ไต่เขา..ปีนฟ้า..ที่ปาตาโกเนีย
Story & Photo by Kanjana Hongthong
ต่อให้ไม่ชอบการเดินเท้าขึ้นเขา ฉันก็คงอยากมาปาตาโกเนีย (Patagonia) อยู่ดี แต่ยิ่งเป็นพวกหลงใหลการเดินเท้าขึ้นเขาเป็นทุนเดิม ยิ่งกระตุ้นให้ฉันหายใจเข้าออกเป็นปาตาโกเนียเข้าไปใหญ่
อาร์เจนตินารอบแรกพาตัวเองดั้นด้นไปไม่ถึงปลายสุดของแผนที่ เพราะมัวแต่ไประเริงน้ำตกอิกัวซูและเต้นแทงโก้อยู่ที่นครบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินารอบหลัง เกือบไปไม่ถึงปาตาโกเนีย เหมือนกัน เพราะมัวแต่ไปเตร็ดเตร่แถวไร่องุ่นตีนเขาแอนดีสที่เมืองเมนโดซา แต่ความอยากไม่เคยปราณีใคร ความมุ่งมั่นก็ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้อุปสรรคหน้าไหนเหมือนกัน ระยะห่างระหว่างบัวโนสไอเรสและปาตาโกเนียกว่า 3 พันกิโลเมตรจึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่มีใจให้ปาตาโกเนีย ขนาดนั่งเรือบินไปหายังใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง นี่ถ้านั่งรถไปจากนครหลวงของอาร์เจนตินา ฉันคงนั่งรถจนริดสีดวงถามหา
จุดหมายปลายทางของเรือบินอยู่ที่เอล คาลาฟาเต (El Calafate) เมืองที่เป็นศูนย์กลางของปาตาโกเนียในฝั่งอาร์เจนตินา ที่บอกว่าฝั่งอาร์เจนตินา นั่นก็เพราะปาตาโกเนียนั้นเป็นสถานที่ทางธรรมชาติที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ กินพื้นที่คลุมอาร์เจนตินาและชิลีเอาไว้
สำหรับคนมีเวลาเที่ยวปาตาโกเนียนานนับเดือน เขาจะค่อยๆ เลาะเที่ยวไปทีละนิด จากนั้นข้ามฝั่งอีกประเทศหนึ่ง แต่สำหรับคนมีเวลาและงบประมาณจำกัดจำเขี่ย จำใจต้องเลือกและเฟ้นมุมที่คิดว่าเด็ดและโดนใจจริงๆ กว่าจะมาลงเอยที่เอล คาลาฟาเต ฉันเองก็ทำการบ้านสิบตลบ ทั้งเรื่องต้นทุน ค่าเดินทาง และความกว้างใหญ่ไพศาลของปาตาโกเนีย ทำเอาวิงเวียนไปหลายวัน แต่เอล คาลาฟาเตก็สมนาคุณคนบากบั่นด้วยฉากธรรมชาติอันเลอค่าส่งมาต้อนรับตั้งแต่ล้อเรือบินแตะเมืองเอล คาลาฟาเต
ตัวเมืองเอล คาลาฟาเตเล็กขนาดเดินแค่ชั่วโมงเดียวก็ทั่วแล้ว แต่บังเอิญว่าเป็นเมืองที่อยู่ในละติจูดที่เทือกเขาแอนดีสมาบรรจบกับที่ราบสูงซานตาครูซ มีทะเลสาบทอดตัวอยู่กลางเมือง จึงห้อมล้อมไว้ด้วยฉากงามๆ แต่ต่อให้งามแค่ไหน ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนขลุกอยู่ที่นี่ เพราะรายรอบเอล คาลาฟาเตนั้นมีแม่เหล็กวางล่อเป้าเหนี่ยวนักท่องโลกให้ขยับตัวเข้าใกล้เต็มไปหมด หนึ่งในนั้นคืออุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรสที่จัดว่าเป็นอุทยานดาวเด่นในเขตปาตาโกเนีย ความที่เอล คาลาฟาเตเป็นเมืองต้นทางของการท่องปาตาโกเนีย เดินเซล้มไปตรงไหนก็มีทราเวล เอเย่นต์ขายตั๋วรถเที่ยวอุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรสเต็มไปหมด
ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีห่มอุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรสเอาไว้พอดี ยิ่งทำให้เสน่ห์ของอุทยานแห่งนี้จัดจ้านขึ้นเป็นกอง แต่ไม่ว่าใครจะมาฤดูไหน ธารน้ำแข็งเปอริโต มอเรโนที่เป็นนางเอกประจำอุทยานก็ไม่เคยเปลี่ยนไป มันไม่เคยเปลี่ยนตัวเองตามฤดูกาล และรอคอยการมาเยือนของนักเดินทางอย่างไม่รู้เบื่อ มีหลายวิธีที่สามารถเข้าประชิดตัวธารน้ำแข็งเปอริโต มอเรโน ฉันเองก็วางแผน
ทั้งล่องเรือและเดินเท้าเข้าใกล้เธอ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันล่องเรือเข้าใกล้ธารน้ำแข็ง เมื่อคราวล่องเรือไปอลาสก้า เรือตึกค่อยๆ พาเบียดธารน้ำแข็ง แต่ไม่รู้สึกว่าใกล้ชิดเท่าตอนนี้ ที่เรือค่อยๆ เขยิบทีละนิดๆ จนเกือบได้ยินเสียงหายใจของธารน้ำแข็งเปอริโต มอเรโน
ข้อมูลจากการท่องเที่ยวเอล คาลาฟาเตบอกว่า รอบๆ เมืองเอล คาลาฟาเตมีธารน้ำแข็งกว่า 300 แห่ง แต่เปอริโต มอเรโนคือธารน้ำแข็งที่เนื้อหอมที่สุด นั่งเรือเข้าหาธารน้ำแข็งเปอริโต มอเรว่าฟินแล้ว แต่พอเดินเท้าเข้าป่าเลือดยิ่งสูบฉีด อุทยานทำสะพานไม้เอาไว้ให้เดินแบบเนี้ยบมาก ไม่ต้องกลัวหลง เพราะป้ายและแผนที่มีไว้บอกทิศทางทุกพิกัด ฉันมันพวกชอบแหกกฎเป็นนิสัย เขามีแผนที่คอยบงการ ฉันชอบเลี้ยวลดไปตามใจเท้า ซอกแซกไปตามใจปรารถนา แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเลี้ยวไปทางไหนก็ไปลงเอยในจุดชมวิวที่อยู่สุดสะพานไม้อยู่ดี
ไม่ได้มีซุปตาร์หน้าไหนรออยู่ที่นั่น แต่ที่จ้องหน้าเราทุกคนอยู่ตรงหน้าคือธารน้ำแข็งเปอริโต มอเรโน ใกล้จนแทบจะเอื้อมมือไปสัมผัสร่างอันขาวโพลนตรงหน้าได้ มีเพียงทะเลสาบอาร์เจนติโนที่วางตัวกั้นมนุษย์กับธรรมชาติ ราวกับว่าเปอริโต มอเรโน คือคนดังจากฮอลีวู้ด จึงมีแต่ชัตเตอร์ลั่นใส่เจ้าหล่อนกันเสียงระงมไปหมด ธารน้ำแข็งฟอกซ์ที่นิวซีแลนด์ และธารน้ำแข็งเมนเดนฮอล์ที่อลาสกาที่ฉันเคยเจอเลยดูย่อมไปเลย เพราะเปอริโต มอเรโนที่ทอดร่างอยู่ข้างหน้าทั้งกว้างและใหญ่ขนาดนี้ น่าจะเป็นพญากลาเซียร์ได้เลย
นี่คืออนุสรณ์สถานทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่จนทำให้มนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่เฝ้ามองความเป็นอยู่ของธรรมชาติอย่างเงียบๆ ส่วนฉันรู้สึกคล้ายว่ากำลังยืนดูมหรสพโรงใหญ่ ที่นางเอกสวมชุดสีขาวกำลังร่ายร่ำอยู่บนเวที แทบไม่มีใครกะพริบตา เพราะอยากเห็นเจ้าหล่อนในทุกท่วงท่า ฉันเองก็เป็นแบบนั้น ได้แต่นั่งทอดอารมณ์ทอดสายตามองเปอริโต มอเรโนอย่างไม่วางตา ธารน้ำแข็งที่อยู่ในเขตอุทยานนี้ เกิดจากการที่หิมะตกบนเทือกเขาแอนดีส พอนานเข้าก็กลายเป็นหิมะที่เมื่อโมงยามล่วงไปนับพันปี หิมะที่ทับถมกันเหล่านี้ก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็ง จนเกิดเป็นธารน้ำแข็ง
ด้วยสัดส่วนของธารน้ำแข็งเปอริโต มอเรโน ที่กว้างประมาณ 5 กิโลเมตร สูงจากผืนน้ำราวๆ 60 เมตร ทำให้ถูกระบุว่าเป็นธารน้ำแข็งผืนใหญ่ที่สุดในแถบขั้วโลกใต้ ถ้าเดิน ลึกลงไปอยู่ในมุมต่ำ ก็จะพบว่านี่มันคือกำแพงน้ำแข็งขนาดมหึมา ดูเหมือนภาวะโลกร้อนกำลังกลายเป็นปัญหาของธารน้ำแข็งทั่วโลก ที่เปอริโต มอเรโนก็น่าจะเหมือนกัน เพราะระหว่างที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ก็จะได้ยินเสียงดังลั่นของธารน้ำแข็งที่แตกตัวและทลายลงสู่ผืนน้ำ เป็นแบบนี้แทบทุก 10 นาที เพราะแบบนี้ในทะเลสาบอาร์เจนติโนจึงมีไอซ์เบิร์กหรือก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยอยู่เป็นหย่อมๆ ฉันน่ะแค่ยืนดูอยู่ห่างๆ แต่บางคนที่เตรียมอุปกรณ์มาพร้อม ก็พากันเดินเท้าขึ้นไปย่ำบนธารน้ำแข็งอย่างสนุกสนาน เรียกว่าเข้าถึงเนื้อถึงตัวเปอริโต มอเรโนกันเลยทีเดียว
ที่ไม่ไปเดินบนธารน้ำแข็ง เพราะฉันออมแรงไว้เทรคกิ้งในเส้นทางเดินเท้าในของอุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรสที่อยู่ในเขตเอล ชาลเท็น (El Chalten) ต่างหาก 90% ของนักเดินทางที่ดั้นด้นมาถึงเอล คาลาฟาเต โดยมากจะเดินทางต่อไปหา เอล ชาลเท็น นี่คือหมู่บ้านเล็กๆ แสนสงบที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส และเป็นเมืองหน้าด่านของคนที่ปรารถนาจะย่ำสองเท้าไปบนเทือกเขาแอนดีสที่อยู่ในเขตปาตาโกเนีย ฉันเองก็เป็นแบบนั้น
ความจริงไม่ต้องออกแรงเดินไปไหนหรอก แค่นอนเอกเขนกตีพุงอยู่ในหมู่บ้าน ฉันก็รู้สึกว่าถูกล้อมจับไว้ด้วยวิวสวยๆ เพราะมองจากหน้าต่างห้องนอน ก็มองเห็น 2 ยอดเขาชื่อดังอย่างเซอร์โร ตอร์เร และเซอร์โร ฟิทซ์ รอย ได้อย่างเด่นชัด แต่อุตส่าห์บุกป่าฝ่าน้ำแข็งมาถึงที่นี่ จึงไม่มีใครทำแบบนั้น พอมาถึงที่นี่ทุกคนก็หาเส้นทางเดินเท้าขึ้นเขากันให้ควั่กไปหมด ค่าที่เป็นเมืองหลวงของการเดินเท้าขึ้นเขา ทางอุทยานก็มีเส้นทางเทรคกิ้งให้เลือกเยอะมาก นักเดินเขามือสมัครเล่น มักจะเลือกเดินไปทะเลสาบคาปรี ซึ่งระยะทางขึ้นเขาราวๆ 7 กิโลเมตร เส้นทางนี้นอกจากจะได้ชมทะเลสาบแล้วยังได้เห็นยอดเขา เซอร์โร ฟิทซ์ รอยด้วย
อีกเส้นทางหนึ่งที่ยอดนิยมไม่แพ้เส้นทางไปทะเลสาบคาปรีคือเส้นทางไปมิราดอร์ เดล ตอร์เร เป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรโดยประมาณ ใครเป็นขาเทรคระดับมือโปรก็มีเส้นทางเดินเท้าแบบเป็นอาทิตย์และเป็นเดือนก็มี เลือกได้ตามกำลังวังชาและสังขาร ส่วนฉันแค่ขอเดินชิลล์ๆ เบาๆ ไปทะเลสาบคาปรี ที่ตลอดเส้นทางเดินเท้าพูดได้คำเดียวว่า เลอค่ามาก เมื่อฤดูใบไม้เปลี่ยนสีกำลังสะบัดสีสันห่มคลุมไว้ทั่วป่า มีหิมะโปรยปรายลงมาห่มต้นไม้ใบหญ้าตลอดทาง อีกไม่นานฤดูหนาวคงเดินทางมาถึง ฤดูกาลกำลังออกเดินทาง ไม่ต่างจากฉันที่กำลังออกเดินเท้า บนเส้นทางแสนมหัศจรรย์ที่ชื่อปาตาโกเนีย
ข้อมูลเพิ่มเติม
– จากกรุงเทพฯ ไปประเทศอาร์เจนตินา มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปบัวโนสไอเรส (ไม่ใช่บินตรง)
– จากบัวโนสไอเรสไปเอล คาลาฟาเต้ระยะทางเกือบ 3 พันกิโลเมตร ค่อนข้างไกลมาก มีรถบัสจากบัวโนสไอเรสแต่ใช้เวลาหลายวันและต่อรถสองต่อ ถ้าบินประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า
– ที่เอลคาลาฟาเตและเอล ชาลเท็นมีที่พักให้เลือกเยอะมาก ทั้งโฮเท็ลและโฮสเท็ลแน่นเมืองไปหมด แถมหลากหลายระดับและราคา คลิกเข้าไปเช็คได้จาก websit
– อาร์เจนตินาใช้เงินสกุลเปโซ
– คนไทยเดินทางไปเที่ยวอาร์เจนตินา อยู่เที่ยวได้ 90 วันโดยไม่ต้องทำวีซ่า หากต้องการอยู่นานกว่านั้นสอบถามสถานทูตอาร์เจนตินาได้ที่ อาคารกลาสเฮ้าส์ โทร. 0 2259 0401