Norway – The Midnight Sun

นอร์เวย์ ได้ชื่อว่าเป็น “ดินแดนอาทิตย์เที่ยงคืน” หรือ The Midnight Sun ซึ่งเกิดจากโลกหมุนรอบตัวเอง พร้อมกับโคจรรอบดวงอาทิตย์ โดยหมุนเอาแกนขั้วโลกเหนือและใต้สลับกัน หันเข้าหาดวงอาทิตย์ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน เมื่อโลกหันขั้วโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ เมื่อขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์โคจรเป็นทางโค้ง อยู่เหนือ ขอบฟ้าในช่วงกลางวัน โดยดวงอาทิตย์จะไม่ลับขอบฟ้า แต่จะโคจรอีกครั้งในช่วงเที่ยงคืน ทำให้คุณได้สัมผัสแสงสว่างจากพระอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมง

สถานที่ที่ชมตะวันยามเที่ยงคืนได้เหมาะเจาะของนอร์เวย์คือเมืองทรอมโซ่ ระหว่าง 16 พฤษภาคม – 27 กรกฎาคม และเมืองสวาลบอร์ด ซึ่งเป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรอาร์กติก ทางตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่นอร์เวย์ขึ้นไปอีก 640 กิโลเมตร ระหว่าง 19 เมษายน – 23 สิงหาคม

นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องพระอาทิตย์เที่ยงคืนแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคนที่รักธรรมชาติและการผจญภัยไปกับ สายธารธรรมชาติ และภูเขาที่สูงสลับซับซ้อนที่เรียงรายให้คุณได้ออกมาสัมผัสกับโลกกว้างใบนี้

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

นอร์เวย์เป็นประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย (สแกนดิเนเวียประกอบด้วยนอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก) ขึ้นชื่อได้ว่าค่าครองชีพค่อนข้างสูง คิดง่ายค่าอาหารปกติบ้านเราราคาประมาณ 50 บาท ยุโรปอื่นๆ ราวๆ 250-300 บาท แต่นอร์เวย์จะอยู่ที่เกือบ 350 บาท เครื่องดื่มก็ราคาสูงไม่แพ้กัน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมพกขวดน้ำไว้กรอกน้ำดื่มจากน้ำประปาที่สามารถดื่มได้ของที่นี่

สำหรับการเดินทางจากเมืองไทย เดิมสายการบินไทยบินตรงกรุงเทพฯ ออสโลว์ เมืองหลวงของนอร์เวย์ ปัจจุบันมีการปิดบริการชั่วคราว แต่ก็ยังมีสายการบินอีกหลายสายการบินที่สามารถเปลี่ยนเครื่องเพียง 1 ครั้งอยู่ที่ว่าคุณต้องการจะเปลี่ยนเครื่องที่ไหนอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสายการบินกาตาร์แอร์เวย์ สายการบินเอมิเรตส์ สายการบินแอร์ฟรานซ์  สายการบินลุฟต์ฮันซา เป็นต้น ส่วนการเดินทางภายในสามารถใช้บัตร Eurail Pass จะเป็นวิธีการที่สะดวก โดยสามารถขึ้นรถไฟได้หลายเที่ยว และเลือกจำนวนวันที่ต้องการใช้บัตรได้ตั้งแต่ 3, 4, 5, 6 หรือ 8 วัน เป็นต้น  และเวลาที่นอร์เวย์ช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง

ออสโลว์ (Oslo)

เมืองหลวงแห่งความทันสมัย และคุณภาพชีวิตสุดเลิศ สถานที่ท่องเที่ยวภายในเมืองสามารถเดินทางไปมาได้สะดวกโดยพถไฟฟ้า, รถราง, รถเมล์ ซึ่งมีบัตรเดินทางแบบ 1 วัน (24 ชั่วโมง) จำหน่าย จากสถานี oslo station เราเริ่มกันที่ มหาวิหารแห่งออสโล (Oslo Cathedral) อาสนวิหารออสโลเป็นอาสนวิหารแห่งที่ 3 ในเมืองหลวงของนอร์เวย์ เดิมชื่อโบสถ์พระผู้ช่วยให้รอด ถือเป็นโบสถ์คู่เมือง สร้างขึ้นในปี 1694 และได้รับการปรับปรุงใหม่ครั้งล่าสุดระหว่างปี 2006 ถึง 2010โดยตัวของวิหารนั้นมีการสร้างมาด้วยสถาปัตยกรรมในเเบบบาร็อคก่อนที่จะมีการเสริมเติมเเต่งด้วยสถาปัตยกรรมในเเบบโกธิค เเละนีโอโกธิคในกาลเวลาต่อมา

ภายในมีจิตรกรรมฝาผนัง บนเพดานของวิหารในส่วนของหลังคาโค้งที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เเละเป็นภาพที่บอกเล่นเรื่องราวของพันธสัญญาเดิมและใหม่ที่มีชื่อเสียงของที่นี่คืองานเเกะสลักไม้รูปพระเยซูพร้อมเหล่าสาวกที่งดงาม ที่นี่มีบริการชมวิหารพร้อมไกด์ประมาณ 45 นาที แบบมีค่าใช้จ่าย ถ้าใครต้องการความรู้เพิ่มเติม แต่ถ้าต้องการเดินชมเองก็ย่อมได้ไม่มีค่าใช้จ่าย

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นท่าเรือที่อยุ่ริมทะเลก็มีหลายจุดที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ท่าเรือเอเคอร์บรูค (Aker Brygge)หรือ Tjuvholmen Sculpture Park  ท่าเรือเอเคอร์บรูค เดิมเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ มากว่า 100 ปี ต่อมาได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีชีวิตชีวาและทันสมัยใหม่ หลังจากปิดตัวอู่ซ่อมเรือในปี 1982 ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านค้า สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร บาร์ และอพาร์ทเมนต์ราคาแพงมากกว่า 60 แห่ง นอกจากนี้ยังมี โรงหนัง โรงละครโอเปร่ารวมถึงห้างสรรพสินค้าที่เปิดจนถึงค่ำ เหมาะสำหรับการพักผ่อนเพลิดเพลินยามค่าในบรรยากาศแสง สี เสียงที่สุดแสนโรแมนติค บางครั้งจะมีการแสดงเปิดหมวก มีนักดนตรีข้างถนนร้องเพลงเพราะๆให้ฟัง อีกด้วย หรือใครอยากนั่งสวนริมทะเล ลองไปที่สวน Tjuvholmen Sculpture Park  เป็นสวนสาธารณะที่ได้รับงบพัฒนาเมืองมีงานศิลปะของศิลปินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เช่น Louise Bourgeois, Peter Fischli และ David Weiss, Antony Gormley, Anish Kapoor, Ellsworth Kelly, Ugo Rondinone และ Franz West รวม 7 ชิ้นจัดแสดงอยู่ จากสวนแห่งนี้ เราสามารถมองเห็นป้อมปราการ ได้อีกด้วย

ปราสาทและป้อมปราการอาเคอรร์ชูส์ (Akershus Fortress) เป็นปราสาทและป้อมปราการยุคกลางบนชายฝั่งของเมืองหลวงออสโล สร้างโดยพระเจ้าฮากอนที่ 5 เมื่อปลายศตวรรษที่ 13 เพื่อปกป้องเมืองและที่ประทับของราชวงศ์  ส่วนปราสาทอาเคร์สฮูสเริ่มก่อสร้างปลายปี ค.ศ.1290 โดยกษัตริย์ฮะคูนที่ 4 แทนปราสาททอนสเบิร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสองปราสาทนอร์เวย์ที่สำคัญสุดของช่วงยุคนั้น ปัจจุปัน ปราสาทอาเคร์สฮูสใช้เป็นที่รับรองแขกวีไอพีของรัฐบาล ปราสาทเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 700 ปีนี้ เคยถูกใช้เป็นฐานทัพทหารและเรือนจำ รอดพ้นจากการล้อมโจมตีหลายครั้ง อย่างไรก็ตามปราสาทนี้ไม่เคยถูกพิชิตโดยกองทัพศัตรู เมื่อปฏิบัติการทางทหารยุติลงในปี 1815 ป้อมปราการก็ถูกเปลี่ยนเป็นสำนักงานใหญ่ของทหาร โรงเรียนของข้าราชการ และที่อยู่อาศัย บางส่วนของอาคารยังถูกใช้เป็นคุกและเรือนจำหลังจากปี 1820 นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ล้ำยุคของออสโล คงหรือไม่พ้นออสโลโอเปร่าเฮาส์ (Oslo Opera House) โรงละครโอเปร่าออสโลเป็นที่ตั้งของโรงละครโอเปร่าและบัลเลต์แห่งชาตินอร์เวย์ และโรงละครโอเปร่าแห่งชาติในนอร์เวย์ สถาปัตยกรรมของตัวอาคารทรงเรขาคณิตที่สร้างจากกระจกและหินอ่อนขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์น แห่งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากภูเขาน้ำแข็ง ออกแบบให้มีดีไซน์อันสะดุดตา ราวกับภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่กำลังโผล่ขึ้นมาจากน้ำ หลังคาทำเป็นทางลาด มีลักษณะเหมือนแผ่นน้ำแข็ง ใช้วัสดุหินแกรนิตสีขาว ที่จะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมในช่วงหน้าหนาว ซึ่งหลังคากับทางเชื่อมลาดต่อลงไปยังทะเลในอ่าวนั้น สามารถใช้เป็นพื้นที่สาธารณะให้สามารถเดินขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเมืองได้อีกด้วย ทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวสามารถมานั่งพักผ่อน ชมบรรยากาศ หรือออกกำลัง ตลอดจนนัดพบพูดคุยในวันที่อากาศแจ่มใสได้ ภายในบริเวณพื้นที่ส่วนกลางก็จะมี ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ให้บริการ มีเวทีหลักสามแห่ง และมีมากกว่า 1,000 ห้อง จัดแสดงโอเปร่าและบัลเล่ต์ แต่ถ้าอยากดูแบบเจาะลึกว่าห้องไหนเป็นอะไรยังไง ทางสถาบันฯ เขามีจัดนำชมอาคารภายในวันละหนึ่งรอบ เวลาที่ใช้ในการเดินชมประมาณ 1 ชม. ค่าเข้าชมพร้อมไกด์ เลือกกรุ๊ปนำชมได้ 3 ภาษา คือ ภาษานอร์เวย์ ภาษาอังกฤษ และภาษาเยอรมัน ส่วนการแสดงก็มีจัดแสดงให้ชมตลอดทั้งปี

จากความสนุกสนานของโอเปร่าเฮ้าส์ อีกหนึ่งย่านที่สุดคึกคักก็คือ บริเวณถนนคนเดินและถนนชอปปิ้งหลักของเมือง ย่านประตูคาร์ล โยฮันส์ (Karl Johans gate) ตั้งอยู่กลางกรุงออสโล มีสินค้าทุกสิ่งอย่างให้ได้เลือกช้อป ถนนยอดนิยมนี้ทอดยาวจากสถานีรถไฟกลางออสโล (ออสโลเอส) ทางฝั่งตะวันตกไปจนถึงพระราชวังหลวงทางฝั่งตะวันออก ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยมีสินค้าทุกสิ่งอย่างให้ได้เลือกช้อป ผลิตภัณฑ์จากขนสัตว์ น้ำมันปลา เนยแข็งเทียนไข และของที่ระลึก เช่น เรือไวกิ้ง หรือตุ๊กตา Troll ตุ๊กตาพื้นบ้านของนอร์เวย์ เครื่องครัว พวงกุญแจ เป็นต้น สินค้าและ ของที่ระลึกต่างๆ แม้จะราคาสูงไปบ้าง แต่ถือว่าได้ครบ ถ้าใครโชคดีมาช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ และ ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ช่วงนี้ราคาจะถูกลงถึง 50-70 เปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นช่วงงานเซลประจำปีอยู่ หรือใครอยากเดินชมวิวทิวทัศน์ ก็น่าสนใจไม่น้อย ถนนเส้นนี้ จะผ่านอาคารที่สวยงามหลายแห่ง เช่น Stortinget (รัฐสภานอร์เวย์) โรงละครแห่งชาติ  มหาวิทยาลัยออสโล (University of Oslo)

และไปถึงพระราชวังหลวงออสโล (Royal Palace Oslo)  เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1824 เสร็จสมบูรณ์วันที่ 26 เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1849 ระยะเวลา 25 ปี เป็นสัญลักษณ์ประเทศนอร์เวย์มายาวนานกว่า 200 ปี ถือเป็นสมบัติของรัฐและเป็นที่ทำงานของพระมหากษัตริย์ ที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายในได้เฉพาะในช่วงฤดูร้อน โดยภายในราชวังจะมีไกด์ท้องถิ่นพาเดินและคอยอธิบายข้อมูลของราชวังเช่น ห้องประชุม, ห้องรับแขกสีขาว, ห้องประทับของกษัตริย์ King Haakon VII, เรือนกระจก รวมไปถึงห้องอาหาร

สวนประติมากรรมวิกเกอร์แลนด์ (The Vigeland Park ) หรือ อุทยานฟรอกเนอร์ (Frogner Sculpture Park) สวนสาธารณะที่หลายคนแนะนำว่าควรไปที่สุดของออสโล เป็นสวนปติมากรรมกลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ถึง 110 เอเคอร์เต็มไปด้วยผลงานรูปแกะสลักหินและรูปหล่อสำริดจำนวนมากกว่า 200 ชิ้น ผลงานส่วนใหญ่เป็นรูปเปลือย ก่อด้วยหิน ทองแดง ซึ่งทั้งหมดเป็นผลงานของศิลปินชาวนอร์เวย์กุสตาฟ วิกเกอร์ (Gustav Vigeland) ซึ่งใช้เวลาในการทำงานถึง 20 ปีในช่วงปี ค.ศ. 1924 – 1943 จุดที่โดดเด่นที่สุดของที่นี่คือ เสาโมโนลิท (Monolith) ที่มีความสูงประมาณ 14.12 เมตร ประกอบไปด้วยรูปร่างมนุษย์ที่ทำท่าท่างต่างๆกันถึง 121 คนปีนป่ายเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดของชีวิต อีกหนึ่งรูปปั้นที่น่าสนใจคือ รูปเด็กทำหน้าโกรธ ชื่อรูปปั้นว่า “Angry Baby” มีความเชื่อกันว่าถ้าจับบริเวณมือของเด็กจะนำความโชคดีมา

หมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten Islands)

จากออสโลสามารถใช้บริการสายการบิน Scandinavian Airline และแวะเปลี่ยนเครื่องที่เมือง Bodo เป็นสายการบิน Wideroe ไปลงที่เมืองเลกเนส (Leknes) เกาะโลโฟเทน (Lofoten) ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 2 ชั่วโมง 25 นาที โดยหมู่เกาะโลโฟเทนนี้ตั้งอยู่ที่แคว้นนอร์ดแลนด์ (Nordland) ทางตอนเหนือของนอร์เวย์ ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ต่างๆ โดยมีเกาะที่เป็นที่รู้จักของนักเดินทางอยู่ด้วยกัน 5 เกาะ ได้แก่ Austvågøy, Vestvågøy, Flakstadøya, Gimsøya, และ  Moskenesøya แต่ละเกาะก็จะเชื่อมต่อกันด้วยสะพานเพื่อความสะดวกในการเดินทางสัญจรไปมา เอกลักษณ์ที่สำคัญของหมู่เกาะแห่งนี้ก็คือ กระท่อมชาวประมงสีแดงแบบดั้งเดิมเรียกว่า โรเบือร์ (Rorbuer) นั่นเอง

ผู้คนส่วนใหญ่ของเกาะยังมีอาชีพเกี่ยวกับหาปลาในช่วงฤดูหนาวและทำปลาตากแห้ง ถ้าเดินทางผ่านถนนเส้นหลักสายเดียวของหมู่เกาะโลโฟเทนที่เรียกว่า ถนนสายธรรมชาติ เส้น E10 (Scenic Route) ลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็กๆที่เชื่อมต่อเกาะต่างๆก็จะเห็นปลาค็อด (Cod) ตากแห้งอยู่บนราวเป็นจำนวนมาก  สินค้าที่มีชื่อเสียงอื่นๆก็คงหนีไม่พ้นจะเป็น น้ำมันตับปลาจากปลาค็อด (Cod Liver Oil) ที่นี่มีโรงงานผลิตน้ำมันตับปลาค็อด (Cod Liver Oil Factory) และฟาร์มเลี้ยงปลาแซลมอน (Salmon) สายพันธุ์สายพันธุ์แอตแลนติก เป็นที่รู้กันว่านอร์เวย์เป็นประเทศที่ผลิตปลาแซลมอนรายใหญ่และส่งออกแซลมอนคุณภาพดีไปทั่วโลก สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะโลโฟเทนที่น่าสนใจ หากไล่จากเกาะเหนือสุดลงมา

เริ่มตั้งแต่เกาะเหนือสุดอย่างเกาะเอาสต์โวเกย  (Austvågøy) ที่มีหมู่บ้านเฮนนิงสวาร์ (Henningsvaer) ที่มีชื่อเสียง หมู่บ้านนี้ครอบคลุมพื้นที่เพียง 0.3 ตารางกิโลเมตรและมีประชากรเพียง 510 คน กระจายอยู่ทั่วเกาะเล็กๆ หมู่บ้านแห่งนี้ปัจจุบันยังมีอาชีพการประมงที่จริงจัง สังเกตจากเรือที่จอดกันแน่นขนัดแถวท่าเรือ แต่ที่น่าจะเป็นที่ขึ้นชื่อของหมู่บ้านแห่งนี้คงเป็นสนามฟุตบอลเฮนนิงสวาร์ สเตเดี้ยม (Henningsvær Stadion) สนามฟุตบอลท่ามกลางธรรมชาติที่สวยจนหลายคนอิจฉา และยังมีชื่อเสียงในฐานะศูนย์กลางสำหรับการผจญภัยกลางแจ้งด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินป่า ปีนเขา ปั่นจักรยานเสือภูเขา พายเรือคายัค ตกปลา ดำน้ำตื้น และล่องเรือซาฟารี ชมนกอินทรีทะเล เป็นต้น

เกาะเวสต์วอกอย (Vestvågøy) ที่เกาะแห่งนี้ คือเกาะที่เป็นที่ตั้งของเมืองเลคเนส (Leknes) ที่เครื่องบินเรามาลงนั้นเอง เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เป็นจุเริ่มต้นในการเดินทางของเกาะ ถ้าเรามาโดยเครื่องบินภายในประเทศ  นอกจากจะซุปเปอร์มาร์เกตไว้จับจ่าย  ยังมีศูนย์เช่ารถ บนเกาะแห่งยังมี พิพิธภัณฑ์ไวกิ้ง (Lofotr Vikingmuseum) ตั้งอยู่ริมถนนหลักสาย E10 ในหมู่บ้านเล็กๆ ของเมืองบอร์ก (Borg) แสดงเรื่องราวและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาวไวกิ้งไว้มากมาย ซึ่งรูปแบบพิพิธภัณฑ์ถูกออกแบบเป็นพิพิธภัณฑ์แบบอินเทอร์แอคทีฟ โดยใช้โครงเรือไวกิ้งโบราณและภายในได้จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวไวกิ้ง มีอาหารแบบชาวไวกิ้ง และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชาวไวกิ้ง ไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนที่อยากจะสัมผัสวิถีชีวิตชาวไวกิ้งสักครั้ง

เกาะแฟลกสตัด (Flakstadøya) มีหมู่บ้านนัสฟยอร์ด (Nusfjord) หมู่บ้านชาวประมงดั้งเดิมขนาดเล็กและยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีบนชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะ Flakstadøya เป็นจุดที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งบนเกาะโลโฟเทน โดยมากหมู่บ้านอื่นๆบ้านแต่ละหลังมักทาสีแดง สำหรับที่นี่หมู่บ้านสีสันสดใสทั้งสีแดง เหลือง และขาว ดูสวยงามแปลกตาเวลาเห็นภาพสะท้อนกับผิวน้ำ มีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ซึ่งนักท่อง เที่ยวสามารถมองเห็นโรงเลื่อยไม้แบบเก่า ร้านค้าสมัยเก่า โรงตีเหล็ก บ้านบนเรือและโรงงานที่ใช้ผลิตน้ำมันตับปลา

เกาะมอสเคเนส (Moskenesøya) ตั้งอยู่ปลายสุดของของหมู่เกาะโลโฟเทน และเป็นเกาะที่มีชื่อที่โด่งดังที่สุด มีหมู่บ้านน่าสนใจหลายหมู่บ้านเช่น หมู่บ้านออ (Å Village) หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ที่แต่ละหลังมีเรื่องราวแตกต่างกัน ตั้งอยู่สุดปลายทางถนน E10 นอกจากวิวสวยทั้งหมู่บ้าน ภูเขา ราวตากปลา ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าชม เช่น  บ้านบางหลังเคยเป็นไปรษณีย์ของหมู่บ้านมาก่อน ในหมู่บ้านออยังมี พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านชาวประมง (Norwegian Fishing Village Museum) ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตชาวประมงของหมู่บ้านออที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 250 ปี พิพิธภัณฑ์ปลาแห้ง ที่จะทำให้คุณรู้จักเรื่องราวของการตากปลาค้อด และปลาอื่นๆ วิธีถนอมรักษาปลาของชาวนอร์เวย์ทางภาคเหนือ เป็นต้น

หมู่บ้านไรเนอ (Reine) หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตามเกาะที่ยื่นออกมาตรงท้องมหาสมุทร ประกอบด้วยประชาชน เพียง 300 กว่าคน เท่านั้นจากจำนวนประชากรทั้งหมดของโลโฟเท็นกว่า 24,000 คน ที่นี่ได้รับการยกย่องจากนิตรสารชื่อดังของนอร์เวย์ให้เป็นหมู่บ้านที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในหมู่เกาะโลโฟเทน แม้ทุกวันนี้ชาวบ้านก็ยังทำการประมงในฤดูที่หาปลา แต่บ้านบางหลังก็ได้ถูกดัดแปลงทำเป็นโรงแรมที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวแต่ยังคงรูปแบบ Rorbuer ไว้เช่นเดิม

หมู่บ้านซากริซอย (Sakrisoy) หมู่บ้านที่มีการทำโครงไม้ตากปลาค็อดแห่งนี้ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาโอล์สตินด์ (Olstind) เป็นหมู่บ้านที่มีความแตกต่างจากหมู่บ้านชาวประมงอื่นตรงที่ สีของตัวบ้านเป็นสีเหลืองสดไม่ใช่สีแดงแบบที่เห็นโดยปกติทั่วไป และเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่มีการตากปลาค็อดแน่นขนัดเต็มไปหมด โดยเฉพาะยิ่งเป็นฤดูหาปลาคือ มกราคม- เมษายน ก็จะยิ่งเห็นแผงตากปลาค็อดที่หมู่บ้านนี้เยอะกว่าที่ไหนๆ

หมู่บ้านฮัมนอย (Hannoy) หมู่บ้านขนาดเล็กที่เป็นภาพติดตาจนหลายคนต้องร้องอ๋อ หนึ่งในสัญลักษณ์ของหมู่เกาะโลโฟเทน ที่ใครหลายคนเห็นเป็นต้องอยากมา ภาพบ้านชาวประมงแบบดั้งเดิมสีแดงสดบนโขดหินริมชายฝั่งทะเล มีฉากหลังเป็นภูเขาทรงคล้ายๆ สามเหลี่ยมเป็นพื้นหลัง เป็นภาพที่เราคุ้นตาอยู่เสมอ ผ่านทางสื่อต่างๆ  อีกทั้งหมู่บ้านฮัมนอยแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ดูแสงเหนือที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของนอร์เวย์ ยามเมื่อแสงเหนือพาดผ่านหลังเทือกเขาตัดกับแสงไฟของหมู่บ้านชาวประมงในยามค่ำคืน เป็นภาพที่งดงามตราตรึงในใจผู้ได้พบเห็นเสมอ

เกาะกิมเซอยา (Gimsøya) ถือเป็นเกาะขนาดเล็กที่สุด และสถานที่ท่องเที่ยวมีความน่าสนใจน้อยกว่าเกาะอื่นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการปีนเขา ต้องมาเกาะนี้เลย

แน่นอนว่าการมายังหมู่เกาะของชาวประมง การได้พักในหมู่บ้านชาวประมงที่เรียกว่า โรบูเออ (Rorbuer) ย่อมเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้ ไม่งั้นจะถือว่ามาไม่ถึง ซึ่งสีแดงที่ใช้ในการทาบ้านนั้นทำมาจากดินสีเหลืองผสมกับน้ำมันจากสัตว์หรือน้ำมันพืช ซึ่งเป็นวัสดุที่ราคาไม่แพงและหาได้ง่ายในท้องถิ่น สีแดงจึงเป็นสีที่นิยมมากที่สุด

เมืองทรอมโซ (Tromsø)

จากหมู่เกาะโลโฟเทน ขับรถอีกประมาณ 400 กิโลเมตรทางทิศเหนือ จะมาถึง เมืองทรอมโซ (Tromsø) เมืองใหญ่ที่สุดในเขตอาร์คติกเซอร์เคิล (Arctic Circle) ศูนย์กลางการปกครองทางด้านเหนือของนอร์เวย์ เป็นแหล่งรวมทุกกิจกรรมที่สามารถหาได้จากในเมืองนี้  อีกทั้งเป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งแสงเหนือ นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัยที่อยู่เหนือสุดของโลกซึ่งโดดเด่นในเรื่องงานวิจัยแสงเหนือ ดาราศาสตร์ รวมไปถึงการประมงอย่าง The University of Tromso และยังยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวซามี่ (Sami) ชาวพื้นเมืองเก่าแก่แห่งสแกนดิเนเวียเหมือนกับฟินแลนด์และรัสเซียที่ยังคงรักษาอารยธรรมแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมากว่า 5,000 ปี

การเดินทางโดยรถยนต์ใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีก็ถึงภายในตัวเมืองที่มีสีสันสดใสอยู่บริเวณที่ลาดลุ่มฝั่งตะวันออกของเกาะ Tromsøya ล้อมรอบด้วยภูเขาที่งดงามราวภาพวาด เรียกได้ว่าครึกครึ้นที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาเมืองแห่งการล่าแสงเหนือแห่งอื่น สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในเมืองได้แก่ พิพิธภัณฑ์ขั้วโลก (Polar Museum) ภายในมีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของภูมิภาค การสำรวจขั้วโลก รวมไปถึงพื้นที่ในแถบอาร์กติก ดูผลงานศิลปะของชาวนอร์เวย์ที่แกลอรี่ศิลปะร่วมสมัย Tromsø และที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะนอร์เวย์ตอนเหนือ เจาะลึกถึงวัฒนธรรมด้านเบียร์ท้องถิ่นที่ Mack’s Brewery  และในช่วงช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีพระอาทิตย์เที่ยงคืนและมีแสงแดดตลอด 24 ชั่วโมงที่นี่จะมีงานแสดงเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0