประกอบด้วยลานจตุรัส และสิ่งก่อสร้างสำคัญของเมืองมากมาย เริ่มที่ พื้นที่จัตุรัส ที่เป็นลานกว้าง ส่วนที่รอบล้อมของลานแห่งนี้ คืออาคารสถาปัตยกรรม เเบบกอทิกที่เป็นทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เเละเป็นเเหล่งท่องเที่ยว ชื่อของจัตุรัสแห่งนี้นั้นตั้งตาม Basilica San Marco มหาวิหารอันโดดเด่นสวยงาม ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของจัตุรัส
มหาวิหารแห่งนี้นั้นเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการมาท่องเที่ยวเมืองเวนิส และเป็นหนึ่งในสี่ของมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีอีกด้วย จุดเด่นของวิหารคือ Campanile di San Marco หอระฆังของโบสถ์ซึ่งมีความสูงประมาณ 90 เมตร สามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพความงามมุมสูงของเมืองเวนิสด้านบนได้ ด้านเหนือของจตุรัสมีหอนาฬิกา St.Mark’s Clocktower เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นจุดเด่นและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากที่สุดแห่งหนึ่งบนจัตุรัสแห่งนี้
ชาวเมืองเวนิสส่วนใหญ่จะเรียกจัตุรัสแห่งนี้โดยย่อว่า ลาปียัซซา (la Piazza) นโปเลียนเคยยกย่องจัตุรัสแห่งนี้เป็น “ห้องวาดภาพของยุโรป” หากมาช่วงเช้า คุณจะสัมผัสถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย จิบกาแฟ เริ่มอาหารเช้าไปพร้อมกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา ส่วนช่วงเย็น รรยากาศก็สุดแสนโรแมนติก
พระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเล (Palazzo Ducale)
ติดกับมหาวิหารซานมาร์โคแค่ 120 เมตร คือพระราชวังดอเจ (Doges) หรือปาลัซโซ่ดูคาเล (Palazza Ducale) เป็นพระราชวังเก่าสถาปัตยกรรมกอทิกแบบเวนิส ที่มีอายุราวๆ หนึ่งพันปี สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1340 และพระราชวัง แห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของดอเจแห่งเวนิส ผู้ปกครองสูงสุดของอดีตสาธารณรัฐเวนิส และยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการต่างๆ ในยุคนั้นอีกด้วย พระราชวังนี้ผ่านการปรับโครงสร้างและสร้างใหม่อยู่หลายครั้งตามแต่ละยุคสมัยของผู้ปกครอง อาคารแรกเริ่มเป็นอาคารแบบปิดล้อมรอบไปด้วยกำแพงวัง ต่อมาจึงปรับปรุงเป็นอาคารเปิดหลังประสบเหตุเพลิงไหม้ และมีการขยายวังไปจนสุดริมคลอง
แม้ภายนอกจะเป็นสถาปัตยกรรมกอทิก แต่ภายในพระราชวังตกแต่งด้วยมัณฑนศิลป์ หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบไบแซนไทน์, เรอแนซ็องส์ คลาสสิกใหม่เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานอันหลากหลาย ตัวอาคารแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ ส่วนที่หนึ่งอาคารหน้า ถือเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุด หันออกไปทางทะเล ส่วนที่สองหันเข้าหาจัตุรัสซานมาร์โค ส่วนที่สามติดกับคลองด้านสะพานบริดจ์ออฟไซท์ แต่เดิมเป็นที่ประทับของเจ้าเมืองเวนิส ต่อมาใช้เป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ พระราชวังแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1923 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาตร์ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของเมืองเวนิสอีกด้วย
สะพานบริดจ์ออฟไซส์ (Bridge of Sighs)
เดินต่อมาอีก 140 เมตรก็จะเห็น สะพานบริดจ์ออฟไซส์เป็นสะพานหินโค้งเก่าแก่ ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1641 โครงสร้างสะพานเป็นซุ้มโค้งปิดทึบรอบด้าน ความยาว 11 เมตร สูงประมาณ 9 เมตร มีช่องหน้าต่างขนาดเล็กไว้คอยรับแสง สะพานถูกใช้เป็นทางเชื่อมจากอาคารพระราชวังปาลัซโซ่ ดูคาเล (Palazzo Ducale) ทอดข้ามคลองริโอดิปาลัซโซไปยังเรือนจำแห่งใหม่ (New Prision)
โดยชื่อของสะพาน แปลได้ว่า สะพานแห่งเสียงถอนหายใจ สะท้อนถึงเสียงถอนใจของบรรดานักโทษที่ผ่านการพิพากษา และส่งตัวผ่านทางสะพานบริดจ์ออฟไซส์เพื่อไปคุมขังยังเรือนจำอีกฝั่ง ซึ่งนักโทษจะมองเห็นอิสรภาพของโลกภายนอกครั้งสุดท้ายได้จากช่องหน้าต่างเล็กๆ บนสะพานแห่งนี้ ทัศนียภาพของอ่าวซานมาร์โค (San Marco Basin) และเกาะซันจิออร์จิโอแม็กจิออเร (San Giorgio Maggiore) ชวนเจ็บปวด นำมาสู่ความเศร้าโศกและเสียงถอนใจเมื่อต้องข้ามไป
ปัจจุบันนี้สะพานบริดจ์ออฟไซส์และคุกไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป แต่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของพระราชวัง ได้รับความนิยมอีกแห่งของเมืองเวนิส โดยนักท่องเที่ยวนิยมสามารถเดินเที่ยวชมสะพานได้บริเวณทางเดินเลียบคลองและสะพานข้ามคลองด้านข้างพระราชวัง หรือจะนั่งเรือกอนโดล่าเที่ยวชมเพื่อให้ได้บรรยากาศแห่งเมืองเวนิสก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยม
สะพานริอัลโต (Ponte di Rialto)
จากสะพานบริดจ์ออฟไซส์เดินไปตามเส้นทางประมาณ 650 เมตรก็จะเป็นสะพานริอัลโต อีกหนึ่งสะพานยอดนิยมของเวนิส ที่ไม่ว่าคุณจะเดินเที่ยวหรือลงเรือกอนโดล่า ก็จะต้องผ่านสะพานที่เป็นเหมือนหัวใจของเวนิสแห่งนี้ สะพานหินโค้งแห่งนี้ใช้สำหรับสัญจรข้ามข้ามคลองแกรนด์คาแนล (Grand Canal) อายุเก่าแก่นับ 100 ปี เชื่อมพื้นที่ระหว่างเขต San Marco และเขต San Polo เดิมมีโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นบนไม้ระแนงมากกว่า 12,000 ชิ้น ปัจจุบันถูกออกแบบและสร้างใหม่ ให้เป็นสะพานทรงโค้ง ที่ยาว 7.5 เมตรหรือประมาณ 24 ฟุต
ต่อมาสะพานได้รับการแก้ไขโดย Antonio Da Porte ที่แข่งขันชนะจิตรกรชื่อดังอย่าง Michelangelo ในการทำสัญญาว่าจ้างในการสร้างสะพาน การแก้ไขได้ทำการผสมผสานความงามเข้ากับประโยชน์ใช้สอยได้อย่างลงตัว ความโค้งสูงที่สมมาตรและยอดตรงกลางสะพานเป็นเอกลักษณ์อย่างดีของสะพานแห่งนี้ที่ทำให้แตกต่างจากสะพานมากมายที่เชื่อมเกาะต่างๆ ของเวนิส โดยสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1591 สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เพราะนอกจากจะมีทางเดินข้ามถึง 3 เส้นแล้ว ปัจจุบันสะพานมีทางเดินทั้งหมดสามทาง ประกอบด้วยทางเดินตรงกลางและขนาบด้วยบริเวณสองข้างของรั้วด้านนอก ทางเดิน ตรงกลางที่กว้างนั้นยังมีร้านขายของเล็กๆ มาเปิดบนสะพานนี้ด้วยให้เดินเลือกซื้อของได้ด้วยและยังเป็นจุดชมวิวคลองแกรนด์คาแนลอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเทุี่ยว
มหาวิหารซานตามารียา เดลล่า ซาลูเต (Basilica di Santa Maria della Salute)
โบสถ์โรมันคาทอลิก ตั้งอยู่ริมฝั่งคลองแกรนด์คาแนล หรือที่มักเรียกกันสั้นๆ ว่าโบสถ์ซาลูเต เป็นอีกหนึ่งมหาวิหารเก่าแก่ที่เป็นศูนย์รวมใจและพลังแห่งศรัทธาของชาวเวนิสจากเป็นมหาวิหารที่ทางการสร้างขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระแม่มารีที่ช่วยพิทักษ์รักษาเมืองเวนิสให้รอดพ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อกาฬโรค (Plague) อย่างรุนแรงทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1630 และลุกลามเข้าเมืองเวนิสกินระยะเวลาถึงปี ค.ศ. 1631
ตัวของมหาวิหารสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1631 นั่นเอง เป็นแบบสถาปัตยกรรมบาโรก (Baroque Architecture) โดยนายบัลดัสซาเร ลองเฮนา (Baldassare Longhena) นายสถาปนิกมือหนึ่งในยุคนั้น สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1687
โดดเด่นด้วยหลังคาโดมที่มีขนาดใหญ่ มีโดมขนาดเล็กซ้อนอยู่ด้านบน และมีรูปสลักพระแม่มารี (The Virgin Mary) ประดิษฐานอยู่ด้านบนยอด นอกจากนี้ยังมีรูปสลักบุคคลสำคัญทางศาสนาอื่นๆ ประดับตกแต่งอยู่บริเวณอาคารด้านนอก ภายในโบสถ์โดดเด่นด้วยแท่นบูชาสูง และมีการประดับตกแต่งด้วยภาพเขียน และผลงานประติมากรรมเก่าแก่และล้ำค่าหลายชิ้น ไม่ว่าใครจะผ่านไปมาในเมืองเวนิส ก็จะต้องเห็นมหาวิหารนี้ทั้งนั้น
คลองแกรนด์คาแนล (Grand Canal)
สำหรับเรายกให้คลองแกรนด์คาแนล คือที่สุดของเวนิส คลองแกรนด์คาแนลเป็นคลองใหญ่สายหลัก ตัดผ่านใจกลางเมืองเวนิส มีความยาวคดเคี้ยวเป็นรูปตัว S ทอดยาวไปเป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร มีความลึกประมาณ 5 เมตร จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือเลาะเลี้ยวไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้บรรจบกับอ่าวซานมาร์โค เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำสายหลักของเมืองเวนิส เปรียบเสมือนถนนทางหลวง มีทั้งเรือสาธารณะอย่าง Water-bus เรือแท็กซี่เฟอร์รี่ และ และเรือกอนโดล่าซึ่งเป็นเรือพายท้องถิ่นที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการเพื่อที่จะได้ล่องเรือเที่ยวชมความสวยงามของทัศนียภาพสองฝั่งคลองอย่างใกล้ชิด
โดยบริเวณสองฝั่งคลองนั้นโดดเด่นด้วยอาคารบ้านเรือนที่มีความหลากหลายทางด้านสถาปัตยกรรมในยุคต่างๆ ที่ส่วนหนึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13-18 อย่างเช่น พระราชวังปาลัซซี บาร์บาโร่ (Palazzi Barbaro) พระราชวัง ปาลัซโซ่ ซานตา โซเฟีย (Palazzo Santa Sofia) พิพิธภัณฑ์ศิลปะเป็กกี้ กุกเกนไฮม์ คอลเลคชั่น (Peggy Guggenheim Collection) และมหาวิหารซานตามารียา เดลล่า ซาลูเต (Basilica di Santa Maria della Salute) เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนสภาพวิถีชีวิตของเมืองแห่งสายน้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยเหตุนี้เองคนทั่วโลกจึงมักจะนึกถึงภาพคลองแกรนด์คาแนลเป็นอันดับแรกเมื่อกล่าวถึงเมืองเวนิส และไม่ว่าวันไหนๆ คุณจะได้ยินเสียงน้ำสาดกระเซ็นกระทบไม้พายของเรือกอนโดล่าที่ค่อยๆ ล่องไปทั่วเมืองดังที่เป็นมานานหลายศตวรรษ