Paris in love
เรื่องโดยทีมงาน Vacationist
ความงามของศิลปะที่มาพร้อมกลิ่นอายแห่งความโรแมนติก แทบจะเรียกได้ว่าเป็น สัญลักษณ์ของปารีส (Paris) ฝรั่งเศส นอกเหนือจากคำว่า แหล่งรวมแฟชั่น ทั้งโรงเรียนสอนศิลปะ พิพิธภัณฑ์ที่รวมงานชื่อดังก้องโลกที่ประเมินค่าไม่ได้ โบสถ์ที่มีการก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่ชวนให้หลงรัก ไปถึงการวางผังเมืองที่สวยงาม เรียกร้องและเชิญชวนให้ผู้คนทั่วสารทิศปักหมุดหมายว่าสักครั้งในชีวิตต้องเดินทางมาที่เมืองแห่งความโรแมนติกแห่งนี้
สำหรับช่วงสถานการณ์โควิด-19 (ปัจจุบันมกราคม 2565)สำหรับการเดินทางไปฝรั่งเศสประเทศไทยยังคงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศสีส้ม (Pays « orange » หรือ “Amber list” Countries) กล่าวคือประเทศที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่องของเชื้อไวรัสแต่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และไม่มีการระบาดของสายพันธุ์ที่น่ากังวล ดังนั้นผู้เดินทางจากประเทศสีส้มจะเดินทางเข้าฝรั่งเศส จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์การยาสหภาพยุโรป (European Medicines Agency : EMA) ครบจำนวนครั้งที่กำหนด ยกตัวอย่างเช่น ต้องได้รับการฉีดเข็มสองด้วยวัคซีน Comirnaty (Pfizer & BioNTech), Spikevax (Moderna), COVID-19 Vaccine Janssen และ Vaxzevria (AstraZeneca)และมีหลักฐานยืนยัน ได้รับยกเว้นจากการบังคับใช้ข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศฝรั่งเศส หรือถ้าผ้เู ดินทางจากประเทศสีส้มที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนที่ได้รับการรับรองจาก EMA ยังคงต้องแสดงเหตุจำเป็นในการเดินทางเข้าประเทศฝรั่งเศสตามรายการเหตุจำเป็น (Motifs Impérieux หรือ Compelling Reasons) เช่นอาจจะเป็นประชาชนชาวฝรั่งเศส คู่สมรส เป็นต้น (อ้างอิงข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย)
การเดินทางในกรุงปารีส สำหรับคนที่เที่ยวประมาณ 2-5 วันเราแนะนำให้ซื้อพาส (Pass) หรือบัตรผ่าน จะสะดวกสุด ประหยัดทั้งเงิน ทั้งเวลาที่ไม่ต้องไปต่อคิวเข้าสถานที่ต่างๆ ให้เสียเวลาเที่ยวอีกด้วย บัตรที่แนะนำอย่างเช่น Paris Pass – รวม Museum Passมากกว่า 60 แห่งในกรุงปารีส + Travel Card + Big Bus Paris Hop-On-Hop-Off ใน 1 วัน ราคามีตั้งแต่ 2 วันไปถึง 6 วัน แต่ถ้าคุณมาวันเดียว เลือก Paris Passlib’ ได้คุณสมบัติบัตรคล้ายกับParis Pass แต่มีแบบ 1 วันขาย เมื่อซื้อบัตรผ่านแบบสะดวกสบายแล้ว ลองไปนั่งรถ Big Bus Paris Hop-On-Hop-Off ดูบัตรผ่านที่เราซื้อสามารถใช้ได้ 1 วัน โดยเส้นทางของรถคันนี้จะมี 2 เส้นทางที่วิ่งผ่านจุดสำคัญของปารีส โดยเส้นทางที่ 1 หรือเส้นทางสายสีแดงClassic เริ่มต้นจากจุดขึ้นรถที่ 1 หอไอเฟล ตั้งแต่เวลา 10.00 น. และบริการรถคันสุดท้ายเวลา 18.30 น. ระยะเวลาทัวร์: 2 ชั่วโมง 20 นาที และเส้นทางสายสีน้ำเงิน (Blue Line) ผ่าน Montmartre รวมทั้ง Sacré Coeur และ Moulin Rouge ระยะเวลาทัวร์:1 ชั่วโมง 15 นาที เราสามารถขึ้นจากจุดที่ 1 หรือจุดอื่นๆ ตามเส้นทางได้ทุกจุด ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของกรุงปารีสหากไล่ตามเส้นทางรถสายสีแดง ยกตัวอย่างเช่น
หอไอเฟล (Eiffel Tower)
หอคอยเหล็กลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยมคว่ำที่สูงถึง 324 เมตร ออกแบบและสร้างโดยกุสตาฟไอเฟล ในปี ค.ศ. 1889 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในงาน ExpositionUniverselle และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบ 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งในครั้งนั้นโดนต่อว่าต่อขานจากชาวเมืองเป็นอย่างมากว่า ไม่สวย แต่เวลาผ่านไปหอคอยนี้กลับเรียกได้ว่าเป็นเสมือนตัวแทนและสัญลักษณ์สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของปารีส และฝรั่งเศสก็ว่าได้ เรียกว่าใครมาปารีสแล้วไม่มาที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึงปารีส
หอไอเฟลมีจุดถ่ายรูปสวยๆ หลายจุดด้วยกัน ไม่ว่าลานด้านหน้าจัตุรัสใหญ่นั่งรถไฟใต้ดินสาย 6 หรือ 9 มาลงที่ สถานี Trocadero ฝั่ง Trocadero นี้เป็นจุดที่บริษัททัวร์นำลูกทัวร์มาลง คนก็จะคึกคักหน่อย ตลอดจนสวนสาธารณะอย่างช็องเดอมาร์ส (Champ De Mars) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะแบบเปิดโล่งขนาดใหญ่ในกรุงปารีสด้านล่าง เก้าอี้ไม้ต่างๆ รอบสวนก็สวยดีแต่ถ้าจะให้ไม่เหมือนใครหน่อยก็ตรงสะพาน Bir-HakeimBridge ที่มองลอดใต้สะพานไปเห็นส่วนโค้งใต้สะพานและฐานของหอไอเฟล กับบริเวณถนน Rue de L’Universiteเลขที่ 228 บริเวณนี้หลังๆ ก็มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะมาก หรือบริเวณริมแม่น้ำแซน (Seine River) ก็จะเห็นหอไอเฟลพร้อมเมืองแบบไกล เป็นอีกบริเวณที่สามารถเห็นหอไอเฟล แล้วเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศริมน้ำแสนโรแมนติกได้
ส่วนร้านที่วิวสวยสุดแสนโรแมนติก เราแนะนำร้าน Girafe กับเมนูปลาค็อดอบกับเห็ดโมเรล (Morel) และเห็ดไจโรล (Girolle) พร้อมกับวิวระยิบระยับของหอไอเฟลยามพระอาทิตย์ตก
ถนนช็องเซลีเซ (Champs-Élysées)
เป็นถนนในเขตที่ 8 ของกรุงปารีสชื่อ “ช็องเซลีเซ”มาจากคำว่า “ทุ่งเอลิเซียม” จากเทพปกรณัมกรีกในภาษาฝรั่งเศส มีความยาว 1.2 ไมล์ (1.9 กม.) และเป็นถนนที่สวยงามและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในปารีส เชื่อมประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de Triomphe) กับ จัตุรัสคองคอร์ด หรือ ปลัส เดอ ลา กงกอร์ด (Place de la Concorde)
ตลอดสองข้างทางที่เป็นต้นเกาลัดนั้นประกอบไปด้วยโรงละคร ร้านกาแฟ และร้านขายสินค้าแบรนด์เนม หรูหราที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ส่วนไฮไลต์เด็ดคือทุกสุดสัปดาห์จะมีตลาดนัดกลางแจ้ง
ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de triomphe)
ปลายของถนนช็องเซลีเซคือประตูชัยฝรั่งเศส เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกล (Place Charles de Gaulle) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จัตุรัสแห่งดวงดาว” อยู่ทางทิศตะวันตกของช็องเซลีเซ
ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศสถูกจัดอันดับเป็นประตูชัยที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลก ด้านบนสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของบริเวณโดยรอบได้ การเดินทางง่ายๆ ด้วยรถไฟใต้ดินแล้วมาลงที่สถานี Charles de Gaulle – Étoile จากนั้นให้ออกทาง Wagram Exit เพื่อขึ้นไปที่เกาะกลางที่มีประตูชัยอยู่
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre)
พิพิธภัณฑ์ที่คนที่ชื่นชอบศิลปะใฝ่ฝันที่อยากจะมาสบตากับโมนาลิซา หนึ่งในภาพวาดสีน้ำมันชื่อดังของลีโอนาร์โด ดาวินชี พิพิธภัณฑ์ที่นอกจากจะรวบรวมและจัดแสดงผลงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ดา วินชี โค้ด (The Da Vinci Code)” ถ้าใครได้เห็นพีระมิดแก้วขนาดใหญซึ่งอยู่ตรงด้านหน้าคงพอจะคุ้นตากันอยู่บ้าง นอกจากนั่งรถบัสแบบ Big Bus Paris Hop-On-Hop-Off แล้วเราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 หรือ 7 มาลงที่สถานี Palais Royal – Musée du Louvre ได้เช่นกัน
แรกเริ่มในราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ลูฟวร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการ ก่อนกษัตริย์ Charles V จะเปลี่ยนมาเป็นที่อยู่ของราชวงศ์ช่วงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 และในปี ค.ศ. 1546 กษัตริย์ Francis I จะปรับปรุงเพิ่มสไตล์ French Renaissanceเข้าไปในตัวอาคาร และในปี ค.ศ. 1682 พระราชวงศ์ย้ายไปอยู่ที่พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) ลูฟวร์ก็กลายเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าศิลปินทั้งหลาย และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1793 ในที่สุด
ถ้าคุณต้องการมาดูงานศิลปะกว่า 35,000 ชิ้น ในพื้นที่กว่า 60,600 ตารางเมตรในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์แนะนำให้มาตั้งแต่ก่อน 9 โมงเช้าที่พิพิธภัณฑ์จะเปิดเพราะคนจะเยอะมากๆ โดยเฉพาะส่วนของโมนาลิซา (The Monalisa) ที่คนกรูไปดูกัน อันที่จริงส่วนอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย เป็นงานสฟิงซ์ ที่ส่วนงานจัดแสดงจากอียิปต์ (Egyptian antiquities) รูปปั้นอีกหลายชิ้น เช่น วีนัส เดอ มิโล (Venus de Milo) ของศิลปินในยุคกรีกโบราณ Alexandros of Antioch ก็มีจัดแสดงที่นี่
นอกจากจัดแสดงงานศิลปะต่างๆ แล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของที่นี่คือ พีระมิดแก้วใสที่ตั้งอยู่ตรงลานด้านหน้า ซึ่งใช้เป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์จุดพักก่อนเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์จากทางชั้นใต้ดิน สร้างตามคำสั่งของฟรองซัว ผู้เป็นประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศสในขณะนั้น ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีนชื่อดังนาม I.M.Pei
พีระมิดแห่งนี้ แต่เดิมก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่แพ้หอไอเฟล ปัจจุบันก็กลายเป็นจุดไฮไลต์เด่นไม่แพ้หอไอเฟลเช่นกันเอาใจชาช้อปสักนิด บริเวณตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์จะมีร้านดิวตี้ฟรีขวัญใจคนไทยอย่าง Benlux Louvre ตั้งอยู่ ที่นี่มีสิ่งของสารพัดทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า น้ำหอม เครื่องสำอาง และสินค้าอื่นๆ ในราคาย่อมเยา อย่างเช่น ปากกา Mont Blanc กระเป๋า Longchamp และอีกเพียบให้เราได้ซื้อเป็นของฝากของที่ระลึกกันได้
โรงอุปรากรปาแลการ์นีเย่ (Paris Opera)
เกี่ยวก้อยกันแต่งชุดหรูไปดูโอเปร่าที่โรงอุปรากรปาแลการ์นีเย่ใจกลางเมืองปารีสกัน โรงอุปรากรแห่งนี้สร้างโดยสถาปนิกชื่อ ชาร์ลส์ การ์นีเย่ (Charles Garnier) ตั้งอยู่ทางฝั่งขวา (Right Bank) ของแม่น้ำแซน บริเวณที่เรียกกันว่าเขตโอเปร่า (Opera District) หรือ เขต 9 (9th Arrondissement) บนถนน Boulevard des Capucines นั่นเอง
แค่ได้มองฉากหน้าอาคารใหญ่ด้านนอกที่หันเข้าหาจัตุรัส Place del’Opera รวมทั้งประติมากรรมชื่อดังที่อยู่บนอาคารยังไม่ได้เข้าไปด้านในก็เห็นได้ถึงสถาปัตยกรรมวิจิตรตระการตา ไม่ต้องพูดว่าด้านในหรูหราอลังการขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็น Grand Staircase หรือโถงบันไดหินอ่อนสีขาว ห้องโถงใหญ่ที่ประดับด้วยแผ่นทองและโคมระย้า และโรงละครสไตล์อิตาเลียนหรูหราอลังการซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดแสดงโอเปร่าบัลเล่ต์ และการแสดงดนตรีชื่อดัง โดยสามารถจุผู้ชมได้ถึง 1,900 ที่นั่ง ตัวเวทีของโรงอุปรากรสามารถรองรับนักแสดงได้มากกว่า 400 คน
ถนนช้อปปิ้ง แกลเลอรี วิเวียน (Galerie Vivienne)
อีกหนึ่งแหล่งช้อปปิ้งที่นอกจากจะบรรยากาศสวยงามแล้วก็ไม่ร้อนอีกด้วยเนื่องจากเป็นถนนช้อปปิ้งที่มีหลังคาปกคลุม สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1823 ตั้งอยู่ในเขตที่ 2 ด้านหลัง Bibliothèque Richelieu และใกล้กับ Palais-Royal อยู่ในทำเลที่เงียบสงบ และเป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมเพราะมีความสวยงามขนาดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1974 ถนนช้อปปิ้งสายนี้มีความยาว 176 เมตร และกว้าง 3 เมตร มีตรอกซอกซอย และร้านค้าเรียงรายมากมายทั้งเสื้อผ้า, ร้านน้ำชา, ร้านอาหารรสเลิศ, ร้านไวน์, ร้านขายของชำ, ร้านหนังสือเก่า และอื่นๆ อีกมากมาย
หลังคาโดมแก้วนั้นโปร่งแสงทำให้พื้นที่โดยรวมมีแสงส่องสวยงามพื้นปูด้วยกระเบื้องโมเสกทรงเรขาคณิตที่เป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 19 ภายในตกแต่งด้วยสไตล์ Pompeian ที่ยกระดับให้มีความหรูหรามากยิ่งขึ้น การเดินทางมาด้วยการนั่งรถไฟใต้ดินสาย 3 มาลงยังสถานี Bourse
ร้านหนังสือ Shakespeare and Company
อย่างย่างที่บอกนอกจากปารีสจะมีสถานปัตยกรรมที่สวยงาม งานศิลปะที่น่าชม สถานที่ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ร้านหนังสือ ปารีสมีร้านหนังสือที่สามารถสร้างความพอใจให้กับหนอนหนังสือได้หลายร้านทีเดียว หนึ่งในนั้นคือร้านหนังสือ Shakespeare and Company ร้านที่เป็นหนึ่งในฉากของภาพยนตร์อย่าง Before Sunset และ Midnight in Parisนั่นเอง
ร้านหนังสือแห่งนี้เป็นมากกว่าร้านหนังสือทั่วไป เรียกว่าเป็น”Independent Bookstore” เดิมชาวอเมริกันชื่อว่า Sylvia Beach เป็นผู้ก่อตั้งร้านหนังสือแห่งนี้เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1919 ที่ 8 rue Dupuytren หลังจากนั้นในปี 1922 จึงย้ายร้านมาอยู่ที่เขต 6 ของกรุงปารีส ที่ 12 rue de l’Odéon แต่เดิมนั้นร้านหนังสือแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ให้ยืมหนังสือ และเป็นที่พักพิงให้แก่นักเขียนหลายๆ คน โดยด้านบนของร้านมีที่พักสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ๆ ที่ต้องการหาที่พักในปารีส และแลกค่าที่พักด้วยการช่วยงานในร้านหนังสือบ้างวันละ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้นเองหนังสือส่วนใหญ่ในร้านเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ มีตั้งแต่หนังสือสำหรับเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ นิยายแฟนตาซี งานประพันธ์วรรณกรรมชั้นดีจำนวนมากให้เลือกจนลายตา นอกจากนี้ ยังมีหนังสือเก่าบางส่วนที่ไม่ได้เอาไว้ขาย แต่ให้อ่านได้ตามสบายจนพอใจค่อยนำกลับไปเก็บคืนไว้ที่เดิม ข้างๆ ร้านหนังสือเป็นคาเฟ่ที่ให้ผู้คนมานั่งอ่านหนังสือพลางจิบกาแฟ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแสนโรแมนติกของแม่น้ำแซนกรุงปารีสอีกด้วย
ในช่วงเย็นๆ บรรยากาศของกรุงปารีสจะอบอวลไปด้วยความโรแมนติก เหมาะสำหรับการดูพระอาทิตย์ตกดิน อย่างบริเวณริมแม่น้ำแซนก็มีหลายจุดให้ได้นั่งพักชมวิวกัน หรือถ้าใครอยากล่องเรือยามเย็นเพื่อชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกก็ย่อมได้บริเวณท่าเรือหน้าหอไอเฟลมีบริการล่องเรือชมวิวแม่น้ำแซนเรือออกทุกๆ 30 นาที สามารถมาด้วยรถไฟใต้ดิน สาย 6 หรือ 9 มาลงที่ สถานี Trocadero หรือจะเดินเล่นไปมาก็อยากจะแนะนำที่ สะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 หรือปงอาแล็กซ็องดร์-ทรัว (pont-alexandre-iii)
สะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Pont-Alexandre-iii)
สะพานโค้งสวยหรูพาดผ่านแม่น้ำแซน เพื่อเชื่อมต่อด้านฝั่งหอไอเฟลกับฝั่งช็องเซลีเซเข้าหากัน โดยได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่ สมเด็จพระจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ถูกกล่าวขานว่าเป็นสะพานที่ประดับประดาไปด้วยงานศิลปะชั้นเลิศ และหรูหราที่สุดในปารีส เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ Beaux-Arts แบบอาร์ตนูโว ประกอบไปด้วยโคมไฟอันวิจิตร รูปปั้น ทูตสวรรค์ เทพธิดา และรูปปั้นม้าเทพเพกาซัสสีทองที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ ตั้งอยู่บนเสาหินฝั่งละ 2 เสา ซึ่งเป็นจุดที่คนชอบไปถ่ายรูปกัน
อีกจุดหนึ่งคือรูปปั้นนางพญาที่อยู่ตรงกลางคุ้มของสะพาน ลักษณะรูปปั้นเป็นนางพญาสององค์คุ้มครองตราพันธมิตรในช่วงเย็นถึงค่ำ บริเวณนี้จะสวยงามมากเต็มไปด้วยไฟประดับส่องแสงล้อกับรูปปั้นต่างๆ ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์แห่งฝรั่งเศสและยังเป็นต้นแบบของสะพานมัฆวานรังสรรค์ในประเทศไทยด้วย การเดินทางลงสถานี Invalides ทั้งรถไฟใต้ดิน และรถไฟ RER หรือ สถานีรถไฟใต้ดิน ChampsÉlysées Clemenceau หรือรถบัสสาย 63, 72, 83 และ 93
พระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles)
ปิดท้ายเมืองแห่งความโรแมนติกนี้ด้วย พระราชวังแวร์ซายส์หากคุณพอมีเวลาอยากได้เดินทางต่อไปทางตะวันตกของกรุงปารีส ห่างจากใจกลางเมืองปารีสมาราวๆ 17 กิโลเมตรหรือถ้านั่งรถไฟใต้ดิน แล้วลงที่สถานี Versailles-Rive Gauchecha’teaudeVersailles เดินเท้าต่ออีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงที่นี่ พระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ (Versailles) สถานที่ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2229คณะทูตจากสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งอยุธยา เคยเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ ที่แห่งนี้
พระราชวังแห่งนี้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นพระราชวังที่ใหญ่ และงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วยสถาปัตยกรรมการตกแต่งในส่วนของพระราชวังและสวนโดยรอบที่สุดแสนอลังการ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก