Vacation time in Osaka – ช่วงเวลาพักร้อนในโอซาก้า
Story & Photo by Editorial Staff
โอซาก้า (Osaka) หนึ่งในเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นของภูมิภาคคันไซจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่เลือกเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกหรือครั้งต่อๆ ไป ฉันเองเดินทางไปโอซาก้าหลายครั้งทั้งเดินทางเพื่อเชื่อมต่อไปยังเมืองอื่นข้างเคียงหรือแม้กระทั่งเดินทางไปเพื่อท่องเที่ยวตัวเมืองโอซาก้า ที่นี่ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย
ครั้งนี้ก็เช่นกันฉันเลือกเดินทางด้วยสายการบินนกสกู๊ต ซึ่งใช้เครื่อง Boeing777-200 เวลาเดินทางของฉันเริ่มต้นหลังเลิกงานในช่วงค่ำ และไปเช้าที่โอซาก้า พร้อมท่องเที่ยว ภายในเครื่องมีที่นั่งหลากหลายรูปแบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เดินทางไม่ว่าจะเป็นแบบ Economy ปกติ พื้นที่วางเท้า 31 นิ้ว ขยับขึ้นมาอีกแบบเบาะที่เห็นเป็นสีเหลือง คือ Super Seats ซึ่งมีพื้นที่วางเท้า 35 นิ้ว พิเศษอีกขั้นคือสีเหลืองแถวหน้าสุด เป็น Economy Stretch พื้นที่วางเท้ากว้างถึง 36 นิ้ว แต่ถ้าต้องการความสะดวกสบายแบบครบครันแนะนำให้เลือกแบบ ScootBiz ที่มาพร้อมน้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลกรัมสำหรับโหลดใต้ท้องเครื่อง ขึ้นบนเครื่องได้ 2 ใบรวม 15 กิโลกรัม และมีอาหารชุดบริการบนเครื่อง ที่นั่งกว้างขวางมีปลั๊กไฟไว้ชาร์จดูหนังเรื่องโปรดได้อย่างเพลิดเพลิน ไม่นานนักคุณก็จะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (โอซาก้า) เหมือนเวลาหมุนผ่านไปด้วยความรวดเร็วมา
โอซาก้าสำหรับหลายคนสิ่งแรกที่นึกถึง อาจจะเป็นป้ายกูลิโกะ ป้ายโอซาก้าสำหรับคนที่มาหลายครั้งแล้วหรือมากับครอบครัว แนะนำให้ลองไปที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอซาก้า ไคยูคัง (Osaka Kaiyukan Aquarium) ที่นี่เปิดตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ภายในมีการจัดแสดงสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ มากกว่า 30,000 ชีวิต 620 สายพันธุ์
สำหรับฉันความพิเศษของที่นี่คือ การชมในแต่ละโซน ทางพิพิธภัณฑ์จะจัดให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมวนลงมาแบบไล่เรียงจากชั้นบนลงไปชั้นล่าง คล้ายกับเรากำลังดำดิ่งสู่พื้นพิภพ โดยในแต่ละชั้นก็จะได้พบกับสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในระดับน้ำที่มีความลึกต่างกัน จึงมีโซนต่างๆ ให้เราได้ชมมากมาย
เริ่มจากอุโมงค์ปลา (Aqua Gate) เป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เห็นปลาว่ายไปมารอบๆ เดินลงไปอีกเป็น ป่าญี่ปุ่น (Japan Forest) เป็นการจำลองระบบนิเวศของป่าริมแม่น้ำของประเทศญี่ปุ่น โซนต่อมา หมู่เกาะอะลูเชียน (Aleutian Island) ที่มีไฮไลต์อย่างนกพัฟฟิน
ต่อด้วยโซนอ่าวมอนเทอเรย์ (Monterey Bay) มีน้องแมวน้ำตัวอวบน่ารักรออยู่ จากนั้นเป็น อ่าวปานามา (Gulf of Panama) ป่าฝนเขตร้อนเอกวาดอร์ (Ecuador Rainforest) ทวีปแอนตาร์กติกา (Antarctica) โซนนี้จะเห็นเพนกวินเดินไปมาน่ารักมากซึ่งน่ารักพอๆ กับโซนทะเลแทสมัน (Tasman Sea) ที่มีโลมารอต้อนรับอยู่ Great BarrierReef (เกรตแบร์ริเออร์รีฟ)
และหนึ่งไฮไลต์หลักของที่นี่คือฉลามวาฬในโซนมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Ocean) ยังไม่จบที่โซนทะเลเซะโตะ (Seto Inland Sea) ก็น่าสนใจไม่น้อย
ต่อมาคือโซนพิเศษเป็นโซนแท็งก์น้ำตามฤดูกาลสลับกันไป (Seasonal Exhibits) แล้วก็แนวหินชายฝั่งของชิลี (Coast Of Chile) ต่อด้วยโซนของคนรักเต่า (Cook Strait)
ใกล้จบด้วยโซนทะเลน้ำลึกของญี่ปุ่น (Japan Deep) ที่เราจะเห็นปูสีสันแปลกๆ ปิดท้ายด้วยอาณาจักรของแมงกะพรุน (Jellyfish) สิ่งมีชีวิตมากมายอาศัยอยู่ในอะควาเรียมแห่งนี้ อยู่ภายใต้การจัดแสดงที่เสมือนจริง เดินดูได้อย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลากันเลย
หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับพิพิธภัณฑ์ จุดหมายถัดไปเป็นจุดชมวิวเมืองโอซาก้ายามเย็นที่สวยงามอีกจุดแถมยังอยู่ใจกลางของโอซาก้าเลยก็ว่าได้ ถ้าเดินจากสถานี Osaka and Umeda Station ไปประมาณ 10-15 นาทีนั่นก็คือ อาคารชมวิวอูเมะดะสกาย (Umeda Sky Building)
ตัวอาคารมีความสูงทั้งหมดถึง 173 เมตร แบ่งเป็นชั้นบนดิน 40 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ภายในอาคารเป็นที่ตั้งของสำนักงานต่างๆ มากมาย และระหว่างตัวตึกแฝดทั้งสองตึก มีด้านบนทำเป็นทางเชื่อมระหว่าง 2 ตึกที่เป็นรูปวงกลม ซึ่งเป็นสวนลอยฟ้าเรียกว่า KUCHUTEIEN OBSERVATORY
การจะขึ้นไปด้านบนนั้นให้ขึ้นไปที่ชั้น 35 ก่อนจากนั้นก็ขึ้นบันไดเลื่อนที่เป็นเหมือนอุโมงค์แก้วขึ้นไปชั้น 39 จุดนี้ เริ่มเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบในมุมสูงได้แล้วบันไดเลื่อนจะไปสุดที่ชั้น 39 ซึ่งเป็นห้องอาหารและที่จำหน่ายบัตรเข้าชม แต่ถ้าหากใครมีบัตร Osaka Amazing Pass ก็สามารถชมวิวที่ตึก Umeda Sky Building ได้ฟรี เพียงยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่สแกนบาร์โค้ดแต่ถ้าไม่มี ค่าเข้าอยู่ที่ 1,500 เยน
ตรงชั้น 40 เป็นทรงกลมกระจกรอบทิศทาง คุณสามารถเดินวนไปดูโอซาก้าแบบ 360 องศาได้ แต่ถ้าอยากสัมผัสอากาศโอซาก้าแบบเต็มๆ เดินไปชั้นดาดฟ้า (Rooftop) ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของตึก อันนี้จะเห็นวิวและรับบรรยากาศได้อย่างเต็มที่ เดินรอบได้ 360 องศาเหมือนกัน
แต่ที่นี่ลมค่อนข้างแรงมาก ดังนั้นพนักงานจะห้ามนำร่ม หมวกหรือขาตั้งกล้องขึ้นไป เพื่อความปลอดภัย แต่ขอบอกว่าคุ้มค่ามากๆ ยิ่งถ้ามาช่วงเย็น เราจะเห็นพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าท่ามกลางเมืองใหญ่อย่างนี้อิ่มตา อิ่มใจ และอิ่มท้อง ถ้าคุณกินอาหารที่ร้านอาหารที่นี่
ส่วนสำหรับฉันพาตัวเองไปหาอะไรกินต่อในย่านช้อปปิ้งชื่อดังอย่างย่านโดทงโบริ (Dotonbori) และ ชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ซึ่งใครมาโอซาก้าอย่างไรก็ต้องแวะกิจกรรมหลักต้องทำคือการถ่ายภาพกับป้ายโฆษณาของกูลิโกะ ภาพคนวิ่งและการแอ็กชั่นท่าทางของเหล่านักท่องเที่ยวแค่มองก็สนุกสนานทีเดียว
เรียกรอยยิ้มได้พอๆ กันกับ ตุ๊กตา “คุยดะโอเรทาโร่” เป็นมาสคอตที่ใส่เสื้อลายทางขาวแดง บริเวณทางเข้าตึกนากาสะคุยดะโอเร (Nakaza Kuidaore) ตึกรวมร้านอาหาร และร้านดื่มแบบอิซากายะ
โซนนี้เรียกว่า ใครใคร่ซื้อของก็ซื้อ ใครใคร่กินอะไรก็กิน นัดแนะและกระจายตัวกันได้เลย สามสี่ชั่วโมงค่อยกลับมาเจอกันและกลับโรงแรม เป็นการปิดท้ายวันที่คาดว่าทุกคนต้องชื่นชอบ
ถัดมาในวันใหม่ ฉันเริ่มต้นด้วยวิวบนตึกระฟ้าอีกครั้ง จากสถานี JR Tennoji หลังจากออกประตูตอกตั๋วด้านทิศตะวันออก (East Exit) แล้วมองหาป้ายคำว่า HARUKAS 300 (Observatory) ใช่แล้ว เรากำลังจะไปชมวิวมุมสูงของเมืองโอซาก้ากันที่ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น สูงกว่า 300 เมตรประกอบด้วย 60 ชั้นเหนือพื้นดินและชั้นใต้ดินอีก 5 ชั้น
กับที่นี่ ตึกอาเบะโนะ ฮารุกัส (Abeno Harukas) กับ หอสังเกตการณ์-ชมวิวของ AbenoHarukas (Abeno Harukas ObservationDeck) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Harukas 300 มีพื้นที่อยู่ด้วยกันสามชั้น ได้แก่ชั้น 58-60 ไปตั้งต้นกันที่ชั้น 16 ซื้อบัตรแล้วขึ้นลิฟต์ไปที่ส่วนแรก ชั้น 58-59 ที่มีลานกว้างกลางแจ้งโถงสูง 3 ชั้นที่เปิดให้เห็นความงามตามธรรมชาติของโอซาก้า
ส่วนชั้น 60 ชั้นบนสุดเป็นโครงสร้างกรุกระจกยาวตั้งแต่พื้นจรดเพดาน คุณจะรู้สึกเหมือนเห็นโอซาก้าแบบไม่มีอะไรมากั้นเลย นอกจากนี้โซนของ Harukas 300 ยังมีร้านคาเฟ่ร้านขายของที่ระลึกภัตตาคาร Sky Garden 300 ที่เสิร์ฟอาหารสุดพิเศษพร้อมชมวิวอันสวยงามของเมืองให้กับเราอีกด้วย เปิดตั้งแต่ 09.00-22.00 น.ถ้าคุณไม่ทันช่วงกลางวันแบบเรา ช่วงกลางคืนก็สวยไม่แพ้กันเลย มีค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 1,500 เยน
จากตึกอาเบะโนะ ฮารุกัสเราไปไหว้พระกันที่วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji) วัดนี้สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 1136 (593) เป็นวัดทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นมีอายุยาวนานกว่า 1,200 ปี เป็นวัดที่มีความเก่าแก่มากที่สุดของญี่ปุ่น และยังเป็นวัดพุทธแห่งแรกของญี่ปุ่นอีกด้วย ถึงแม้ว่าเวลายาวนานที่ผ่านมาตัววัดและอาคารต่างๆ จะได้รับการบูรณะและถูกสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งแต่ยังมีสภาพของความงดงามที่ผ่านกาลเวลาให้เราได้ยลโฉมกันมา ในวัดแบ่งเป็นโซนต่างๆ บางโซนสามารถเข้าชมได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น โซนรอบๆ ชั้นนอกเป็นต้น แต่ถ้าเป็นโซนด้านในไม่ว่าจะมีโซนมหาวิหาร ที่เป็นห้องโถงกลางของวัดที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่ อันนี้เสียค่าเข้า 300 เยน โซนสวนญี่ปุ่นโกคุราคุ-โจโด เสียค่าเข้า 300 เยน แต่ทั้งสองโซนนี้ถ้ามีบัตร Osaka Amazing Card เข้าชมฟรี ส่วนโซนพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ แม้จะมีบัตร Osaka Amazing Pass ก็ต้องจ่ายค่าเข้า 500 เยน หลายคน มองข้ามไม่เข้าชม แต่สำหรับฉัน 500 เยนกับการได้เห็นงานโบราณวัตถุล้ำค่าข้างในคุ้มมากโดยเฉพาะคนที่ชอบประวัติศาสตร์คุ้มค่าสุดๆ นอกจากนี้ใครมาในช่วงระหว่างวันที่ 21 และ 22 ของทุกเดือน แนะนำให้ไปจับจ่าย ซื้อสินค้าของเก่ามือสอง ราคาย่อมเยาที่ตลาดนัดของวัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple Flea Market) ของมีให้เลือกเยอะมาก บางชิ้นราคาถูกจนเงินเยนในกระเป๋าปลิวออกไปอย่างไม่รู้ตัวเลยทีเดียวถ้าใครมาไม่พอดีกับจังหวะตลาดนัด
ฉันอยากแนะนำให้ไปช้อปปิ้งที่ย่านเคียวบาชิ (Kyobashi) แทน ย่านนี้อยู่ใกล้กับปราสาทโอซาก้าที่หลายคนรู้จักกันดีห่างไปสถานีเดียว ถ้าจากวัดสามารถนั่ง JR Osaka Loop Line ไปได้ แค่ 20 กว่านาทีเท่านั้น ย่านนี้คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักและนิยมมากนักโดยมากจะมาแค่ปราสาทโอซาก้า แต่ถ้าเดินต่อมาอีกนิด หรือลงที่สถานีเคียวบาชิแบบฉัน ก็จะมองเห็นแม่น้ำโอกาวะ (Okawa) ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ คุณจะเห็นซากุระกว่า 5,000 ต้น เบ่งบานเป็นสีชมพูเต็มสองฝั่งแม่น้ำ
เดินไปตรงบริเวณสถานีก็จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของ รวมไปถึงบาร์และสถานบันเทิงยามค่ำคืนอื่นๆ มากมายในยามเลิกงานเราจะเห็นคนญี่ปุ่นออกมากินดื่มพักผ่อนกันเต็มไปหมด เรียกได้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีเสน่ห์เย้ายวนใจที่คุณอาจหลงรักความเป็นญี่ปุ่นแบบไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว
ท้ายสุดสำหรับคนที่ยังช้อปปิ้งไม่เต็มอิ่ม เราไปปิดท้ายทริปกันที่ Rinku Premium Outlets เป็นเอาต์เลตที่รวมร้านค้าต่างๆ จำนวน 210 ร้านค้า นอกจากมีร้านแบรนด์เนมแล้วก็ยังมีร้านอาหาร ร้านตกแต่งบ้าน ร้านเครื่องครัวฯ
หากนั่งรถไฟจาก Namba-Runkutown ใช้เวลาเพียง 30 นาที เปิดตั้งแต่ 10.00-20.00 น. สามารถช้อปปิ้งสินค้าก่อนกลับได้ และจากเอาต์เลตก็มีรถต่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ เพียง 6 นาทีเท่านั้น
โอซาก้าถือได้ว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักอีกเมืองในภูมิภาคคันไซนอกจากเกียวโตที่เป็นเมืองเก่า เป็นแหล่งศูนย์รวมหลายอย่างที่ตอบโจทย์คนที่อยากสัมผัสญี่ปุ่นครั้งแรก และสำหรับคนที่มาญี่ปุ่นแล้วหลายครั้งโอซาก้ายังมีอะไรน่าสนใจอีกมากให้คุณสัมผัส