Nagano Calling All Nature Lovers – สัมผัสธรรมชาติที่นากาโนะ
Story & Photo by Orawan
นากาโนะ (Nagano) หรือนากาโน่ แล้วแต่คนจะออกเสียงได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ด้วยเพราะทั้ง 4 ทิศ โดนล้อมรอบด้วยภูเขาสูงกว่า 3,000 เมตรเรียงรายกันมากมาย ทำให้นากาโน่เปรียบเสมือนหลังคาของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย และถ้าพูดถึงนากาโน่ ภาพของแหล่งสกีและออนเซน รวมไปถึง “ลิงภูเขา” จิโกกุดานิ ที่ลงแช่บ่อน้ำร้อนกลางแจ้งน่าจะเป็นภาพที่คุ้นตาของหลายท่าน แต่ที่จริงแล้วนากาโน่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ธรรมชาติและประวัติศาสตร์อีกมากมาย
มานากาโน่ที่แรกที่ควรแวะ คือ วัดเซนโคจิ (Zenkoji Temple) วัดนี้นอกจากจะตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่เดินทางไปง่าย (ถ้ามาจากสถานีรถไฟนากาโน่สามารถเดินมาได้ประมาณ 15 นาทีก็ถึง หรือจะนั่งรถบัสประจำทาง มาก็ได้) วัดนี้ยังเป็นวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เพราะเป็นวัดแรกในญี่ปุ่นที่นำพระพุทธรูปมาประดิษฐานตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 โดยพระประธานหลักองค์นี้จะถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีไม่เปิดให้ได้ชม จะมีเพียงองค์จำลองที่สร้างไว้เพื่อสักการะ
ในทุก 6 ปีจะมีงานสักการบูชาที่ยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่างาน “เซนโคจิ โกไคโจ” โดยรอบถัดไปจะเป็นปี 2021 นั่นเอง นอกจากนี้ที่นี่เป็นวัดที่ไม่จำกัดชั้นชน วรรณะ เพศหญิงชาย จนมีคำกล่าวโบราณของญี่ปุ่นที่ว่า เป็นวัดที่ “ต้องไปให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต” วัดเปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.30 – 16.30 น. (อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล) ค่าเข้าชม 500 เยน ซึ่งสามารถชมได้ในส่วนของห้องโถงกลาง (ห้องภายใน, ห้องใต้ดิน และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์)
ที่น่าสนใจคือ ทางเดินใต้ดินที่อาคารหลัก จากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เส้นทางเดินแห่งนี้มืดมากขนาดที่มองมือตัวเองแทบไม่เห็น ต้องเดินโดยการคลำมือไปตามกำแพงทางเดิน ซึ่งผนังระหว่างเส้นทางเดินนั้นระหว่างทางจะมีสลักประตูที่เรียกว่า “กุญแจสู่สวรรค์” (key to paradise) หากคลำพบกุญแจนี้ ว่ากันว่าจะสามารถไปสู่สวรรค์ได้
ด้านบนของวัดมีการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของวัดซึ่งมีพระพุทธรูปเก่าแก่หลายชิ้นจัดแสดง นอกจากนี้บริเวณรอบวิหารหลักจะมีสวนหย่อมรวมทั้งเจดีย์จูเรอิเด็น (Chureiden) หอระฆังโซโล (Shoro) อาคารเก็บพระไตรปิฎก (Kyozo) พระจิโซหินทั้งหก (Roku-Jizo) รวมทั้งประตูนิโอมง (Niomon) ที่อยู่ด้านหน้าสุดของบริเวณวัดอีกด้วย และถนนหน้าวัดนี่เองยังมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกรวมไปถึง ร้านอาหารและร้านกาแฟเก๋ๆ ให้ได้ช้อปปิ้งกันอีกด้วย หรือจะเลือกทำกิจกรรม work shop ง่ายๆ อย่างเช่นการทำถุงหอมก็ย่อมได้
จากวัดเซนโคจิ เรามุ่งหน้าสู่ภูเขาโทกาคุชิเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำนานเทพเจ้า ที่แสนเงียบสงบ และเต็มไปด้วยต้นสนซีดาร์ที่ตั้งสูงตระหง่าน บริเวณไหล่เขาเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าโทกากุชิ (Togakushi Shrine) ซึ่งในศาลเจ้าโทกากุชิ ประกอบด้วยศาลเจ้า 5 แห่งได้แก่ศาลเจ้าส่วนใน (โอะคุชะ) ศาลเจ้าส่วนกลาง (ชูชะ) โฮโคชะ คุซุริวชะและฮิโนะมิโคชะ เริ่มจากศาลเจ้าโฮโคชะ ซึ่งไม่ไกลจากลานจอดรถนัก เดินขึ้นบันได 270 ขั้นก็จะเห็นศาลเจ้าที่ดูน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใส ว่ากันว่าเทพเจ้าในศาลเจ้าแห่งนี้จะช่วยพัฒนาการศึกษาเล่าเรียนและทักษะด้านศิลปะการทอผ้า และปกป้องคุ้มครองการคลอดบุตรให้ปลอดภัยทั้งแม่และเด็ก
เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ก็จะถึงศาลเจ้าฮิโนะมิโคชะเป็นเทพเจ้าที่ได้รับความศรัทธาในเรื่องช่วยเพิ่มทักษะด้านศิลปะการแสดง ช่วยให้สมหวังในความรักและป้องกันอัคคีภัยประทับอยู่เดินต่ออีก 15 นาทีก็จะถึงศาลเจ้าส่วนกลาง มีต้นสน 3 ต้นที่มีอายุกว่า 800 ปีเด่นเป็นสง่าอยู่จากศาลเจ้าส่วนกลาง
อีกประมาณ 30 นาทีก็จะถึงทางเดินเข้าสู่ศาลเจ้าส่วนในซึ่งมีซุ้มประตูโทริอิขนาดใหญ่ตั้งอยู่ จากจุดนี้ไปอีก 1 กิโลเมตรก็จะถึงประตูซุยชินมง เมื่อเดินทะลุผ่านแนวต้นสนเรียงราย ขึ้นเนินไปจะมองเห็นศาลเจ้าส่วนในและศาลเจ้าคุซุริวชะนั่นเอง นอกจากธรรมชาติที่งดงามแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยนกป่ามากกว่า 120 ชนิด พรรณไม้และดอกไม้อีกหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิและต้นฤดูร้อนเหล่าไม้ดอกจะส่งกลิ่นหอมตลบไปหมด แต่ในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ป่าทั้งป่าจะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเขียว ส้ม เหลือง แดง น้ำตาลเต็มพื้นที่ไปหมด แค่ย่างก้าวเข้ามาในพื้นที่ก็เหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว ธรรมชาติสมบูรณ์แบบนี้ที่นี่จึงเป็นที่นิยมทั้งสำหรับผู้ที่มีความศรัทธา นักเดินป่า และนักท่องเที่ยว ในทุกช่วงฤดู ที่สำคัญเปิดตลอด 24 ชั่วโมงและสามารถเดินทางมาจากสถานีนากาโน่ โดยใช้บริการรถบัสก็สามารถเข้าถึงได้ทั้งสามศาลเจ้าแล้วทำให้คนเดินทางมาที่นี่เยอะมาก
จากความเงียบสงบของธรรมชาติ เราแวะไปต่อที่ พิพิธภัณฑ์โทกากุเร นินโป (Togakure Ninpo Museum) เพื่อเติมความสนุกให้กับชีวิต พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าศาลบนโทงากุชิ ในอดีตสมัยศตวรรษที่ 12 นักรบจากนากาโน่รอดตายจากสงครามมินาโมโตะและตระกูลไทระ แล้วมาตั้งโรงเรียนนินจาเป็นของตนเอง
ที่นี่จึงมีประวัติศาสตร์กว่า 800 ปี ภายในประกอบด้วยอาคารหลายอาคาร ที่จัดแสดงเกี่ยวกับอาวุธที่นินจาใช้จริงเช่น ชูริเค็น (อุปกรณ์รูปดาวเหล็กใช้ขว้างใส่เป้าหมาย) ลูกศร และเครื่องมือต่างๆ ของนินจา เดือยแหวนสำหรับไต่ขึ้นผนัง เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังมีภาพถ่ายเกี่ยวกับการฝึกฝนของนินจาในสมัยก่อนจัดแสดงอีกด้วย สำหรับอาคารที่เป็นที่ชื่นชอบคือ
อาคารที่สร้างขึ้นด้วยกลไกของนินจาหลากหลายทั้งประตูลับ ทางเดินเขาวงกต พื้นลาดเอียง นอกจากนี้ยังมีสถานที่ฝึกการต่อสู้อย่างเช่น การฝึกขว้างดาวกระจาย (shuriken) เป็นต้น และในบริเวณเดียวกันยังมีพิพิธภัณฑ์โทกาคุชิมินโซขุ (Museum of Togakushi Folklore) ที่่จัดแสดงเครื่องมือ เสื้อผ้า ภาชนะ เฟอร์นิเจอร์ของคนสมัยเอโดะกว่า 2,000 รายการ อีกด้วย
นอกจากนี้เมืองอื่นๆ ในจังหวัดนากาโน่แห่งนี้ อย่างเมืองคารุอิซาว่า (Karuizawa) ที่ขึ้นชื่อเรื่องของน้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Waterfall) หรือเมืองโอบุเซะ (Obuse) เมืองที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเกาลัด ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่หลงรักธรรมชาติในแถบนากาโน่แห่งนี้ โอกาสต่อไปเราจะพาไปรู้จักทั้งสองเมืองนี้อย่างแน่นอน