คปภ. แถลงทิศทางการกำกับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยหลัง COVID-19 และการขับเคลื่อนประกันภัยในยุค New Normal
• พร้อมรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ พัฒนาระบบประกันภัยด้วยเทคโนโลยี รองรับนวัตกรรมใหม่ในอนาคต มุ่งคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนเป็นสำคัญ
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้จัดกิจกรรมแถลงผลงาน ภายใต้หัวข้อ “ทิศทางการกำกับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยไทย หลัง COVID-19 และการขับเคลื่อนประกันภัยในยุค New Normal” เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2563 ณ โรงแรมเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดชลบุรี
โดยกล่าวว่า อุตสาหกรรมประกันภัยไทย ได้พบกับบททดสอบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม อันเนื่องมาจากระบบเศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่บริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ (New Normal) ในขณะเดียวกันโลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง จึงทำให้อุตสาหกรรมประกันภัยไทยต้องเผชิญกับบริบทโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย จึงได้บูรณาการร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ เพื่อก้าวข้ามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีทิศทางการกำกับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยไทย หลัง COVID-19 และการขับเคลื่อนประกันภัยในยุค New Normal ที่มีประเด็นสำคัญๆ ได้แก่ การออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยจัดทำผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคโควิด-19 โดยเฉพาะ
รวมถึงการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการและรองรับวิถีชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่น กรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพเฉพาะโรค การประกันภัยที่รองรับสังคมผู้สูงอายุ Long-Term Care Product และ Remote Treatment การประกันภัยรองรับนโยบายของภาครัฐ เช่น กรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 สำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยตามที่ ศบค. กำหนด หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตามภูมิภาคหรือพื้นที่เฉพาะ เช่น การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยลำไย การประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟ การประกันภัยประมง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้จัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านสุขภาพด้วยการประกันภัย เพื่อศึกษากฎหมาย รูปแบบ และมาตรการภาครัฐเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านสุขภาพของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสาธารณรัฐเกาหลี สำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดทำพระราชบัญญัติประกันภัยสุขภาพ (ภาคสมัครใจ) ที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงทางการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง ด้วยการประกันภัย เพื่อพัฒนาระบบประกันภัยให้รองรับความเสี่ยงภัยของเกษตรกรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจและสามารถบริหารความเสี่ยงภัยจากภัยธรรมชาติ
ทั้งนี้ นโยบายที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การเชื่อมโยงระหว่างโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับธุรกิจประกันภัย โดยผลักดันให้นำการประกันภัยไปใช้ในการบริหารความเสี่ยงของภาครัฐ และส่งเสริมธุรกิจประกันภัยในการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ นอกจากนี้ ได้เปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยสามารถลงทุนในธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการสถานพยาบาล โรงพยาบาลหรือกิจการที่เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง (Long-term care) ในประเทศไทย นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจประกันภัย และสามารถขยายสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการผ่อนคลายการลงทุน ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามระดับความมั่นคงของมาตรฐานการเงิน
สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายแม่บทประกันภัย กลุ่มที่ 1-3 ซึ่งกลุ่มที่ 1 มุ่งเน้นให้ความคุ้มครองประชาชนโดยตรง การกำหนดเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย ปรับปรุงการกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของคนกลางประกันภัย โดยได้ดำเนินการและมีผลใช้บังคับใช้เมื่อปี 2562 สำหรับกลุ่มที่ 2 การเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัท และกลุ่มที่ 3 การส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยได้พิจารณาหลักการของร่างกฎหมายในวาระแรกเสร็จสิ้นแล้ว และจะเริ่มพิจารณาถ้อยคำ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2563
นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาและศึกษาเพื่อยกร่างกฎหมาย อาทิ กฎหมายประกันภัยทางทะเล กฎหมายประกันภัยพืชผลทางการเกษตร การประมง และปศุสัตว์ และกฎหมายประกันสุขภาพ (ภาคสมัครใจ) รวมถึงการบูรณาการร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อร่างแนวทางปฏิบัติในการเตรียมพร้อมรองรับ พ.ร.บ. ข้อมูลส่วนบุคคลฯ และได้ดำเนินโครงการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายอนุบัญญัติ Regulatory Guillotine Project เพื่อทบทวนกฎหมายอนุบัญญัติตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ในคราวเดียวกัน โดยศึกษา Regulatory Impact Assessment (RIA) วิเคราะห์ต้นทุน อุปสรรค และประสิทธิภาพของกฎระเบียบในปัจจุบัน เพื่อลดละ เลิกกฎหมายที่ล้าสมัย หรือไม่จำเป็น และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ปี 2564