Enchanting…Porto Venere
Story &photo by kanjana hongtong
ความแปลกใหม่นำพาความตื่นเต้นมาสู่มนุษย์เราเสมอโลกของการเดินทางก็เช่นกัน อิตาลี (Italy) เป็นจุดหมายปลายทางเดิมๆ ที่ฉันเทียวไปเทียวมาอยู่หลายรอบ แต่ยังไม่เคยได้แวะเวียนไปหาเมืองปอร์โตเวเนเร (Porto Venere) เลยสักครั้ง ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นเมืองที่ความงดงามรออยู่ที่ปลายทางแต่ก็ผัดวันประกันพรุ่งกับปอร์ตโต เวเนเรมาตลอด
เที่ยวนี้เมื่อพาตัวเองไปถึงเมือง ลา สปีเซีย (La Spezia) แล้วจะอิดออดอีกก็กระไรอยู่ เพราะเหมือนพาตัวเองไปจ่ออยู่ปากประตูสู่เมืองปอร์โต เวเนเรแล้ว แค่ผลักประตูเข้าไป ก็คงได้เห็นเรือนร่างอันงดงามของปอร์โต เวเนเรแล้ว ความจริงสุ่มเสียงของนักเดินทางหลายคนก็สรรเสริญเยินยอเมืองนี้ตลอดว่าละแวกชายฝั่งลิกูเรียนของอิตาลี (Italy) เนี่ย ไม่มีเมืองไหนซ่อนเสน่ห์ไว้มิดชิดเท่าเมืองปอร์โต เวเนเร อีกแล้วส่วนใหญ่เมื่อนักเดินทางพาตัวเองมาถึงแถวชายฝั่งลิกูเรียน พวกเขาก็มักจะแวะไปแค่หมู่บ้านมรดกโลกอย่างซิงกเว แตร์เร่ (Cinque Terre) แล้วแวะเที่ยว ลา สปีเซียซะหน่อย จากนั้นเป็นอันว่าจบกัน ฉันก็เป็นแบบนั้นแหละแต่เมื่อสองเท้าชักจูงให้แตกแถวไปหาปอร์โต เวเนเร ฉันจึงกระโดดตัวปลิวนั่งรถเมล์จาก ลา สปีเซีย นั่งดื่มดมชมวิวไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว ความจริงแค่วิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็เกือบผลักให้ฉันกระโจนลงจากรถไปหลายรอบ เพราะแต่ละมุมแต่ละหมู่บ้านที่อยู่ระหว่างทางอวดสีสันสดใสสวยจับใจจนน่าแวะ แต่ขืนทำอย่างนั้นเท่ากับยิ่งทดเวลาระหว่างฉันกับปอร์โต เวเนเรให้เหลือน้อยลงไปอีก
ปอร์โต เวเนเรเป็นเมืองที่ดูเหมือนเข้าถึงได้ไม่ยากเพราะแค่ก้าวสองขาลงจากรถเมล์ก็เจอมุมรับแขกระจำเมืองเหมือนกับในโปสการ์ด ไม่ต้องเสียเวลาเดินหาเสียให้เมื่อย นี่น่ะหรือ หมู่บ้านประมงและเมืองท่าที่ใครๆ ก็พากันดั้นด้นมาหา ระดับกลิ่นคาวปลาเจือจางจนไม่น่าจะอยู่ในทำเนียบของเมืองประเภทนั้น ทว่าระดับความสวยนั้นท่วมท้นเกินกว่าจะเป็นหมู่บ้านชาวประมงธรรมดาๆ ซะแล้ว นี่ขนาดมองแค่ผิวเผินนะ ยังไม่ได้เจาะลึกเข้าไปชนิดถึงเนื้อถึงตัวของปอร์โต เวเนเรเลยด้วยซ้ำ มาทรงนี้แล้วเนื้อในก็คงจะหวานฉ่ำพิลึกตามประสาเมืองมรดกมีสายสะพายมาการันตีความน่าเที่ยว ปอร์โต เวเนเรจึงเนื้อหอมอยู่ไม่เบา เดินเหินไปมุมไหนของเมืองจึงมีนักท่องเที่ยวเดินกันเพ่นพ่านเต็มไปหมด และยิ่งขยับตัวเข้าใกล้ปอร์โต เวเนเรมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งชวนให้รู้สึกว่าที่นี่สวยสมคำโฆษณาจริงๆ ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหนไกล แค่พาตัวเองไปหามุมเหมาะอยู่หน้าเวิ้งอ่าว แล้วค่อยๆ ละเลียดมองดวงหน้าของ ปอร์โต เวเนเร แค่นี้ก็เพลินเหลือเกินด้านหน้าคือผืนทะเลอันกว้างใหญ่ แต่ถ้ามองเข้าไปจากเวิ้งอ่าวจะเห็นป้อมปราการทอดตัวอยู่บนภูเขาอย่างสง่าผ่าเผย ยังมีโบสถ์ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนภูเขา นักเดินทางผู้ไม่มีเวลาเหลือเฟือนัก พวกเขาจึงมักเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปหาป้อมปราการและโบสถ์ ส่วนฉันเนิบนาบอยู่แถวหน้าอ่าวอยู่นานโข เพราะภาพอาคารสีพาสเทลที่บางมุมเกรอะกรังไปด้วยสนิม บางมุมผุกร่อนกระดำกระด่าง เพราะโดนลมทะเลโลมไล้ทุกวัน เป็นภาพที่ตรึงฉันให้นั่งมองได้นานสองนาน
นั่งมุมนี้เหมือนได้ค่อยๆ ทำความรู้จักกับปอร์โต เวเนเรอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในอดีตเมืองนี้คงถูกหล่อเลี้ยงด้วยการทำประมง แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนธุรกิจท่องเที่ยวจะกลายเป็นเส้นเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงชาวเมือง เพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเรือนำเที่ยวที่หอบนักท่องเที่ยวเข้าออกเป็นระยะ แค่ภาพนี้ภาพเดียวก็ช่วยบอกเล่าวิถีของชาวปอร์โต เวเนเรได้ไม่น้อย ยังไม่นับคาเฟ่และร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าอ่าว ที่ช่วยขยายภาพให้เห็นว่าเสน่ห์ของปอร์โต เวเนเรนั้นจัดจ้านไม่เบา แต่ก็ใช่ว่าปอร์โต เวเนเรจะเป็นเมืองที่ฉายแต่ภาพความเป็นเมืองท่องเที่ยวเสียเมื่อไร เพราะบางมุมก็ยังเห็นชาวบ้านนั่งเงียบๆ นิ่งๆกับเบ็ดคู่ใจของพวกเขาอยู่หน้าเวิ้งอ่าวแค่จรดสองเท้าไปบนถนนเลียบทะเล ก็จะเห็นปอร์โต เวเนเรในมุมสงบอย่างไม่น่าเชื่อ กลายเป็นว่าเมืองนี้เหมาะมากสำหรับคนที่อยากปลีกวิเวก เดินไปเรื่อยจนเจอโบสถ์เซนต์ ปีเตอร์ (St.Peter Church) ที่ทอดตัวอยู่บนเนินเขา โบสถ์โกธิกอายุกว่า800 ปีแห่งนี้ เป็นจุดชมวิวที่ดีประจำเมือง หลายคนจึงขึ้นมาไม่ได้แค่ชมศาสนสถานที่สร้างขึ้นบนแหลมหินเท่านั้น แต่ยังขึ้นมาดื่มด่ำกับวิวสวยๆ อีกด้วย
ถัดมาไม่ไกลมีป้อมปราการอันเก่าแก่ที่เรียกว่าปราสาทโดเรีย (Doria Castle) ที่ในอดีตใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ เอาไว้คอยดูพวกศัตรูที่คอยจ้องจะรุกราน ตัวปราสาทเป็นหินและถูกสร้างขึ้นริมผาสูงชัน สำหรับฉันพึงใจที่จะนั่งอ้อยอิ่งอยู่มุมนี้มากที่สุด เพราะเป็นมุมที่ใครๆ ก็ขึ้นมารอดูพระอาทิตย์ค่อยๆ หย่อนลงตัวลงสู่ผืนน้ำ ก็คงเหมือนกับอีกหลายคน ในโมงยามแบบนี้เราไม่ควรรีบร้อนไปไหน ที่ถูกคือควรใช้เวลากับช่วงเวลาเย็นย่ำ นั่งดมกลิ่นหอมของแดดหวานๆอย่างไม่รีบร้อน
มองจากบนนี้ไม่ได้เห็นแค่ป้อมปราการ และทะเลผืนกว้างเท่านั้น แต่ยังมองเห็นยอดโบสถ์เซนต์ ลอเรนซ์ (Saint Lawrence Church) ที่โผล่ยอดขึ้นมาอย่างโดดเด่น โบสถ์โรมันแห่งนี้อายุจะพันปีแล้ว ถึงแม้จะผ่านความเสียหายจากการถูกเพลิงไหม้มาหลายรอบ แถมยังถูกข้าศึกโจมตีมาหลายยก แต่ก็ได้รับการบูรณะหลายรอบเมื่อสตรีสายซันเซ็ทบรรลุภารกิจนั่นแหละ ถึงได้ย่างสองเท้าลงไปหาเมืองเก่าที่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็โดนล้อมจับไว้ด้วยความคลาสสิกของเมืองเก่าแห่งนี้ซะแล้ว ไม่ว่าใครจะมาช้อปปิ้ง หรือใครจะมาหาอาหารการกินก็เหมาะทั้งนั้น เพราะภายในเขตเมืองเก่าเต็มไปด้วยร้านรวงที่น่านั่งน่าแวะทั้งสิ้น เวลานี้รอบตัวมีแต่พาสต้า พิซซ่า น้ำมันมะกอก มะเขือเทศ ไปยันร้านเบเกอรีและร้านเจลาโตที่น่าชิมลิ้มลองไปซะทุกอย่างเป็นอีกวันที่ฉันค้นพบว่าเมืองบางเมืองนั้นเลอค่าเกินกว่าจะมองเป็นแค่ทางผ่าน ปอร์โต เวเนเร ก็เป็นแบบนั้นแหละ
สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไป – กลับโรมโบโลญญา ตูริน และเจนัว ทุกวัน จะตั้งต้นที่ไหนก็ได้ สอบถามรายละเอียดที่ 0 2231 0300 – 7 หรือคลิก www.turkishairlines.com ใครจะแวะเที่ยวอิสตันบูลเป็นของแถมก็ได้เพราะเดี๋ยวนี้คนไทยเข้าตุรกีไม่ต้องทำวีซ่า
– จากหัวเมืองใหญ่ ในอิตาลี นั่งรถไฟไปตั้งหลักที่เมืองลา สปีเซีย คลิกไปดูรายละเอียดของตารางรถไฟได้ที่ www.raileurope.co.th จากที่นั่นนั่งรถเมล์ต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงจะพักที่ลา สปีเซียหรือปอร์โต เวเนเรก็ได้ ทั้ง 2 เมืองมีให้เลือกค่อนข้างเยอะและหลากหลายระดับ คลิกไปสำรวจได้ที่เว็บไซต์เอ็กซ์พีเดีย www.expedia.co.th ถ้าไม่อยากหอบกระเป๋าพะรุงพะรัง แนะว่าพักที่ลา สปีเซียแล้วค่อยนั่งรถเมล์ไปเที่ยวจะดีกว่า แต่ถ้าใครอยากได้บรรยากาศโรแมนติกก็พักที่ปอร์โต เวเนเรจะดีกว่า
– เดือนที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งคือเดือนกรกฎาคม และเดือนสิงหาคม เพราะนอกจากอากาศจะร้อนจัดแล้ว นักท่องเที่ยวยังเยอะมาก ค่าที่พักค่อนข้างแพง