Star is all around you เมื่อคุณถูกล้อมด้วยดวงดาว กับเทศกาลแห่ดาวที่ จ.สกลนคร
Story by Editorial Staff
Photo by Kamol Jindamanee, Jakkapong Rudeekasem, Sarayut Rattanasrisoy, พิษณุ ศรีประทุมภรณ์, สรายุท รัตนศรีสร้อย
เกือบตลอดชีวิตของเราอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของชีวิตเมืองกรุงตลอดมา จึงไม่ผิดหรอกที่จะโหยหาความสงบงามบ้างในบางเวลา ในบรรดาตัวเลือกทั้งหลายทั้งปวง สิ่งหนี่งที่ก็ยังติดใจฉันเสมอ คือวิถีชีวิตในแถบอีสาน ครั้งก่อนสัมผัสสกลนครยังไม่หนำใจ หนนี้จึงขอกลับมาซ่อมเสริมประสบการณ์ชีวิตอีกครั้ง หวังว่าจะได้ชื่นชมเมืองสกลนครอีกครั้งแบบสมใจนะ
วัดดูจะเป็นสถานที่ที่เราเลือกที่จะมาเยือนในหลายครั้งหลายคราว ด้วยวิถีแห่งความเป็นอยู่ของเรานั้นล้วนผูกพันกับวัดมาตั้งแต่จำความได้ เมื่อมาถึงจังหวัดสกลนครทั้งที จะไม่มารายงานตัวที่คู่บ้านคู่เมืองสกลนครได้อย่างไร การตั้งต้นทริปนี้จึงเริ่มที่วัดแบบไม่ต้องคิดมาก วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ห่างจากที่พักแค่ช่วงประเดี๋ยวเดียว ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนเจริญเมือง แค่ได้ยินชื่อก็เล่น เอาชาวคณะกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของสกลนครที่ใครมาเยือนเมืองนี้แล้วต้องห้ามพลาดไม่อย่างนั้นจะถือว่ามาไม่ถึง
สำหรับในวัดพระธาตุเชิงชุมฯ นั้น มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายจุด เป็นโบราณสถานโบราณวัตถุสำคัญๆ หาชมได้ยาก นับตั้งแต่องค์พระธาตุเชิงชุม พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนรูปทรงสี่เหลี่ยมสีขาวทองที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นแลเห็นมาแต่ไกล ภายในคือรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ ที่เสด็จมาพระทับบนแผ่นหิน พระวิหารเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อพระองค์แสน พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน มีความศักดิ์สิทธิ์จนใครๆ ต่างก็พากันมาทำความเคารพ จุดพญานาคพ่นน้ำและบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ บ่อน้ำที่มีน้ำผุดขึ้นมาจากธารน้ำใต้ดินซึ่งไหลมาจากเทือกเขาภูพาน เป็นความ Unseen ที่เราไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ยังมีพระอุโบสถ ที่ใครหลายคนต่างไปชื่นชมภาพจิตรกรรมเถาไม้เลื้อยรอบอาคาร รวมถึงหอกลอง หอสูงสามชั้นเก่าแก่ที่ใช้ลั่นเวลาเพื่อบอกโมงยาม สร้างถวายโดยชาวเวียดนามที่มาพำนักอาศัยในจังหวัดสกลนครเมื่อครั้งอดีตเพื่อเป็นพุทธบูชา แวบแรกเมื่อเห็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสกล พวกเราเอ่ยปากชมกันไม่หยุด คงเป็นเพราะวัดเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีนี้ ไม่ได้แก่วัยไปตามอายุ ไม่ว่ามุมไหนก็ยังดูสวยสด แถมยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แม้กระทั่งในวันธรรมดาๆ อย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าองค์พระธาตุ หรือด้านในพระวิหารก็ตามทีทำบุญ สักการะ ไหว้พระ ขอพร เที่ยวนี้ทำตามสูตรเป๊ะทุกประการ มีกี่ที่กี่จุด ฉันก็แวะทักทายมันครบถ้วนเสียทุกจุด ก่อนแยกวงขยับองศามานั่งมองวัด มองผู้คนผ่านเลนส์กล้อง วัดเลยกลายเป็นสวรรค์ชั้นย่อมของนักเฝ้ามองลีลามนุษย์ไปแล้วสำหรับฉัน
จากการสังเกตสังกา วัดเป็นที่พบปะของคนที่ชอบในเรื่องเดียวกัน วัดเป็นที่พึ่งยามใครสับสนว้าวุ่นใจ วัดสงบเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และที่สำคัญวัดเป็นศูนย์กลางของสังคมไทยมาช้านาน ไม่ว่าวัดจะเป็นอะไรในวิถีคนพุทธ แต่ในวินาทีนั้นฉันเห็นแต่ภาพความศรัทธาของมหาชนลอยตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนไป หลายคนอาจกำลังวิ่งไล่ตามสีสันใหม่ๆ ในโลกแห่งอนาคต แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ผู้คนในหลายๆ ยุคไม่เคยละทิ้ง คือการหันหน้าเข้าหาวัด อย่างที่แม่เคยบอกเราเสมอ คนพุทธตัดวัดยังไงก็ไม่ขาด วัดเอย ธรรมะเอย เป็นอาหารของจิตใจ หากเราทานบ่อย เราก็จะสงบ มองโลกเรียบง่ายขึ้น ใจที่รุ่มร้อนก็จะเบาบางลง เพราะยังไงท้ายสุดของชีวิตเราก็หนีวัดไปไม่พ้นอยู่ดี
อำลาวัดพระธาตุเชิงชุมฯ อย่างอาลัย พร้อมกับบอกตัวเองเอาไว้ว่าจะกลับมาใหม่อีกครั้งเพื่อร่วมงานบุญใหญ่
ประจำปีอย่างงานมนัสการพระธาตุ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันขึ้น 11 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือนยี่ อย่างแน่นอน ทันทีที่เปิดประตูลงจากรถ ใจฉันก็เต้นตึกตัก เมื่อได้สบตากับภาพวิถีชีวิตของ หมู่บ้านท่าแร่ ชุมชนคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และยังถือเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2427 โดยซาเวียร์ เกโก บาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่อพยพครอบครัวจากตัวเมืองสกลนครข้ามหนองหานมาตั้งหลักแหล่งใหม่ทางฝั่งเหนือของหนองหาน
เรียกท่าแร่ไปตามชื่อถิ่นที่ตั้งของหมู่บ้าน อันเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยป่าไม้ที่มีหินลูกรังอยู่ทั่ว (ซึ่งคนในพื้นที่จะเรียกว่า หินแฮ่) ที่นี่อวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งศรัทธาในวิถีคาทอลิก มีวัดฝรั่งหรืออาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสตชน ไม่เพียงแค่ท่าแร่เท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่ในจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกหลายจังหวัด
ด้วยวิหารหัวเรือของอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ยิ่งใหญ่และสะดุดตา ชี้ชวนให้ใครต่อใครชะเง้อชะแง้แลดูความงามแปลกตาชนิดที่ว่าส่องมุมไหนก็ดูโอ่อ่าน่ามองไปเสียหมด ถ้าใครอยากเห็นวิถีคาทอลิกแบบครบรส แนะนำให้มาในวันอาทิตย์ วิหารฝรั่งแห่งนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวภาพชีวิตของผู้คนที่มาร่วมพีธีสวดมนต์ภาวนา แต่ถ้าอยากได้รสชาติแบบ Unseen Thailand แนะนำให้ลองมาร่วมงานประเพณีแห่ดาวเทศกาลคริสต์มาสของท่าแร่ ที่คุณจะต้องร้องว้าวออกมา เพราะทั้งตื่นตาตื่นใจและมีจัดเพียงปีละหนเท่านั้น
จากวัดฝรั่งมาทอดน่องเตร็ดเตร่อยู่ในถนนสายหลักของหมู่บ้านนี้ดูบ้าง แล้วคุณจะรู้ว่าท่าแร่มีเสน่ห์เหลือร้าย ไม่ใช่แค่ความสวยงามของตัวบ้านเรือนประชาชนเท่านั้น แต่ผังเมืองของชุมชนขนาดกะทัดรัดนี้ ถูกจัดวางเป็นแบบสี่เหลี่ยมตารางหมากรุกคล้ายกับบ้านเมืองในแถบตะวันตก ซึ่งไม่ว่าจะบ่ายหน้าไปทางไหนบรรยากาศก็ดูไม่เหมือนอยู่ในเมืองไทยเอาเสียเลย การสำรวจมองดูอาคารไม้เรียบง่าย อาคารปูนสุดคลาสสิก ชมบ้านรูปแบบตะวันตกผสมผสานศิลปะเวียดนาม บ้านทรงฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งบ้านไทยประยุกต์ จึงดูสนุกสนาน เพลินเสียจนลืมเวลา นอกจากนี้ ที่ติดอกติดใจกันแทบทุกราย ท่าแร่ยังขายความสงบ เนิบนาบ รอยยิ้ม และมิตรภาพ จำหน่ายแจกจ่ายให้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย
ฉันค้นพบอีกจังหวะการก้าวของชีวิตแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน เมื่อเดินผ่านหน้าคฤหาสน์อุดมเดชวัฒน์ คฤหาสน์โบราณหลังสีเหลือง ภาพในอดีตเริ่มผุดพรายขึ้นอีกครั้ง ทั้งเสียงหัวเราะแห่งความสุข ภาพความทรงจำของค่ำคืนวันคริสต์มาส อาคารบ้านเรือนหลายหลังในท่าแร่ถูกประดับประดาไปด้วยดวงไฟและโมบายรูปดาว หลายคนมายืนมะรุมมะตุ้มรุมดูความสวยงามของขบวนรถแห่ดาวที่ยาวเหยียดไกลสุดลูกหูลูกตา มีเพลงคริสต์มาสสุดคึกคักอย่าง Jingle Bells, We Wish You A Merry Christmas, Joy to the World และอีกหลายเพลงดังแว่วมาจากขบวน จำได้ว่าถนนสายหลักของท่าแร่ในตอนนั้นทุกพื้นที่ถูกจับจองไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวบ้านที่มาร่วมชื่นชมเหล่าขบวนดาวบนดินที่เปล่งประกายเจิดจรัส ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ทั่วสารทิศของท่าแร่อบอุ่นไปด้วยแสงไฟและความสว่างไสวของแสงดาว ถือเป็นการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสที่ยิ่งใหญ่และมีสีสันที่สุดเท่าที่เคยพบมา
ครานั้นกำหนดการที่ประจวบเหมาะให้เดินทางมาถึงก่อนวันงานเทศกาล ฉันจึงได้เห็นมุมสมัครสมานของชาวบ้านท่าแร่ ต่างคนต่างขะมักเขม้นเหลาไม้ไผ่ ทำโครงไม้รูปดาว ติดกระดาษแก้วหลากสีจนสำเร็จเสร็จเป็นโคมไฟดาว จากนั้นจึงนำไปประดับกันไว้ที่บ้าน หรือไม่ก็นำเข้าร่วมขบวนแห่ รวมถึงยังนำโคมดาวประดิษฐ์ หรือที่เรียกติดปากว่าดาวมือถือ แห่แหนไปรอบๆ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ขับร้องเพลงคริสต์มาสสลับกับการสวดภาวนาอย่างพร้อมเพรียง สำหรับงานประเพณีแห่ดาวเทศกาลคริสต์มาสของหมู่บ้านท่าแร่นั้น ถือเป็นประเพณีท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย โดยชาวคริสต์คาทอลิกเชื่อว่าดาวเป็นสัญลักษณ์ของการเสด็จลงมาประสูติของพระเยซูบนโลกมนุษย์ ประเพณีนี้จึงจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงพระเจ้าของพวกเขานั่นเอง
และอีกหนี่งจุดที่ผ่านไม่ได้ คือการได้มานั่งทอดอารมณ์ ชมบรรยากาศยามเย็นที่หนองหาน ณ บ้านท่าแร่ บรรยากาศยามพระอาทิตย์อัสดงที่นี่ เป็นอีกหนี่งอารมณ์ที่เป็นใครก็อยากมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ชมแสงสีทองทอทาบฉาบทั่วแผ่นน้ำ โดยไฮไลท์เด็ดคงเป็นจังหวะที่ดวงตะวันหายวับไปกับตาที่ด้านหลังหุบเขาภูพาน แสงสุดท้ายที่หนองหานนี้ พวกเราลงมติแล้วว่างามดุจดั่งผลงานชิ้นเอกของจิตรกรเลื่องชื่อที่กำลังสะบัดปลายพู่กันลงบนผืนผ้าใบกันเลยทีเดียว นอกจากวิถีวัฒนธรรมอันล้ำค่าแล้ว สกลนครยังเป็นจังหวัดที่รุ่มรวยด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ กับผืนป่าผืนใหญ่ภูพานที่อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติภูพาน ด้วยเนื้อที่ราว 4 แสนไร่ ถือเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารสำคัญที่ใช้ในการทำไร่ทำนาของชาวสกลนคร และไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็เจอแต่พื้นที่สีเขียว เขียว และก็เขียว
เวลาถูกใช้หมดไปกับการเดินทางท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ที่น่าสนใจในเขตภูพาน ไม่ว่าจะเป็นพระตำหนักภูพาน
ราชนิเวศน์ ที่มีการจัดแต่งภูมิทัศน์อย่างเป็นระเบียบสวยงาม ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยดอกไม้นานาพันธุ์, โค้งปิ้งงู สัมผัสทิวทัศน์ที่สวยงามบนถนนสายภูพาน – เมืองสกลนครซึ่งคดโค้งลดเลี้ยวเหมือนงู บนเนินเขานี้ยังมีหลักกิโลเมตรยักษ์ตั้งโดดเด่นให้เราได้ถ่ายรูป ไม่ไกลกันนักกับโค้งปิ้งงู แวะชมน้ำตกคำหอม ที่อยู่ท่ามกลางป่าไม้ที่ร่มรื่น, ถ้ำเสรีไทย เป็นถ้ำที่ในอดีตเคยใช้เป็นที่หลบซ่อนของขบวนการเสรีไทยสายสกลนคร ภายในถ้ำถือได้ว่าเป็นสถานที่เก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการต่อต้านญี่ปุ่น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันจะเป็นเพียงโพรงถ้ำให้เข้าไปชม พร้อมมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ชมความสมบูรณ์ของป่าไม้และทิวทัศน์ที่สวยงาม, ทัศนาจรกันอย่างเพลินอุราและอารมณ์กันที่ผานางเมิน ปักหลักตั้งแค้มป์เสร็จแล้วก็มานั่งทำตาหวานฉ่ำใส่พระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า
ถือว่าทริปนี้เราโชคดีมาก ด้วยความที่คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ยิ่งมืดก็ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน ปราศจากเมฆหมอก แถมยังปลอดจากมลพิษทางแสง เราเลยได้ยลโฉมดวงดาวทอประกายเต็มท้องฟ้าที่ดำสนิท ชะม้ายชายตาไปทางไหนก็เจอแต่กลุ่มดวงดาวแต่งแต้มแต่งตัวเต็มยศอยู่ทั่วทุกทิศ ก่อให้เกิดจินตนาการราวกับตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์ของดาวนับพันนับล้านดวง และใกล้กันเสียจนแทบจะคว้าเอื้อมดาวถึง ช่วงเวลาแห่งการเสพสุขของชีวิตคนเรามักผ่านไปไวเสมอ ชาวคณะบางคนปลีกตัวไปนอนเอาแรงแบบไม่เสียดายเวลา บางคนก็เอกเขนกเอนกายซึมซับบรรยากาศทั้งหมดเท่าที่ทำได้ ส่วนฉันเองใช้เวลาที่เหลือไปกับออกเดทกับดวงดาว ตั้งใจไว้ว่าจะกินดื่มความโรแมนติกกันสองต่อสองกับหมู่ดาวอย่างจริงจังแบบไม่ฟังเสียงใคร
ยังจำได้ดีในปีที่แล้ว ตลอดคืนแรกของวันคริสต์มาส เราโดนหมู่ดาวบนดินจากขบวนแห่ดาวท่าแร่ห้อมล้อมชนิดที่ว่าหนีไปไหนไม่ได้ ประกายตาดาวสดใสและสะกดใจจนฉันแทบละลาย จากนั้นการเดินตามรอยวันวานมาจนถึงที่นี่ เสน่ห์ของดาวบนฟ้าและบรรยากาศดีๆ ก็ยังตรึงตราใจไม่ต่างกัน เชื่อค่ะว่าหากใครได้ลองมาอยู่ภายใต้วงล้อมของดวงดาวไม่ว่าจะฟ้าหรือดินก็คงอยู่ในอารมณ์เดียวกันนี้ ทั้งๆ ที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ระดับความตื่นเต้นพลุ่งพล่าน และไม่ใช่ครั้งแรกอีกเช่นกันที่ยังไม่ทันลาจากแต่กลับรู้สึกอยากมาหาดวงดาวอีกครั้ง การโหยหาค่ำคืนแสนหวาน เชื่อเถอะไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่เป็น เพราะแค่เอ่ยปากว่าจะกลับมาอีก ก็มีคนในทริปนี้ยกมือเอาด้วยกันให้พรึ่บ
ของดีเมืองสกลนครที่คุณไม่ควรพลาด : ผ้าย้อมคราม นักท่องเที่ยวที่เที่ยวเมืองสกลนครเสร็จ อย่าลืมแวะชมและเลือกซื้อผ้าย้อมครามที่เกิดจากการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้าน ทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์อันโดดเด่น แปลกใหม่ น่าสนใจ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ขอขอบคุณ
– ททท. สำนักงานนครพนม
พื้นที่รับผิดชอบ: นครพนม,มุกดาหาร,สกลนคร
ที่อยู่ : 184/1 ถ.สุนทรวิจิตร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม 48000
โทรศัพท์ 0 4251 3490-1
– สำนักมิสซังท่าแร่-หนองแสง โทร. 0 4271 1272
เทศบาลตำบลท่าแร่ โทร. 0 4275 1213
พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ โทร. 0 4277 7292, 0 4271 1550
(นักท่องเที่ยวสามารถยื่นบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อขอเข้าชมที่ทางเข้าด้านหน้าพระตำหนักฯ หากประสงค์เข้าชมเป็นหมู่คณะจำนวนหลายท่านต้องทำหนังสือขออนุญาตก่อนล่วงหน้า)