New Zealand: Get close to nature
Story by Editorial staff
เมื่อหลายปีก่อน หลังจากที่มนุษย์ คนแคระ พ่อมด เอล์ฟ และฮอบบิทจากดินแดนในจินตนาการที่มีชื่อว่า มิดเดิลเอิร์ธ ได้ออกมาวาดลวดลายในจอภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ประเทศนิวซีแลนด์กับภาพทิวทัศน์สวยๆ ที่ปรากฏเป็นฉากในภาพยนตร์เกือบทั้งเรื่องนั้น ก็วิ่งรี่เข้ามานั่งอยู่กลางใจของผมทันที พร้อมรอวันที่เงินเก็บบ่มเพาะได้มากพอที่จะเดินทางเหินฟ้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ไปยังดินแดนแห่งแหวนครองพิภพแห่งนี้
เมืองแห่งสวนสวย (มาก)
การเดินทางของผมตั้งต้นที่ไครสต์เชิร์ช (Christchurch) ในส่วนของเกาะใต้ หรือ เซาท์ไอแลนด์ (South Island) ประเทศนิวซีแลนด์ เมืองนี้มีแม่น้ำเอวอน (Avon River) ไหลผ่านใจกลางเมือง เราสามารถบินตรงมาจากกรุงเทพฯ มาลงที่ไครสต์เชิร์ชได้ หรือจะเปลี่ยนเครื่อง 1 หรือ 2 จุดแวะพักแล้วแต่กำลังทรัพย์ และความสะดวกของแต่ละท่าน ช่วงระยะเวลายาวนานเกือบ 14 – 15 ชั่วโมง ของการเดินทางส่งผลให้ร่างกายเพลียเล็กน้อย แต่หลังจากพักไป 1 คืน ผมงัวเงียออกมาสัมผัสบรรยากาศของไครสต์เชิร์ชที่อุณหภูมิของอากาศประมาณ 12 – 18 องศา ถือได้ว่าเป็นอากาศที่ค่อนข้างสบาย ไม่เย็นจัดมากนักสำหรับผม ด้วยเวลาที่เร็วกว่าเมืองไทยถึง 5 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกว่าสูญเสียเวลาท่องเที่ยวไปไม่น้อย ว่าแล้วไปดูกันว่าไครสต์เชิร์ชมีอะไรน่าสนใจ
เริ่มจากตรงใจกลางเมืองมีมหาวิหารไครสต์เชิร์ช (Christchurch Cathedral) ตั้งตระหง่านอยู่ เป็นโบสถ์แองกลิกัน ที่มีอายุกว่าร้อยปี แม้ตัวโบสถ์จะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 2011 ซึ่งสร้างความเสียหายไม่ใช่น้อยกับเมือง และเพิ่งมีข่าวแผ่นดินไหวในเมืองใกล้เคียงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา (เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2016) แต่สภาพโดยรวมของเมืองแล้ว ผมคิดว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ได้ทำให้ที่นี่ขาดความน่าสนใจหรือไม่ควรแวะมาแต่อย่างใด กลิ่นอายของความเป็นอังกฤษที่เป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้ม และความมีชีวิตชีวาของเมืองที่รวมตัวกันอยู่ตรงบริเวณจัตุรัสด้านหน้าโบสถ์แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ยังคงอยู่ ผู้คนก็คงเดินผ่านไปมาจับจ่ายใช้สอยไปกับย่านการค้า และร้านอาหารที่อยู่รายล้อมอย่างสนุกสนาน
อีกจุดเด่นหากมาที่นี่แล้วทุกคนต้องอดแชะภาพถ่ายรูปไม่ได้ ก็คงเป็นประติมากรรมสมัยใหม่ที่เหมือนรูปกรวยเงิน เรียกว่า ชาลิซ (Chalice) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับวิหารไครสต์เชิร์ชนั่นเอง ประติมากรรมชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อฉลองสหัสวรรษใหม่ ต้อนรับยุคมิลเลเนียม หรือปี ค.ศ. 2000 และฉลองครบรอบเมืองอายุ 150 ปี นับเป็นสิ่งก่อสร้างของ 2 ยุคที่ตั้งอยู่เคียงข้างกันได้อย่างลงตัวอย่างประหลาด
แม้ว่าไครสต์เชิร์ชเปรียบเสมือนบานประตูที่จะเปิดรับคุณสู่ความเป็นธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของเกาะใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ แต่กลับมีความเงียบสงบ และมีความเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมาก แทบทุกมุมเมืองจะมีการประดับตกแต่งด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และมีการแต่งสวนหย่อมที่ให้ความร่มรื่นจากต้นไม้น้อยใหญ่เต็มไปหมด หากเดินไปตามถนนที่ทอดยาวหน้าโบสถ์ไปเรื่อยๆ คุณจะไปพบกับสะพานข้ามแม่น้ำเอวอน แม่น้ำขนาดไม่ใหญ่มากกว้างประมาณคลองบ้านเราแต่ให้ความสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะวินาทีนี้หันไปมุมไหนก็มีสีสันสดใส สวยงาม และสดชื่นไปเสียทุกมุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ สวนพฤกษาศาสตร์ (Botanic Gardens) ที่สร้างมาตั้งปี ค.ศ. 1863 เริ่มต้นจากเป็นที่ปลูกต้นโอ๊คอังกฤษ อนุสรณ์แต่งงานของเจ้าชายอัลเบิร์ต และเจ้าหญิงอเล็กซานดร้า แห่งเดนมาร์ก
ปัจจุบันที่สวนมีพืชพันธุ์หลากหลายชนิด รวมไปถึงพืชพื้นเมืองของเกาะ ใกล้กันนั้นเป็นสวนสาธารณะ Hagley Park เมื่อรวม 2 จุดนี้แล้ว มีพื้นรวมกันเกือบ 1,000 ไร่ น่าสนใจเป็นที่สุดคงเป็นเหล่าบรรดาดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสันทั่วสวนนั่นเอง ที่สวนแห่งนี้มีแม่น้ำเอวอนไหลผ่านอีกด้วย ดังนั้นบางครั้งคุณก็จะเห็นเรือล่องชมแม่น้ำผ่านมา หรือเห็นนกนานาชนิดบินไปมา บ้างก็เกาะอยู่ใกล้ๆ ให้ได้ทดสอบความสามารถ ในการถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่ ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่หลายชั่วโมงทีเดียว กว่าจะพาตัว หลุดออกมาจากสวนแห่งนี้ได้ ด้านหน้าตรงทางเข้าสวนพฤกษชาติมีพิพิธภัณฑ์ แคนเทอร์เบอรีแสดงเรื่องราวของชาวเมรี และการเข้ามาตั้งรกรากของชาวผิวขาวรวมถึงประวัติศาสตร์ต่างๆ ตั้งอยู่อีกแล้ว
ทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ และทุ่งดอกลูพิน
ผมเชื่อว่าหากใครเดินทางมาเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ ย่อมยัดเอาทะเลสาบเทคาโป (Lake Tekapo) เมืองแมคเค็นซี (Mackenzie) เข้าไปในโปรแกรมการเดินทางอย่างแน่นอน จากไครส์เชิร์ชใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงพอได้ สำหรับผมแนะนำให้ไปทะเลสาบช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม เพราะคุณจะได้เห็นเหล่าดอกลูพิน (Lupins) สีโทนชมพู ม่วง บางดอกก็เข้มจนเป็นสีน้ำเงิน เบ่งบานอยู่รอบทะเลสาบเป็นฉากหน้า
ทอดสายตาถัดออกไปก็จะเป็นภาพผืนน้ำสีเขียวอมฟ้าหรือสีเทอร์ควอยซ์ กลืนไปกับผืนฟ้ากว้างที่ถูกกั้นด้วยเทือกเขาเม้าท์คุ๊ก (Mount Cook) ที่มีหิมะปกคลุมขาวราวกับปุยเมฆ ถ้าคุณได้มายืนอยู่ตรงนี้ คุณต้องบอกว่าสวรรค์ชัดๆ เลยละ ทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบน้ำจืดอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 700 เมตร (2,300 ฟุต) มีพื้นที่กว่า 83 ตารางกิโลเมตร (32 ตารางไมล์) สีสวยๆ ของน้ำที่ทะเลสาบนี้เกิดจากแร่ธาตุต่างๆ ผสมกับธารน้ำแข็งของภูเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปีไหลลงมาสู่ทะเลสาบแห่งนี้
บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ ยิ่งมาวันธรรมดาเช่นนี้ เห็นมีเพียงรถบ้านไม่กี่คันที่จอดแวะรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่รอบทะเลสาบ ที่นิวซีแลนด์การขับรถบ้านเที่ยวชมธรรมชาติถือว่าเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก จากทะเลสาบคุณสามารถขับรถไปยังภูเขาเม้าท์คุ๊กที่คุณเห็นเป็นฉากหลังของทะเลสาบได้ ใช้เวลา 1 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น รอบทะเลสาบมีกิจกรรมมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ทำกัน บ้างก็ปั่นจักรยานไปมา บ้างก็พายเรือในทะเลสาบ บ้างก็แค่ทอดอารมณ์และดื่มด่ำไปกับธรรมชาติตรงหน้าอย่างเช่นผม
โดยมีอนุสาวรีย์สุนัขคอลลี่ (Collie) สร้างด้วยทองสัมฤทธิ์ในปี ค.ศ. 1968 สร้างเพื่อเป็นการยกย่องคุณความดีที่เป็นเหมือนสุนัขคู่ทุกข์คู่ยากของชาวบ้าน ช่วยงานให้ชาวบ้านมีกินมีใช้จนถึงทุกวันนี้ และบ้างก็กำลังถ่ายรูปแต่งงานกันอยู่ลิบๆ ให้เป็นที่น่าอิจฉา
ที่ทะเลสาบแห่งนี้มีโบสถ์ด้วยนะ เป็นโบสถ์ขนาดเล็กจิ๋ว น่าจะเล็กที่สุดของนิวซีแลนด์เลยก็ว่าได้ ชื่อ The Church of the Good Shepherd โครงสร้างโบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยวัสดุธรรมชาติอย่างเช่น ไม้โอ๊ค ก้อนอิฐแต่ละก้อนจัดวางแบบไม่ได้ตั้งใจจัดแต่ง แต่ลงตัวที่เข้ากับบรรยากาศรอบข้างเป็นความเรียบง่าย และดูอบอุ่น สงบ ที่นี่ยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ เช่นใครอยากมาประกอบพิธีแต่งงานก็ย่อมทำได้คลาสสิกและโรแมนติกไหมละ
วานากา ใส เย็น สงบ
ทะเลสาบวานากา (Lake Wanaka) อาจจะไม่โด่งดังมากเหมือนทะเลสาบเทคาโบ แต่หลายคนก็นิยมที่จะแวะมาที่เมืองวานากาแห่งนี้ ด้วยเพราะเป็นหนึ่งในเส้นทางที่อยู่ระหว่างการเดินทางระหว่างไครสต์เชิร์ชกับควีนต์ ทาวน์ สะดวกสบายด้วยบริการรถบัสระหว่างเมืองให้บริการตลอดวัน ตัวเมืองวานากาตั้งอยู่หน้าทะเลสาบ โดยมีถนนเส้นเล็กๆ แบ่งเขตบริเวณกันอยู่ตลอดแนวชายหาดโค้งเป็นลานจอดรถยาวขนานชายหาด น้ำในทะเลสาบใสมาก มีเป็ดตัวน้อยว่ายน้ำไปมา มองแล้วเพลินดี
บริเวณโดยรอบชาวเมืองก็ออกมาทำกิจกรรมกัน บ้างก็ปั่นจักรยาน บ้างก็แล่นเรือ ตรงสนามเด็กเล่นมีเด็กตัวเล็กมาวิ่งเล่นพร้อมปิกนิกกับครอบครัว บนเก้าอี้นั่งริมทะเลสาบก็มีคนจับจองวิวระดับเทพกันอยู่ประปราย ไม่ต่างจากผม ที่นี่ดูเงียบ สงบและเป็นมิตร คล้ายๆ กับบุคคลิกอันสบายๆ ของคนนิวซีแลนด์เลย
หัวใจสูบฉีดกับเมืองหลวงของกิจกรรมผจญภัย
ถ้าคุณเป็นคนที่มีหัวใจรักในการผจญภัยกับการทำกิจกรรมท้าทายอย่างกีฬาเอ็กซ์ตรีมหลากหลายประเภท สนุกสนานกับการล่องแพหรือพายเรือคายัคไปตามแม่น้ำ และดื่มด่ำไปกับความเขียวขจีของแมกไม้รอบข้าง ชื่นชอบที่จะทิ้งตัวดิ่งลงท้าแรงโน้มถ่วงโลกด้วยความสูงจากสะพานแขวนกว่า 400 เมตรจากพื้นดิน พอใจที่เล่นลม ท้าความสูงกับพาราไกลด์ดิ้งจากบนยอดเขา หรือชอบเดิน Trekking มองวิวสวยๆ ชิลๆ ต้องที่ควีนทาวน์ (Queenstown) แห่งนี้เลย
จากวานากามาควีนส์ทาวน์ไม่นานเลย ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ เราก็เข้าสู่เมืองที่มีเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ชื่อ เดอะ รีมาร์คเอเบิล (The Remarkable) โอบล้อมเมืองไว้ให้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ริมทะเลสาบวาคาติปู (Lake Wakatipu) เลื่องชื่อแห่งนี้ ต้อนรับผมด้วยวิวที่สุดพิเศษในยามเช้า ด้วยภาพของทะเลสาบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีเมฆสีขาวลอยละเลียดอยู่เหนือยอดเขา ฟ้าเป็นสีฟ้าจัดตัดสีเขียวขจีของยอดเขา ใครที่ชอบธรรมชาติและอยากปลีกตัวออกมาจากสังคมเมืองที่วุ่นวาย ควีนส์ทาวน์น่าจะเป็นปลายทางที่น่าสนใจเลย ย่านดาวทาวน์หรือใจกลางของเมืองไม่กว้างมากนัก เดินไปมาแป๊ปเดียวก็ทั่วบริเวณ หรือใครอยากนั่งรถมีรถบัสเชื่อมต่อแต่ละจุดให้บริการ
ไม่ใกล้กันนั้นก็เป็นท่าเรือที่จอดเรือยอร์ชหลายลำ แต่ที่เป็นพระเอกของท่าเรือนี้คงเป็นเรือกลไฟโบราณที่ชื่อ ทีเอสเอส เอิร์นสลอว์ (Twin Screw Steamer Earnslaw) คนนิวซีแลนด์เรียกว่า “Lady of the Lake” เป็นเรือกลไฟที่ใช้พลังงานไอน้ำจากถ่านหินมีอายุกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912 ปีเดียวกับเรือไททานิค เดิมใช้ในการขนถ่ายถ่านหิน ปัจจุบันเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวสำหรับใช้ชมวิวภายในทะเลสาบวาคาติปู แล้วข้ามไปชมวิถีชีวิตแบบชาวฟาร์มนิวซีแลนด์ ที่ Walter Peak Farm ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง สนนราคาเริ่มต้นที่ 50 เหรียญรวมอาหารว่าง ชากาแฟ ขนมนมเนย แต่ถ้าจะรับประทานอาหารกลางวันหรือเย็น แบบบาร์บีคิวสเต๊กด้วยก็ราคาเพิ่มไปตามนั้น ที่ฟาร์มก็จะมีโชว์ต้อนแกะ และตัดขนแกะ เป็นต้น
อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่า ควีนทาวน์เป็นเมืองของเหล่านักกิจกรรม (ผจญภัย) จนได้รับสมญาว่าเป็น “Adventure Capital of the World” มีสารพัดกิจกรรมที่ช่วยปลุกอะดรีนาลีนในตัวคุณให้ตื่นตัว และเสียเงินเยอะมาก ไหนผมมาแล้วก็ต้องเลือกลองกิจกรรมที่ว่าสักหน่อย เพื่อให้ไม่เสียทีที่มา อันแรกที่ผมเลือก คือ ขึ้น Shotover Jet เป็นเรือเร็วที่สามารถวิ่งได้บนน้ำลึกเพียง 10 เซนติเมตร (4 นิ้ว) ด้วยความเร็วสูง จุดเด่นคือมันสามารถหมุน 360 องศาจังหวะนี้ต้องเกาะเรือดีๆ ไม่งั้นระเนระนาดกันทีเดียว มีหลายบริษัทให้เลือก ผมเลือกของ Shotover Jet ที่เป็นเรือที่วิ่งไปตามแม่น้ำที่คดเคี้ยวระหว่างเขา ใช้เวลาทั้งหมดชั่วโมงครึ่งเป็นระยะเวลาการเดินทางจากเมืองไปกลับแม่น้ำ ช่วงเวลาจับจ่ายของที่ระลึกและรูปที่ระทึกของเรา เหลือเวลาฉวัดเฉวียนบนเรือแค่ 25 นาที แต่รับรองเลยว่าคุณต้องร้องวู้ ว้าว ว้าย ยาว เหมือนผมเป็นแน่
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ผมเลือกคือ กระโดดบันจี้หรือที่เรียกว่าบันจี้จัมพ์ ณ สะพานคาวารัว (Kawarau Bungy Jump) สูงประมาณ 43 เมตรสะพานนี้อยู่ระหว่างทางขวามือก่อนที่จะถึงตัวเมืองควีนส์ ทาวน์ จริงๆ มีที่กระโดดบันจี้หลายจุด และที่นี่ก็ไม่ใช่จุดสูงสุด แต่สำหรับผมคิดว่าสวยสุดด้วยวิวสะพานสุดฮิตและโดดลงไปบนพื้นน้ำ ด้วยราคาเกือบ 200 เหรียญทำเอา หน้ามืดก่อนจะโดดทีเดียว ช่วงเวลาก่อนและระหว่างกระโดด ไม่มีคำพูดใดๆ บรรยายบอกเลย มันโล่งไปหมด เป็นอีกกิจกรรม ที่ผมอยากแนะนำ โดดเสร็จคุณจะเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
ปิดท้ายกับกิจกรรมเบาๆ ด้วยการขึ้นกระเช้า Skyline Gondola ไปยังยอดเขาบ็อบส์ พีค (Bob’s Peak) เพื่อชมวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบวาคาติปูที่โอบล้อมภูเขาและตัวเมืองที่อยู่ด้านล่าง จากที่ผ่าน 2 กิจกรรมหลักมา การนั่งกระเช้าเป็นอะไรที่สบายมากสำหรับผม ด้านบนยอดเขามีร้านอาหารสุดหรูบริการให้ได้ชมวิวไปด้วย รับประทานอร่อยรสเลิศไปในเวลาเดียวกัน แต่ด้วยเงินที่กระจายไปให้เรือและการโดดบันจี้ ผมจึงได้เพียงแต่ยืมชมวิวชนิดอลังการอยู่เงียบๆ แค่นี้ก็คุ้มค่าสำหรับการเดินทางครั้งนี้ของผมแล้ว
– ประเทศนิวซีแลนด์หรือภาษาเมารีเรียก Aotearoa หมายถึง “ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว” หรือ Niu Tirenio ซึ่งเป็นการทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ คือเกาะเหนือและเกาะใต้ รวมถึงเกาะเล็กๆ อีกจำนวนหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนตะวันตกเฉียงใต้ ภูมิอากาศโดยรวมอุณหภูมิประมาณ 10 – 25 องศา เวลาเร็วกว่ามาตรฐาน กรีนิช 12 ชั่วโมง และเร็วกว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง
– สามารถการยื่นขอวีซ่านิวซีแลนด์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.ttsnzvisa.com ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการกรอกข้อมูล ค่าวีซ่า สำหรับวีซ่าประเภทท่องเที่ยว ประมาณท่านละ 4,350 บาท และวีซ่ากลุ่มสำหรับเดินทางไป – กลับพร้อมกันอย่างน้อย 3 ท่าน ท่านละ 2,150 บาท
– นิวซีแลนด์มีกฎหมายที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสามารถนำเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัตว์ พืชหรือผลไม้ห้ามนำเข้ามาในประเทศนิวซีแลนด์
– สกุลเงินนิวซีแลนด์ เป็นดอลล่าร์นิวซีแลนด์ 1 ดอลล่าร์นิวซีแลนด์ ประมาณ 20.50 บาท (7 มิถุนายน 2563)