Sweet Switzerland
Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นดินแดนในฝันของใครๆ หลายคน เพราะเป็นประเทศที่มีหิมะ ภูเขา เมืองเก่า และทะเลสาบแสนสวย แม้ว่าเรื่องราวของสวิตเซอร์แลนด์จะถูกถ่ายทอดกันไว้มากแล้ว แต่ฉันก็เชื่อว่าดินแดนแห่งนี้มีเสน่ห์เรียกร้องให้ใครอยากไปสัมผัสอยู่อย่างไม่จืดจาง
ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่ฉันมีโอกาสได้ไปทำงานและใช้ชีวิตช่วงสั้นๆ ณ ประเทศในฝัน ฉันพยายามตักตวงทุกช่วงเวลาและโอกาสที่จะได้ออกไปสัมผัสและทำความรู้จักกับสวิตเซอร์แลนด์ให้มากที่สุด แล้วฉันก็ได้พบว่าภาพแห่งความจริงที่ได้เห็นแทบไม่แตกต่างจากภาพฝันในห้วงคำนึงสักนิดเลย แม้สวิตเซอร์แลนด์จะเป็นประเทศเล็ก แต่ไม่อาจใช้เวลาแค่นิดเดียวได้ เพราะเมื่อเริ่มเดินทางไปยังเมืองต่างๆ เราอาจถูกตราตรึงให้ใช้เวลาดื่มด่ำอยู่กับบรรยากาศตรงนั้นเนิ่นนาน เสน่ห์ของสวิตเซอร์แลนด์ยิ่งใหญ่และไม่ใช่เพียงแค่ทิวทัศน์แสนสวย ธรรมชาติ ขุนเขา และทะเลสาบใส แต่รวมถึงคุณภาพมาตรฐาน วิถีชีวิต ความคิดของผู้คน และความงามของประวัติศาสตร์สถานที่ด้วย
ภาพฝัน Matterhorn
ภาพของแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ยอดเขาหินทรงพีระมิด ผลงานการสกัดตัดแต่งของธารน้ำแข็งและลมฟ้าอากาศ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รูปร่างสวยงามของยอดเขาแห่งนี้ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องหมายการค้าของช็อกโกแลตยี่ห้อดัง Toblerone และตราสัญลักษณ์ของบริษัทภาพยนตร์พาราเม้าท์พิคเจอร์ของฮอลลีวู้ดอเมริกา การเดินทางสู่ภาพฝันของฉันเริ่มต้นจากการนั่งรถไฟ Glacier Express ไปยังเมืองเซอร์แมท (Zermatt) หมู่บ้านเล็กท่ามกลางเทือกเขาแอลป์อันโด่งดัง สถานที่พักตากอากาศและเล่นสกีฤดูหนาวที่มีชื่อเสียงระดับโลก เซอร์แมทยังคงกลิ่นอายของหมู่บ้านสวิสโบราณทางตอนใต้ไว้ได้อย่างดี บรรยากาศแสนโรแมนติก อากาศดีสดใสไร้มลพิษ เพราะรถยนต์ประเภทที่ใช้แก๊สและน้ำมันจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปวิ่งในเขตเมือง (Car free zone) ยกเว้นจักรยาน รถม้า หรือรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ไปวิ่งเพ่นพ่านในตัวเมืองได้ ด้วยความเป็นเมืองเล็กมีถนนอยู่แค่ 4 – 5 สาย เราจึงสามารถใช้สองเท้าเดินทอดน่อง ซอกแซกไปได้ทั่ว บนถนนสายหลักของเมืองมีทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวปรารถนา ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านเบเกอรีในบรรยากาศบ้านไม้ชาเลต์
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันรีบตื่นไปขึ้นรถไฟสาย Gornergrat Railway เพื่อไปยังจุดหมายที่แท้จริง นั่นก็คือ ยอดเขาสวยแมทเทอร์ฮอร์น ปลายทาง อยู่ที่ยอดเขา Gornergrat ณ ระดับความสูง 3,089 เมตรจากระดับน้ำทะเล การเดินทางโดยรถไฟใช้เวลาประมาณ 45 นาที และจะจอดแวะทั้งหมด 4 จุด ได้แก่ Riffelalp, Riffelberg, Rotenboden/Riffelsee และ Gornergrat โดยเราสามารถแวะลงจุดที่รถไฟจอดได้ทุกจุด เพียงต้องกำตั๋วรถไฟไว้ให้แน่นและตรวจสอบตารางเวลารถไฟให้ดี ระหว่างทางก็ปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับภาพวิวธรรมชาติที่สวยงาม เมื่อลงจากรถไฟที่สถานี Gornergrat ฉันสัมผัสได้ถึงความหนาวที่กระทบผิวหน้า ถึงแม้ในฤดูร้อนจะมีแสงแดดอุ่น แต่ด้านบนนี้ก็ยังมีธารน้ำแข็งและหิมะขาวปกคลุมยอดเขาให้เราได้ชม ฉันเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ธารน้ำแข็งที่ทอดตัวอยู่ด้านหน้าทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราได้ใกล้ชิดและเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หลังจากเดินเล่นตรงนั้นอยู่พักใหญ่ ฉันเริ่มเดินลงจากสถานี Gornergrat มุ่งหน้าไปทางสถานี Rotenboden/Riffelsee เพื่อจะได้ชมยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นให้ได้ใกล้ชิดติดตามากขึ้น ทางเดินเป็นเนินโล่งจึงสามารถมองเห็นเส้นทางได้ชัดเจนและมีป้ายบอกทางตลอดไม่ต้องกลัวหลง ซึ่งชาวสวิสค่อนข้างภูมิใจกับป้ายบอกทางบนเขามาก เพื่อนร่วมงานชาวสวิสบอกฉันว่า โอกาสที่จะหลงทางหรือหลงเขาสวิสมีน้อยมาก แต่โอกาสที่จะหลงรักอาจจะเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์
ยิ่งก้าวขาออกเดินก็ยิ่งเห็นยอดแมทเทอร์ฮอร์นใกล้ชิดมากขึ้น ฉันใช้เวลาเดินประมาณ 30 – 40 นาที ก็ได้มาสัมผัสกับความงามที่สงบนิ่งของทะเลสาบ Riffelsee ที่มีฉากหลังเป็นความยิ่งใหญ่ตระการตาของยอดแมทเทอร์ฮอร์นและเทือกเขาแอลป์ เส้นทางเดินนี้เปิดในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น เส้นทางไม่ลำบากและชันมากนัก แต่มีหินมากหน่อย ดังนั้นควรใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าเดินเขาที่มีส้นหนาพอควร น้ำในทะเลสาบนิ่งสะท้อนภาพแนวเขาราวกับกระจก ข้อดีของการเดินทางมาตอนเช้าคือ คนน้อย บรรยากาศริมทะเลสาบสงบงดงามราวกับสรวงสวรรค์ และโรแมนติกอย่างร้ายกาจ ณ บริเวณนั้นมีเพียงฉันและนักเดินทางหนุ่มชาวญี่ปุ่นเพียงแค่ 2 คน หลังจากแลกกันเป็นตากล้องถ่ายภาพเดี่ยวคู่กับยอดเขาในฝันกันคนละ 2 – 3 ภาพ เราต่างแยกย้ายกระจายตัวนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ริมทะเลสาบ ดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้าจนอิ่มใจ
หลังจากกลับลงมารับประทานอาหารเที่ยงในตัวเมืองเซอร์แมท ฉันเลือกไปสัมผัสยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นจากอีกมุมหนึ่ง โดยการนั่งกระเช้าลอยฟ้าหรือเคเบิ้ลคาร์ (Matterhorn Express Gondola) จากสถานีที่เซอร์แมท เคเบิ้ลคาร์ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปจนถึงสถานีสุดท้าย Klien Matterhorn ที่ตั้งอยู่ ณ ระดับความสูง 3,883 เมตรจากระดับน้ำทะเล นับเป็นสถานีเคเบิ้ลคาร์ที่สูงที่สุดในยุโรปและเป็นจุดสูงสุดของเขตสกี Zermatt – Cernivier ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย บรรยากาศบนนั้นหนาแน่นไปด้วยนักสกี
ฉันแอบแปลกใจที่คนที่นี่ยังคงเล่นสกีแม้ย่างเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ฉันตัดสินใจ นั่งกระเช้ากลับลงมาที่สถานี Furi เพื่อตั้งต้นเดินเท้ากลับลงไปยังตัวเมืองเซอร์แมท เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดินเขาเล็กๆ ผ่านหมู่บ้านน้อยๆ และบ้านไม้ชาเลต์กลางหุบเขา ตลอดเส้นทางเราจะได้ชื่นชมยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นในหลายๆ มุม ถึงแม้จะเดินทางคนเดียวแต่ฉันก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะมียอดเขาในฝันอยู่ข้างๆ ตลอดการเดินทาง ฉันใช้เวลาเดินเท้าเกือบ 2 ชั่วโมงกลับมาถึงเมืองเซอร์แมท แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้า แต่รู้สึกคุ้มค่าและเต็มอิ่มกับประสบการณ์เดินทาง ฉันไม่แปลกใจเลยที่ความน่ารักของหมู่บ้านแห่งนี้และภาพเทือกเขาริมขอบฟ้า มีมนต์เสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย
Swiss Riviera เส้นทางเลียบทะเลสาบสุดโรแมนติก
เปลี่ยนบรรยากาศจากยอดเขาหิมะเป็นทะเลสาบแสนชิล Swiss Riviera เป็นเส้นทางเลียบทะเลสาบเจนีวาที่สุดแสนโรแมนติก โดยจะผ่านเมืองสวยริมทะเลสาบมากมาย อาทิ เมืองใหญ่เจนีวา (Geneva) เมืองเก่าชื่อดังโลซานน์ (Lausanne) และเมืองแห่งปราสาทมองเทรอซ์ (Montreux) ซึ่งเมืองเหล่านี้เป็นที่รู้จักดีในหมู่นักท่องเที่ยว แต่หลายคนอาจมองข้ามเมืองเล็กนามว่าเวเว่ย์ (Vevey) เพราะแทบจะมองไม่เห็นในแผนที่ท่องเที่ยว และตั้งอยู่ไม่ไกล จากเมืองดังอย่างมองเทรอซ์หรือโลซานน์เลย ฉันชอบมานั่งชมวิวเดินเล่นริมทะเลสาบที่เมืองเวเว่ย์ในวันหยุดสุดสัปดาห์มากกว่าเมืองใหญ่อื่นๆ ในสวิสริเวียร่าเพราะได้บรรยากาศพักผ่อนมากกว่าบรรยากาศท่องเที่ยว ภาพคู่รักและเพื่อนฝูงนั่งชิลพูดคุย ภาพครอบครัวเดินเล่นออกกำลังกายด้วยกัน ภาพทะเลสาบสีฟ้าเข้มมีขุนเขาเป็นฉากหลัง ภาพเป็ดน้อยลอยละล่องบนผิวน้ำ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นในหัวใจให้กับคนไกลบ้านอย่างฉันได้ดีเสมอ
หากมาถึงเมืองเวเว่ย์ควรต้องแวะไปชม Musée de l’alimentation หรือ Alimentarium พิพิธภัณฑ์อาหารที่เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทเนสท์เล่ – บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารและเครื่องดื่มของโลก ภายในมีการจัดแสดงให้เห็นวิถีการบริโภคของผู้คนที่แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม มีการอธิบายว่าอาหารแต่ละชนิดนั้นเกิดขึ้นและได้รับความนิยมได้อย่างไร และมีจุดทดสอบประสาทสัมผัสของเราที่มีต่ออาหาร นอกจากนั้นเรายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับแคลอรีอาหารที่บริโภค ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์มีประติมากรรมสุดเก๋เป็น “ส้อม” ขนาดยักษ์ปักไว้ในน้ำ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไปแล้ว
ใกล้ๆ กันมีรูปปั้นของชาร์ลี แชปลิน (Chaplin Statue) ที่ใครๆ ก็ต่างเดินเข้าไปถ่ายภาพคู่เป็นที่ระลึก บริเวณนี้ยังเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นแหล่งทำไร่องุ่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย เชื่อว่าหากใครได้มาเยือนที่นี่จะต้องหลงเสน่ห์ “ไข่มุกแห่งสวิสริเวียร่า” แห่งนี้อย่างแน่นอน
ทุ่งหญ้า ภูเขาเขียว และปราสาทโบราณแห่งเมืองชีส
จากเขตสวิสริเวียร่าเดินทางไปทางเหนือสู่เมืองกรุยเยร์ (Gruyéres) เป็นเมืองที่มีชื่อด้านการทำชีส คนที่มาเที่ยวเมืองกรุยเยร์ส่วนใหญ่จะตามกลิ่นชีสมา หลายคนเดินทางมาที่นี่เพื่อมาชิมอาหารประจำชาติสวิสอย่าง “ชีสฟองดู (Fondue)” ขนมปังก้อนเล็กๆ จุ่มในหม้อร้อนที่บรรจุเนยแข็ง เคี่ยวละลายในไวน์ขาว เหล้าเชอร์รี และเครื่องเทศ และอีกเมนู “Raclette” ชีสเนื้อกึ่งแข็งที่ทำจากนมวัว เวลารับประทานนิยมละลายด้วยความร้อนรับประทานกับมันฝรั่งลูกเล็ก แตงกวาดอง หอมดองและเนื้อแห้งคล้ายกับการรับประทานชีสฟองดู
ณ ลานกลางเมืองมักมีนักดนตรีแต่งตัวแบบสวิสโบราณมาบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีแบบสวิสแท้ๆ ให้ได้ฟังเพลินๆ ขณะนั่งรับประทานอาหารหรือนั่งจิบกาแฟในบริเวณนั้นด้วย หลังอิ่มท้อง ให้ลองเดินออกกำลังน่องขึ้นไปยังปราสาทโบราณที่ตั้งบนเนินเขา ชื่อว่า Château de Gruyéres ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ในศตวรรษที่ 11 ด้านหน้าประตูของปราสาทเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวเขาและทุ่งหญ้าสีเขียวรายรอบ เรายังได้เห็นเมืองกรุยเยร์ในมุมสูง บรรยากาศแบบชาวบ้านแสนคลาสสิกหากใครสนใจกรรมวิธีการผลิตที่มาของรสชาติชีสนุ่มละมุนลิ้น ก็สามารถไปชมได้ที่โรงงาน La Maison du Gruyere ต้นตำรับการผลิตเนยแข็งที่ขึ้นชื่อของสวิสซึ่งมีสีเหลืองอ่อน รสชาติมันเข้มข้น หรือจะไปเข้าชมการผลิตช็อกโกแลตที่โรงงาน Cailler Nestle ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน
แม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะไม่ได้เป็นแหล่งปลูกโกโก้และไม่ได้เป็นแหล่งผลิตช็อกโกแลตที่ใหญ่ที่สุดของโลก แต่เป็นที่รู้กันว่าถ้าเอ่ยถึง Swiss Chocolate นั่นหมายถึงช็อกโกแลตชั้นเยี่ยม รสชาติดี และคนสวิสยังบริโภคช็อกโกแลตมากที่สุดในโลกด้วย กรุยเยร์จะเป็นเมืองเล็กที่ให้บรรยากาศแบบยุคกลางท่ามกลางธรรมชาติแสนสวย แถมด้วยอาหารอร่อยครบรสจึงไม่ควรพลาดที่จะมาเยือนด้วยประการทั้งปวง
First (เฟีร์ยสท) Love at first sight
การฝึกงาน 3 เดือนของฉันในสวิตเซอร์แลนด์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนเดินทางกลับฉันตั้งใจไปเที่ยวแถวยุงเฟรา (Jungfrau) เพราะเคยมีคนได้กล่าวไว้ว่า มาสวิตเซอร์แลนด์ทั้งทีถ้าไม่ได้ขึ้นยุงเฟรา ถือว่ามาไม่ถึงสวิตเซอร์แลนด์ ฉันจึงชวนเพื่อนร่วมงานชาวสวิสที่ยังไม่เคยเห็นยอดเขายุงเฟราเหมือนกัน โดยเราออกเดินทางด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์สุดท้ายของฉัน ยุงเฟราเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของยุโรป มีความสูง 4,158 เมตรจากระดับน้ำทะเล จนถูกเรียกขานว่าหลังคายุโรป (Top of Europe) เป็นสถานที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความงามเพราะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นได้ไกล มีถ้ำน้ำแข็งที่แกะสลักอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง 30 เมตร และธารน้ำแข็งที่กว้างที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ เราตั้งต้นการเดินทางที่เมืองกรินเดลวาลด์ (Grindelwald) เมืองแห่งสกีรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่มีกิจกรรมและเทศกาลต่างๆ ตลอดฤดูหนาว
ในฤดูร้อนบรรยากาศในเมืองก็คึกคักไปด้วยนักเดินเขา วันนั้นอากาศไม่เป็นใจ เมฆครึ้มลอยมาปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็นยอดเขายุงเฟราที่เฝ้ารอ เรา 2 คนจึงปรึกษากันและเปลี่ยนใจไม่ขึ้นไปบนยุงเฟราเพราะเกรงว่าจะไม่คุ้มค่ากับค่าเดินทางหฤโหดหากมีเมฆปกคลุมแบบนี้ เจ้าของร้านคาเฟ่ที่เราเข้าไปนั่งพักได้แนะนำให้ลองนั่งเคเบิ้ลคาร์ไปยังยอดเขาเฟีร์ยสท (First เขียนเหมือนเฟิร์สท แต่อ่านออกเสียงว่าเฟีร์ยสท) ด้านบนเป็นเส้นทางเดินเขาหรือเทรคกิ้งที่เป็นที่นิยมของชาวสวิสและยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวนัก พวกเราเลยบอกลาจากยุงเฟรามุ่งไปหาเฟีร์ยสท ขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปยังยอดเขาใช้เวลาประมาณ 30 นาที แล้วเริ่มออกเดินไปตามเส้นทางที่ชาวท้องถิ่นแนะนำเพื่อไปยังทะเลสาบ Bachalpsee เราออกเดิน เดิน และเดินท่ามกลางความสวยงามของเทือกเขากว้างไกลสุดสายตา คนที่มาที่นี่เป็นคนที่ตั้งใจมาเทรคกิ้งจริงๆ บ้างมาเดี่ยว บ้างเป็นคู่เพื่อน บ้างเป็นคู่รัก และส่วนใหญ่มากันเป็นครอบครัว เพื่อนร่วมเดินทางชาวสวิสของฉันบอกว่า การเดินเขาเป็นกิจกรรมที่ชาวสวิสโปรดปรานและถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ฉันบอกว่าเธอโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางธรรมชาติแสนสวยแบบนี้ และฉันก็ชื่นชมชาวยุโรปที่ปลูกฝังให้เด็กมีจิตสำนึกรักธรรมชาติและฝึกความอดทนช่วยเหลือตัวเอง
พวกเราค่อยๆ เดินไป คุยกันบ้าง เจอวิวสวยก็แวะถ่ายภาพ เหนื่อยก็พักพร้อมปลอบใจตัวเองว่าทัศนียภาพอันสวยงามราวกับสรวงสวรรค์รอคอยทักทายเราอยู่ ทุกครั้งที่ออกแรงก้าวเท้าออกไป เราจะได้ภาพทิวทัศน์อันงดงามเป็นรางวัลตอบแทน เดินไปสักพักเราก็ได้เจอกับทุ่งดอกหญ้าสีขาวเป็นปุยๆ เหมือนสำลีดูน่ารัก ใช้เวลาประมาณชั่วโมง กว่าๆ พวกเราก็มาถึงทะเลสาบ Bachalpsee สีมรกต บรรยากาศที่ได้เห็นตรงหน้ายากที่จะพรรณนาออกมาเป็นคำพูด ภาพวิวทิวทัศน์ที่ปรากฏให้เห็นทำให้ยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุข เรานั่งลงบนพื้นหญ้าริมทะเลสาบ หยิบแซนด์วิชและผลไม้ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อออกมารับประทานเป็นอาหารมื้อกลางวัน อาหารจืดชืดรสชาติธรรมดากลับอร่อยขึ้นมาเมื่อมีวิวธรรมชาติราคาหลักล้านเป็นกับแกล้ม ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ไปเยือนยุงเฟราอย่างที่ตั้งใจ แต่ตอนนี้ยอดเขาในฝันก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันหันไปบอกเพื่อนว่า รู้สึกดีที่ตัดสินใจเปลี่ยนแผนมาเส้นทางนี้ หากเรายังดันทุรังขึ้นไปบนยุงเฟราเราอาจจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่การมาที่นี่ เรากลับได้เห็นยอดเขาในฝันในมุมที่หลายๆ คนไม่เคยได้เห็น ธรรมชาติที่หลากหลายทั้งภูเขา ทะเลสาบ ดอกหญ้า และผู้คนรอบๆ ตัว ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้รับกำไรชีวิต
เท่าที่สังเกตจะพบว่าชาวตะวันตกส่วนมากจะนิยมนั่งชมบรรยากาศ เก็บรายละเอียด ด้วยวิธีการปล่อยใจไปกับทิวทัศน์ มากกว่าการบันทึกความทรงจำด้วยภาพถ่าย ฉันจึงวางกล้องถ่ายรูป ลงบนพื้นหญ้า แล้วนั่งทอดสายตาไปรอบๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนพิเศษตรงหน้าและบันทึกความทรงจำดีๆ นี้ไว้ลงในเมมโมรีหัวใจ
ฉันลองขยับตัวเข้าไปใกล้ดูปลาตัวน้อยที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบ น้ำทะเลสาบใสแจ๋วให้ความรู้สึกสดชื่น จนอดไม่ได้ที่จะเอามือกวักน้ำขึ้นมาประพรมหน้าเติมพลังก่อนเดินกลับ เมื่อเรากลับมาถึงเมืองกรินเดลวาลด์ เมฆครึ้มก็ลอยมาบดบังทั้งยอดเขาเฟีร์ยสทและยุงเฟรา ก่อนจะกลั่นตัวลงมาเป็นสายฝนจนเราต้องวิ่งหลบเข้าไปพักในคาเฟ่อีกครั้ง ฉันบอกเล่าถึงความประทับใจในวันนี้ให้เจ้าของร้านฟัง และขอบคุณที่แนะนำเส้นทางนี้ให้กับพวกเรา ฉันรู้สึกหลงรักเฟีร์ยสทตั้งแต่แรกเห็น และจะจดจำภาพความสวยงามบนยอดเขาแห่งนี้ว่าเป็นที่สุดแห่งความทรงจำที่มีในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ของฉันเลย การเดินทางครั้งนี้ย้ำเตือนฉันว่า บางครั้งในการเดินทางเราอาจจะพลาด ผิดหวัง หรือพบเจอกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นดั่งใจ ขอเพียงก้าวเดินต่อและพร้อมเปิดใจให้กับเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งเราอาจจะได้พบว่า บนเส้นทางใหม่นั้นมีสิ่งที่ดีกว่ารอต้อนรับทักทายเราอยู่
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีเส้นทางสวยๆ มากมายรอให้เราได้ออกไปสัมผัส ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองเดินทางมาเยือน หรือลองเปิดใจให้กับเส้นทางใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักดูบ้าง แล้วคุณอาจจะหลงรักสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนแสนหวานแห่งนี้อย่างหัวปักหัวปำ
– การเดินทางที่สะดวกที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์คือรถไฟ ด้วยมาตรฐานสวิสและมีเส้นทางที่สวยงามระดับโลก หาข้อมูลเส้นทางสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.glacierexpress.ch
– บัตร Swiss pass ใช้เป็นส่วนลดในการเดินทางด้วยระบบขนส่งในสวิตเซอร์แลนด์ และยังสามารถใช้เป็นส่วนลดในการขึ้นเขาหรือเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ได้ทั่วประเทศ www.swiss-pass.ch