Photography Spots in Hong Kong
Story by Editorial Staff
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันกี่เดือนหรือกี่ปีฮ่องกงก็ยังเป็นเมืองที่เหล่านักเดินทางยังเดินทางไปท่องเที่ยวอยู่เสมอด้วยการเดินทางที่สุดแสนง่ายเพียง 3 ชั่วโมงจากประเทศไทย ง่ายจนบางครั้งผมยังเคยได้ยินประโยคจากเพื่อนๆ ว่า “ไปรับประทานข้าวกลางวันที่ฮ่องกงกัน” เพราะคุณสามารถเดินทางช่วงเช้าไปรับประทานกลางวัน จับจ่ายใช้สอยในตอนบ่ายและเดินทาง กลับในยามค่ำคืนได้ แต่ถ้าอยากจะค้างสักคืน แล้วเช้าเที่ยวเต็มวัน
ตอนนี้สายการบินอียิปต์แอร์เป็นอีกหนึ่งสายการบินที่เปิดเส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ สู่ฮ่องกง โดยบินสัปดาห์ละ 3 วันทุกวันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์ เดินทางจากกรุงเทพฯ – ฮ่องกง เวลา 14.15 – 17.50 น. และกลับจากฮ่องกง – กรุงเทพฯ เวลา 22.00 – 23.50 น. ฯลฯ และนอกจากอาหารการกิน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อการสักการะขอพรที่ขึ้นชื่อแล้ว
ความเป็นสตรีตอาร์ต ความสวยงามของสถาปัตยกรรมของฮ่องกงก็ไม่ได้เป็นรองใคร หลายย่านท่องเที่ยวมีจุดให้ถ่ายรูปเช็กอินมากมาย ครั้งนี้ผมมีไกด์ไลน์ พิกัดสำหรับถ่ายรูปที่ฮ่องกง สำหรับคนชอบถ่ายรูปมาฝาก สถาปัตยกรรมเก๋ไก๋ ถ้าพูดถึงตึกที่ทรวดทรงสวยแปลกตาแล้วละก็ฮ่องกงมีหลายจุดมาก และคนรักการถ่ายภาพสามารถโพสท่าได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
Choi Hung Estate
ชอยฮุงเอสเตท หรือ เคหะสีร้งุ (Rainbow Estate) เป็นที่อยู่อาศัยแบบแฟลตของรัฐบาลฮ่องกงตั้งอยู่ในย่าน Wong Tai Sin อาคารแห่งนี้เก่าแก่มากกว่า 60 ปี เคยได้รับรางวัล เหรียญเงินจาก Hong Kong Institute of Architects ในปี ค.ศ. 1965 อีกด้วย คำว่า Choi Hung หมายถึง สายรุ้งนั่นเอง โดยสายรุ้งที่ว่าก็มาจากการออกแบบสีของอาคารให้มีสีสันไล่เฉดสีกันถึง 8 สี (มากกว่าสีรุ้งอีก) จากโทนอ่อนไปเข้ม โดยด้านข้างอาคารเป็นที่จอดรถซึ่งดาดฟ้าของอาคารนั้นได้ปรับพื้นที่เป็นสนามบาสสำหรับให้ผู้พักอาศัย ได้เข้ามาออกกำลังกาย เมื่อยืนอยู่บริเวณดาดฟ้าแห่งนี้ก็จะเห็นสีสันของแป้นบาส สนามบาส และตัวตึกที่ตัดกันด้วย โทนสีเหลือง แดง ฟ้า ชมพู ฯลฯ นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีที่นั่งพัก ศาลาไว้หลบแดด วิถีชีวิตผู้คน ถือเป็นสถานที่ถ่ายรูปและพักผ่อนไปในตัว
Hong Kong Cultural Centre
ศูนย์วัฒนธรรมฮ่องกง เป็นสถานที่จัดแสดงอเนกประสงค์ตั้งอยู่ที่ถนน Salisbury ในย่าน จิมซาจุ่ย ฝั่งเกาลูน บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร สร้างขึ้นโดยสภาเมืองเก่าและตั้งแต่ปี 2000 ได้รับการบริหารงานโดยฝ่ายบริการด้านวัฒนธรรมและสันทนาการของรัฐบาลฮ่องกง เปิดบริการทุกวัน เวลา 09.00 – 23.00 น. ด้านใต้อาคารเป็นลักษณะเสาที่เอียง เวลามีแสงลอดผ่านเข้ามาตามช่องเสา เป็นลักษณะของแสงเงาที่สวยงามมาก ใกล้กันนั้นหอนาฬิกาเก่าที่สร้างตั้งแต่ปี 1915 เป็นส่วนหนึ่งของสถานีรถไฟเกาลูน หอนาฬิกานี้สูงถึง 44 เมตร สร้างจากอิฐสีแดงและหินแกรนิต ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงความรุ่งเรืองของยุคเครื่องจักรไอน้ำ และบริเวณนี้เองที่เป็นจุดชม A Symphony of Lights ที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง
ตึกย่านเซ็นทรัล
ตึกในย่านนี้ถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเกาะฮ่องกง โดยมากพื้นที่ของฮ่องกงเป็นทำเลทองที่มีฮวงจุ้ยดีที่สุดในโลก ตามหลัก“หน้านำหลังเขา” ที่โบราณพูดต่อๆ กันมา ดังนั้นการออกแบบตึก จึงต้องคำนึงถึงหลักฮวงจุ้ย เพื่อให้ทำมาค้าขายได้อย่างเจริญรุ่งเรือง เดินทางมาย่านนี้ด้วย MTR ลงสถานี Central ออกทางออก K
ตึกสำนักงานใหญ่ธนาคาร HSBC (HSBC Bank Headquarters) ตึกที่ถือได้ว่าเป็นตึกที่มีตำแหน่งฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดของฮ่องกง และถูกระบุว่าเป็นตึกที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซึ่ง ณ เวลาที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 1985 ด้วยทุนก่อสร้างสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ออกแบบโดย Sir Norman Foster สถาปนิกชื่อดังชาวอังกฤษ ดาดฟ้าของตึกมีเครนขนาดใหญ่ซึ่งมีลักษณะเหมือนปืนใหญ่ตั้งอยู่
ด้านหน้าตึกมีจัตุรัสรูปปั้นเซอร์โทมัส แจ็กสันผู้ก่อตั้งธนาคาร และรูปปั้นสิงโตสองตัวตั้งอยู่ ชื่อว่า Stephen (คำราม) และ Stitt (สงบนิ่ง) ตามชื่อของอดีตผู้บริหารใหญ่ของธนาคาร เชื่อกันว่าหากใครได้ไปลูบอุ้งเท้าของสิงโตดังกล่าวจะโชคดี อีกตึกที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ Bank of China Tower ที่เป็นอาคารสูง 70 ชั้น ออกแบบโดยปรมาจารย์แห่งสถาปัตยกรรมยุคใหม่ I.M. Pei (Leoh Ming Pei) ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากต้นไผ่ที่กำลังเติบโต ตามความเชื่อของชาวจีนว่าการเติบใหญ่ของต้นไผ่นั้นคือสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง แต่หลายคนก็มองว่าตึกนี้คล้ายกับคมดาบที่สามารถฟาดฟันทั้ง 10 ทิศมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหันคมดาบไปยังตึกเก่าอย่าง HSBC ด้วย ตึกนี้สามารถขึ้นไปชมวิวที่ชั้น 43 ได้ ขึ้นไปก็จะเห็นมุมมองฮ่องกงในมุมสูงสวยไปอีกแบบ
อีกตึกที่ไม่เหมือนใครในย่านนั้นคือ ตึกแฝดลิปโป (Lippo Centre Towers) ตึกนี้สร้างเสร็จตั้งแต่ปี 1988 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกันชื่อดัง Paul Rudolph แรกเริ่มชื่อตึก Bond Centre ตามเจ้าของเดิมคือ บริษัท Bond Corporation ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อตามผู้ถือครองตึก เรื่อยๆ มาปัจจุบันบริษัทผู้ถือกรรมสิทธิ์ คือ Lippo Group ตึกนี้เลยเรียกว่าตึกลิปโป
ตัวตึกสร้างให้คล้ายกิ่งไผ่ ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองแต่ด้วยการออกแบบที่ทำให้หลายคนมองเป็นเหมือนโคอาล่าเกาะต้นไม้อยู่ ตึกทั้งสองตึกนี้คล้ายกันต่างกันแค่ความสูงเท่านั้น ตึกหนึ่งสูง 42 ชั้น และอีกตึก46 ชั้น ว่ากันว่าตึกนี้มีค่าเช่าถูกที่สุดในย่านนี้ เพราะการออกแบบเป็นลักษณะกลม ไม่เป็นเหลี่ยมมุมตามศาสตร์ฮวงจุ้ย อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ถ้ามา MTR ลงสถานี Central ออกทางออก J2 หรือสถานี Admiralty ทางออกB ก็จะมาโผล่ใกล้ตึกนี้
อีกตึกหนึ่งที่น่าจะเป็นจุดที่หลายคนนิยมไปถ่ายรูปสำหรับย่านตึกเก๋ไก๋ย่านนี้คือ โรงแรม The Royal Pacific Hotel หรือที่หลายคนมักเรียกว่าตึกทอง โรงแรมที่มีผนังกระจกสีทองหรูหราบนถนนแคนตัน (Canton Road) และตั้งอยู่ติดกับห้างสรรพสินค้าฮาร์เบอร์ ซิตี้ (Harbour City) เป็นหนึ่งในโรงแรมของ Sino Group ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้จังหวะดีๆ ฟ้าสวยๆ ได้แสงตอนพระอาทิตย์กำลังตก ยังไงคุณจะได้ภาพที่สวยงามแน่นอน
จากย่านเซ็นทรัล อีกหมู่ตึกหรือจะเรียกว่าอาคารที่พักอาศัยก็ว่าได้ ในย่าน Quarry Bay ย่านอุตสาหกรรมฮ่องกงกับ Montane Mansion Building 1 ใน 5 ตึกของ Monster Building โด่งดังมาจากเป็นฉากหนึ่งของภาพยนตร์ชื่อดัง อย่าง Transformers: Age of Extinction และ Ghost in the shell นั่นเอง
ลักษณะของตึกเป็นรูปตัว E ด้วยพื้นที่ของมุมที่แคบ อีกทั้งเป็นย่านที่อยู่อาศัยค่อนข้างแออัดบวกกับผู้คนที่เดินทางไปถ่ายรูปจุดนี้มากเป็นพิเศษ ทางการจึงมีการขอร้องให้งดการใช้เสียงและไม่อนุญาตให้ถ่าย แต่ถ้าใครอยากไปชมสามารถเดินทางไปได้โดย MTR ลงที่ สถานี Choi Hung Station ทางออก C3
Street Art ศิลปะอยู่รอบตัว
สำหรับใครที่หลงใหลการถ่ายรูปแนวสตรีตอาร์ตหรือการถ่ายภาพศิลปะบนกำแพงผนัง นั่ง MTR มาลง สถานี Central ทางออก C หรือจะลงสถานี Sheung wan ทางออก E2
จากนั้นค่อยๆ เดินไปตาม Hollywood Rd. / Gough Rd. / Aberdeen Rd. จนไปถึงสถานี Central ก็ย่อมได้ ระหว่างเส้นทางก็จะมีภาพงานศิลปะบนกำแพงเยอะมาก ยกตัวอย่างผลงานเด่นๆ อย่างเช่น Graham Street / 48 Hollywood Road
ภาพกิจกรรมมากมายสีสันสดใสวางบนพื้นกำแพงสีน้ำเงินอมฟ้าด้านข้างตึกแถวยุคเก่าของฮ่องกงผลงานของ Alex Croft ถือเป็นภาพศิลปะริมถนนที่มีคนบันทึกภาพมากที่สุดภาพหนึ่งของฮ่องกง 82 Hollywood Road
ภาพปลาคาร์ปขนาดใหญ่ 2 ตัวแหวกว่ายในบ่อเป็นผลงานการเปลี่ยนกำแพงธรรมดาให้เป็นบ่อน้ำแนวตั้งได้อย่างน่าทึ่งของ Christian Storm ศิลปินร่วมสมัยชาวเดนมาร์ก เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของศิลปะแบบจีนและรูปทรงเรขาคณิต
ในขณะที่รูป 21A Lyndhurst Terrace ของ Elsa Jean de Dieu ศิลปินหญิงชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในฮ่องกงก็สร้างความสุขและแต่งแต้มรอยยิ้มให้กับคนที่พบเห็น ด้วยภาพผู้ชายอยู่ท่ามกลางฟองสบู่ที่กำลังลอยฟ่อง บนกำแพงโมเสกสีดำของ Lush Spa บริเวณทางลาดของถนน Cochrane Street
ส่วนภาพ Madera Hollywood Hotel ซึ่งเป็นภาพเหล่าดาราชื่อดังตำนานของวงการภาพยนตร์ทั้ง มาริลีน มอนโร, ออเดรย์ เฮปเบิร์น และชาร์ลี แชปลิน ร่วมเฟรมกับ แฟรงก์ ซินาตรา ในแบบศิลปะป๊อปอาร์ตบนกำแพงของโรงแรมแห่งหนึ่งบนถนน Hollywood Road ก็เป็นอีกจุดที่มีคนถ่ายรูปไม่น้อย
ต่อด้วยภาพ Tank Lane ผลงานของ Xeva ศิลปินภาพบนกำแพงชาวเกาหลีใต้ ที่ใช้เทคนิคเฉพาะตัวในการเรียงโมเสกเป็นภาพบรูซ ลี นักสู้ในตำนาน กับอิริยาบถแอ็กท่าต่อสู้ ที่บันไดด้านข้างๆ ก็เป็นอีกจุดที่ไม่ควรพลาด
นี่เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะบนกำแพงในโซนเมืองเก่าของฮ่องกง ที่ผมอยากแนะนำ ใช้เวลาเดินทั้งวันก็เกือบจะเก็บภาพได้ไม่หมดทุกจุด
มุมธรรมชาติและจุด Top Hit ที่ ห้ามพลาด
หนึ่งในจุดถ่ายรูปที่มาแรงในช่วงปีที่ผ่านมา หากเป็นวิวธรรมชาติ คงหนีไม่พ้น Sai Wan Swimming Shed เพื่อให้นักว่ายน้ำเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ นับเป็นเพิงสุดท้ายในฮ่องกง ซึ่งยังคงถูกใช้ก่อนลงทะเล ปัจจุบันเหลือเฉพาะที่นี่เท่านั้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะที่นี่เคยเป็นสถานที่ ถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลง You Are ของนักร้องเกาหลีวง GOT7 ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลมาถ่ายรูปกันมาก
สำหรับผมที่นี่เหมาะแก่การมากินลมชมวิวทะเลเป็นอย่างมาก ยิ่งตอนพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าน้ำขึ้นเกือบ เต็มใต้สะพาน เห็นฟองคลื่นสีขาวกระทบโขดหิน บรรยากาศเหงาๆ หน่อย มีพื้นหลังเป็นพื้นน้ำ ฟ้าสีอมส้ม โรแมนติกสุด (ซึ่งความจริงคนเยอะมาก) การมาที่นี่ยุ่งยากนิด ให้นั่ง MTR ลงที่สถานี Kennedy Town Exit B แล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ผมแนะนำให้ใส่ชื่อสถานที่แล้วเดินตาม google มาเลย จะเห็นบันไดเขียวเดินลงไปแต่ผู้คนเยอะอยู่เดินตามๆ กันไปได้
Victoria Peak ที่สุดของจุดถ่ายรูปที่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสวยที่สุดของฮ่องกง และเป็นมุมฮิตมุมฮอต ไม่มาไม่ถ่ายไม่ได้เลยกับวิกตอเรีย พีค ยอดเขาที่สูงที่สุดในฝั่งของเกาะฮ่องกง ด้วยความสูงประมาณ 552 เมตร จากระดับน้ำทะเลทำให้คุณสามารถเห็นวิวทั้งเกาะฮ่องกงและเกาะเกาลูนได้เลย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ ช่วงเย็นถึงค่ำ เป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า และเหล่าบรรดาตึกสูงทั้งหลายกำลังจะเปิดไฟแข่งกัน
ในอดีตที่นี่เคยเป็นสถานที่ส่งสัญญาณให้กับเรือเดินสมุทรที่เดินทางเข้ามาค้าขายผ่านทางฮ่องกงในช่วงศตวรรษที่ 19 ต่อมาได้มีขุนนางระดับสูงมาสร้างที่พักอาศัยอยู่ด้านบน ว่ากันว่าที่พักบนวิกตอเรีย พีค แพงหูดับทีเดียว การขึ้นไปด้านบนนั้นสามารถทำได้หลายวิธีนั่งรถบัสไปก็ได้ ขับรถไปก็ได้ แต่ที่นิยมและสุดคลาสสิก คงไม่พ้นการขึ้นรถรางหรือรถ Tram คอยให้บริการโดยรถจะวิ่งไต่ระดับทางลาดภูเขาขึ้นไปถึงความสูงประมาณ 396 เมตรเหนือระดับน็ำทะเล ด้านบนนอกจากมีจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อ แล้วยังมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม พิพิธภัณฑ์และเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอีกด้วย การเดินทางไปนั้นทำได้หลายวิธีแต่วิธียอดนิยมอันดับหนึ่งเลยก็คือการขึ้นรถราง The Peak Tram ณ สถานีรถรางที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า MTR Central
อีกมุมหนึ่งที่ผมแนะนำให้ถ่ายภาพคือบนรถ Hong Kong Tram รถสองชั้นที่มีหลากหลายแบบที่วิ่งไปมาทั่วเกาะฮ่องกงนี่แหละ เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของที่นี่ ลองขึ้นไปนั่งบนชั้น 2 เหม่อออกไปด้านนอก ยิ่งเวลาผ่านหมู่ตึกสวยๆ ได้ภาพเก๋อย่าบอกใคร หรือจะโพสท่าง่ายๆ ข้างรถที่จอดติดไฟแดง อยู่ก็เก๋ดีไม่แพ้กัน เชื่อผมเถอะว่าได้เป็นร้อยรูป แค่เฉพาะรถแทรมของที่นี่
สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะถ่ายรูปจุดไหน มุมไหนหรือแอ็กท่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรคำนึงอยู่เสมอ คือมารยาทในการถ่ายรูป อย่าแย่งซีนเบียดกล้องผู้อื่น อย่าส่งเสียงเอะอะโวยวาย รบกวนเจ้าของพื้นที่ผู้พักอาศัย แค่นี้เราก็ได้รูปสวยๆ พร้อมรอยยิ้มของคนรอบข้างกลับมาแล้ว