Provence Lavender Trip -โพรวองซ์ ทริปของลาเวนเดอร์
ภาพของทุ่งดอกไม้สีม่วงกว้างใหญ่แบบไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมกับกลิ่นที่หอมตลบอบอวล เป็นภาพที่คุณจะเห็นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมของเมืองโพรวองซ์ (Provence) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส บนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ติดกับประเทศอิตาลี หรือชื่อที่เป็นทางการคือ โพรวองซ์-แอลป์-โกต ดาซูร์ (Provence-Alps-Cote d’Azur)
ก่อนที่จะไปเที่ยวชมเมืองโพรวองซ์ หลายคนอาจสงสัยว่าช่วงนี้แถบนี้อากาศเป็นอย่างไรบ้าง ในช่วงเดือนมิถุนายน – กลางเดือนสิงหาคม ที่ยุโรปเป็นฤดูร้อนเลยแต่อากาศก็ถือว่ากำลังสบายๆ อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 20 องศาเซลเซียสเรียกได้ว่าเป็นฤดูท่องเที่ยวของคนยุโรปเลยทีเดียว นอกจากทุ่งลาเวนเดอร์ที่เมืองโพรวองซ์จะบานเต็มทุ่งแล้ว เมืองชายทะเลอย่างนีซ คานส์ หรือมาร์เซย ก็คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนหย่อนใจ แถมกลางคืนยาวมากคุณสามารถเที่ยวได้จนถึงทุ่มสองทุ่มเลยทีเดียว แต่ข้อเสียคือที่พักก็จะราคาแพงไปหน่อย
สภาพภูมิประเทศเมืองโพรวองซ์ ที่สามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนตามชื่อ เขตการปกครองอย่างเป็นทางการที่ว่า โพรวองซ์-แอลป์-โกต ดาซูร์ (Provence-Alps-Cote d’Azur) นั่นคือ เขตโพรวองซ์หรือกลุ่มเมืองบนเนินเขา ที่เชื่อมระหว่างเทือกเขาแอลป์เข้ากับทะเลมดิเตอร์เรเนียนเข้าไว้ด้วยกัน ชาวเมืองเหล่านี้มีอาชีพหลัก คือการปลูกลาเวนเดอร์และการทำไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์ เราจึงเห็นบ้านหลังเล็กๆ สีสดใสแทรกตัวระหว่างพุ่มลาเวนเดอร์ และพวงองุ่นช่อโต งดงามเหมือนในเทพนิยาย ซึ่งทิวทัศน์อันสวยงามที่ว่า ได้เคยดึงดูดศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างเซซานน์ (Cézanne) และแวน โก๊ะห์ (Van Gogh) ให้มา ปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และสร้างสรรค์ผลงานมาแล้วเรียกได้ว่า โพรวองซเ์ ป็นจุดกำเนิดของศิลปะยุคโพสต์อิมเพรสชันนิสม์ (Post-Impressionism) ก็ว่าได้
ส่วนที่สองคือส่วนเทือกเขาแอลป์ โดดเด่นเรื่องกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ นอกจากสกีรีสอร์ตกว่า 300 แห่งแล้วเขตนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อย่างการขี่ม้าชมเขา ปีนเขา ขี่จักรยานรวมถึงการเล่นเครื่องร่อน ซึ่งนี่ก็เป็นลักษณะภูมิประเทศอีกอย่างหนึ่งที่มีความแตกต่างออกไปของโพรวองซ์ โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่มีหิมะปกคลุมพื้นที่โดยส่วนมาก นับเป็นสถานที่ที่น่ามาพักผ่อน พร้อมมีกิจกรรมอันน่าสนุกรออยู่
เขตสุดท้าย คือโกต-ดาซูร์ เป็นกลุ่มเมืองที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล (โกต ดาซูร์ ภาษาฝรั่งเศสแปลว่าชายฝั่งสีน้ำเงิน) หรือที่รู้จักกันอีกในนามว่า “เฟรนช์ ริเวียร่า” (French Riviera) ที่มีเมืองสำหรับพักผ่อนตากอากาศชื่อคุ้นหูอย่าง นีซ (Nice) คานน์ (Cannes)และกราสส์ (Grasse) นับว่าเป็นเขตที่ทำให้โพรวองซ์ มีชื่อเสียงมากกว่าเขตอื่นๆ ด้วยชายหาดที่ขาวทอดยาวประกบด้วยเกลียวคลื่นจากน้ำทะเลที่เป็นสีฟ้าสดใส เป็นเมืองที่มาพักผ่อนได้ตลอดทั้งปี ตลอดจนการจัดงานระดับโลก เช่น เทศกาลหนังเมืองคานน์ เป็นต้น
ทุ่งลาเวนเดอร์ที่โด่งดังมากๆ ได้แก่ Luberon, Valensole Plateau และ Sault Plateau โดย Luberon นั้นเป็นที่ราบที่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านน่ารักๆ อย่าง Gordes, Lourmarin, Bonnieux และ Banon แต่ถ้าเทียบกับ Valensole และ Sault ทุ่งลาเวนเดอร์ที่ Luberon จะมีขนาดเล็กกว่าเเละความหนาเเน่นของดอกก็จะดูบางตากว่าดอกของลาเวนเดอร์ที่ปลูกในพื้นที่ต่่ำจะเริ่มบานก่อนเเละค่อยๆ ไล่ไปจนถึงพื้นที่สูง นั่นคือ Luberon เหมาะสำหรับกลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม Valensole Plateau เหมาะสำหรับเดือนกรกฎาคม Sault Plateau เหมาะสำหรับกลางเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม
การเดินทางไปเมืองแอ็กซ็องโพรวองซ์ (Aix en Provence) หรือเรียกสั้นๆ ว่าเมืองแอ็กซ์ (Aix) ถ้าเริ่มต้นเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากสถานีรถไฟ Paris Gare de Lyon ในปารีส ไปเมืองแอ็กซ์ ที่สถานีอาวินญง (Avignon) ก็ใช้เวลาสามชั่วโมงนิดๆ อาวินญง อยู่ใกล้กับเมืองแอ็กซ์ นั่งรถยนต์ก็ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้านั่งเครื่องแล้วไปลงที่สนามบิน Marseille มีรถบัสจากสนามบินเพื่อไปเมืองแอ็กซ์เหมือนกัน
เมืองแอ็กซ์ เป็นเมืองหลวงเก่าที่เล็กแต่น่ารัก ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ในจังหวัดบุช-ดูว์-โรน แคว้นโพรวองซ์-แอลป์-โกต ดาซูร์ ชื่อเมืองแอ็กซ์นั้นมาจากภาษาโรมัน ซึ่งแปลว่า น้ำ เนื่องมาจากเมืองแห่งนี้มีน้ำพุธรรมชาติมากที่สุดกว่า 100 แห่งนั่นเองก่อตั้งในปี 129 ก่อนคริสต์ศักราช มีชื่อว่า AQUAE SIXTIAE เป็นเมืองแห่งความงดงามด้านทิวทัศน์ ในอดีตเคยมีฐานะเป็นถึงเมืองหลวงของแคว้นโพรวองซ์เป็นศูนย์กลางของอำนาจ ปัจจุบันเป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของประเทศฝรั่งเศสที่มีความเก่าแก่ถึง 600 ปี เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมเนื่องจากมีอากาศอบอุ่น อาคารบ้านเรือนที่นี่เก่าแก่และเต็มไปด้วยความคลาสสิกจากหินและศิลปะ ที่ทำให้เรารู้สึกราวกับเดินอยู่ในแกลเลอรีกลางแจ้ง สองข้างถนนเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น ตัวเมืองค่อนข้างเงียบสงบ ถนนหนทางที่บางจุดปูหินก้อน ก็สะอาดสะอ้าน
ที่ท่องเที่ยวเริ่มต้นที่ใจกลางเมืองอย่าง วงเวียนน้ำพุ ลา โรตงด์ (Fontainede la Rotonde) บนยอดนำ้พุประดับประดาด้วยประติมากรรมหุ่นปูนปั้นสวยงาม โดดเด่นเป็นสัญลักษณ์คงเป็นสิงโตคู่ด้านล่างตรงฐานจากจุดนี้สามารถเดินต่อไปตามถนนไปเรื่อยๆ มีทั้งสำนักงานท่องเที่ยวประจำเมือง สามารถเข้าไปขอข้อมูลที่นี่ได้ มีตลาดขายของที่เรียกว่า flea market ให้คนชอบช้อปปิ้งได้จับจ่ายใช้สอยกันระยะทางสั้นๆ ประมาณ 100-150 เมตร แต่ของเยอะดี ต่อไปอีกนิดก็ถึงถนนสายสำคัญของเมืองอย่าง ถนน กูร์ มิราโบ (Cours Mirabeau) เป็นถนนคนเดินเก่าแก่ประจำเมือง ถนนมีความยาวประมาณ 440 เมตร เป็นที่ตั้งของร้านค้าหรูและร้านกาแฟสไตล์ฝรั่งเศส
ระหว่างนั้นที่เดินไป La place d’Albertas สี่แยกใจกลางเมืองมีบ่อน้ำพุเก่าแก่ ก็จะเห็นหอนาฬิกา Belfry (The bell tower – Belfry) ตั้งอยู่ใน Place de l’Hotel de Ville ถัดจาก City Hall โดยหอนาฬิการะฆังแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1510 ได้มีการเพิ่มนาฬิกาขึ้นในหอคอยเมื่อปี ค.ค. 1661โดยหอระฆังประดับด้วยไม้แกะสลักตกแต่งอย่างสวยงาม ไม่ไกลนักก็จะเป็นโบสถ์หรือวิหาร Cathédrale Saint-Sauveur d’Aixen-Provence เป็นมหาวิหารเก่าแก่ขนาดใหญ่เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก โดยวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ซึ่งอยู่ในยุคของอาณาจักรโรมันอีกด้วย อย่างที่บอกไว้ เมืองค่อนข้างเล็กและสงบ เดินวนไปวนมา อากาศดีๆ ก็สามารถเดินไปเรื่อย เหนื่อยก็ไปพักดื่มเครื่องดื่มอย่างกาแฟสักแก้วได้ ที่นี่มีร้านกาแฟแกร์บัวซ์ ร้านประจำของจิตรกร ชื่อดังก้องโลก อย่าง ปอล เซซานน์ (Paul Cezanne) เจ้าของผลงานภาพวาดภูเขาแซงก์ วิกตัวร์ (Saint Victoire) ที่มีชื่อเสียงในด้านความงดงามของภูมิทัศน์
จากเมืองแอ็กซ์ ไปเที่ยวชมทุ่งลาเวนเดอร์ ซึ่งอยู่บริเวณแถบหมู่บ้านกอร์ด (Gordes village) และหมู่บ้านรูสสิยง (Roussilllon) นั้นแนะนำให้เช่ารถหรือซื้อทัวร์จากอาวินญงหรือแอ็กซองโพรวองซ์ดีกว่า เพราะทุ่งลาเวนเดอร์แต่ละที่นั้นตั้งอยู่ค่อนข้างไกลกันเเละห่างจากแหล่งชุมชน จากเมืองแอ็กซ์ ไปหมู่บ้านกอร์ด ใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก่อนไปทุ่งลาเวนเดอร์
เราสามารถแวะเที่ยวที่หมุู่บ้านกอร์ด หรือ กอร์เดส ก่อนได้ หมู่บ้านตั้งอยู่บนยอดเขาในแถบเทือกเขาลูเบอรอง (Luberon) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโพรวองซ์ โดยมีพื้นที่ประมาณ 600 ตารางกิโลเมตร หมู่บ้านสวยๆ อายุกว่าพันปีริมผาหินบ้านเรือนสีเบจที่สร้างจากหินตั้งอยู่บนเขาที่ลดหลั่นกันเป็นขั้นๆ คือเอกลักษณ์ของที่นี่ เพราะหมู่บ้านอยู่บนเขาเวลามองลงไปก็จะเห็นวิวของทุ่งหญ้า ทุ่งลาเวนเดอร์ และพื้นที่ทางเกษตรกรรม ตัวหมู่บ้านเคยถูกทำลายอย่างหนักจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสมัยเยอรมนีเข้ามายึดประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้น ฝรั่งเศสได้รับเอกราชคืน จึงได้ซ่อมแซมให้หมู่บ้านกลับมาในลักษณะที่ใกล้เคียงมากที่สุด ร่องรอยของระเบิดของสงครามยังหลงเหลือ ให้คุณได้เห็นในโบสถ์ของหมู่บ้าน
ในตัวเมืองมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อกันมากมาย นอกจากได้เดินชมอาคารบ้านเรือนแล้ว ยังมีปราสาทหินโบราณสถาปัตยกรรม (château de Gordes) ซึ่งสร้างขึ้นในแบบสไตล์เรเนสซองส์ ปัจจุบันเป็นที่ทำการสำนักงานท่องเที่ยวประจำหมู่บ้านนั่งรถออกมาไม่ไกลจากหมู่บ้านไปทางเหนือประมาณ 10 นาที จะเจอโบสถ์ที่หลายคนคุ้นตา เพราะแอบบี นอร์ท-ดาม เดอ ซีนองค์ (Abbaye Notre-Dame de Sénanque) เป็นโบสถ์ที่ถูกถ่ายลงโปสต์การ์ดส่งไปทั่วยุโรป
ด้วยความสวยงามแบบคลาสสิกของตัวโบสถ์ที่โอบล้อมไปด้วยสีเขียวขจีแล้ว ลานกว้างด้านหน้ายังเป็นทุ่งลาเวนเดอร์อีกด้วยแต่ต้องมาในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม บริเวณหน้าโบสถ์ถึงจะกลายเป็นสีม่วงและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกลาเวนเดอร์ที่เหล่านักบวชของที่นี่ปลูกไว้โบสถ์แห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมยุคกลางก่อตั้งขึ้นในปี 1148 เป็นหนึ่งในสามโบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายซิสเตอร์เชียน (Cistercian)ที่เหลืออยู่ในโพรวองซ์ ที่นี่อนุญาตให้เข้าชมทุกวัน ในเวลาที่ไม่มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา (มีค่าเข้าชม) ร้านขายของกระจุกกระจิก มีสินค้า handmade ของพื้นที่
แต่ถ้ามาช่วงปลายเดือนกรกฎาคม หรือต้นเดือนสิงหาคม ทางเดียวที่จะได้เห็นทุ่งลาเวนเดอร์คือ เดินทางไปที่เมืองวาลองโซล (Valensole) เพื่อมองลงมาจากพื้นที่ใกล้ๆ หมู่บ้านซูลท์ (Sault) ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขาทุ่งดอกลาเวนเดอร์ของฟาร์ม Angelvin Lavender Field เป็นหนึ่งในทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในบริเวณวาลองโซล ทุ่งลาเวนเดอร์ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรี เป็นทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงกว้างใหญ่แบบไม่มีที่สิ้นสุดช่วงฤดูเก็บเกี่ยวโดยทั่วไปแล้วอยู่ในช่วงวันที่ 20 กรกฎาคมของทุกปี ฟาร์มแห่งนี้เปิดมาจนถึงรุ่นที่ 4 แล้วในปัจจุบันนี้ที่นี่ถือว่าเป็นที่แรกที่ทำให้ผู้คนได้รู้จักกับ “สบู่กลิ่นลาเวนเดอร์” จากประเทศฝรั่งเศส ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ประจำเมืองเลยก็ว่าได้ สินค้าทุกชิ้นจะมีขายเฉพาะที่ร้าน Terraroma Jaubert เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับดอกลาเวนเดอร์ ที่ปลูกในฟาร์มแห่งนี้เท่านั้นนอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์จากถั่วอัลมอนด์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของเมืองวาลองโซล ผลิตภัณฑ์จากดอกลาเวนเดอร์นั้นมีหลากหลาย เช่น น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์เท่านั้น เพื่อเป็นการการันตีในคุณภาพของสินค้า
อีกหนึ่งหมู่บ้านที่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวในย่านนี้ได้ (ถ้าขับรถมาเอง) คือ หมู่บ้าน รูสสิยง (Roussillon Village) ที่มีความโดดเด่นอยู่ที่สีสันที่จัดจ้านด้วยสีแดงอิฐของตัวอาคาร บ้านหลายหลังทาสีของประตูหน้าต่างด้วยสีสันที่ตัดกับสีของอาคารเป็นความตัดกันที่ลงตัว แปลกตาและน่าสนใจและด้วยความสดใสแบบนี้สินค้าหลักของหมู่บ้านก็คือ สีที่ใช้ทาบ้านเรือนนั่นเอง มีขายทั้งแบบน้ำ สีฝุ่น สีน้ำมัน ลองใส่เสื้อผ้าโทนสีน้ำเงินดูถ้ามาที่นี่เด่นแน่นอน
เนื่องจากทุ่งลาเวนเดอร์ในแต่ละปีบานไม่พร้อมกัน ดังนั้นก่อนเดินทางมาเช็กช่วงเวลาให้ดี