The island was called Malta -เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า…มอลตา
เรื่องและภาพโดย…เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
สำหรับนักเดินทางทั่วไป มอลตา (Malta) อาจไม่ใช่ทางเลือกหลักเมื่อมุ่งหน้าไปยุโรป หรือบางคนอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชื่อเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนที่เริ่มคุ้นเคยกับยุโรปอย่างฉัน เมื่อมองหาจุดหมายปลายทางใหม่ๆ มอลตาจึงเป็นปลายทางหนึ่งที่น่าสนใจ
เมื่อเล่าถึงแผนการเดินทางครั้งนี้ให้เพื่อนๆ ในกลุ่มนานาชาติของฉันได้ฟัง ทุกคนต่างให้ตกลงปลงใจจองตั๋วเครื่องบินไปมอลตาด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ถึง 9 คน น่าแปลกใจที่แม้แต่เพื่อนชาวยุโรปก็ยังไม่เคยมีใครเดินทางไปมอลตาเลย
ประเทศมอลตา หรือชื่อเต็มว่า สาธารณรัฐมอลตา เป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ประกอบไปด้วย 3 เกาะเล็กๆ ได้แก่ เกาะมอลตา (Malta Island) เกาะโกโซ (Gozo Island) และเกาะโคมิโน (Comino Island) รวมเนื้อที่ทั้งหมดเพียงแค่ 316 ตารางกิโลเมตร (ซึ่งเล็กกว่าเกาะสิงคโปร์เสียอีก)
ถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดอันดับที่ 5 ของยุโรป มีเมืองหลวงคือ วัลเลตตา (Valletta) ที่นอกจากจะได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1980 แล้ว ก็เพิ่งได้รับการโหวตให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมในยุโรป (The European Capical of Culture 2018) ในปี 2018 ที่ผ่านมาอีกด้วย นับเป็นรางวัลที่การท่องเที่ยวแห่งมอลตากำลังนำมาใช้เป็นจุดขายดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
เนื่องจากโซนเมืองเก่าของวัลเลตตามีที่พักค่อนข้างจำกัด พวกเราจึงเลือกที่พักในเขตเมืองเซลีมา (Sliema) ซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งของอ่าววัลเลตตา (Valletta habour) สามารถนั่งเรือไปวัลเลตตาได้อย่างสะดวก ฝั่งนี้เป็นเขตเมืองใหม่ที่มีที่พักให้เลือกหลากหลายกว่า ตอนนี้ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองตากอากาศริมทะเลที่เงียบสงบและกำลังโด่งดังในหมู่ชาวยุโรป เคยได้ยินเพื่อนคนหนึ่งตั้งฉายาให้ที่นี่ว่า “สวรรค์ราคาถูกแห่งเมดิเตอร์เรเนียน”
มอลตาเคยอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร ผู้คนจึงใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในชีวิตประจำวัน และมีภาษามอลตีส (Maltese) เป็นภาษาราชการ ที่น่าสนใจคือ วิถีชีวิตของคนที่นี่ค่อนข้างจะเป็นแบบบริติช ทั้งภาษา วัฒนธรรม และอาหารการกิน
พวกเรานั่งเรือข้ามฟากจากท่าเรือเซลีมา (Sliema ferry) ค่าตั๋วเรือข้ามไปยังวัลเลตตาราคาเพียง 1.5 ยูโร/คน/เที่ยว ระหว่างนั่งเรือเราจะได้เห็นวิวเมืองเก่าของวัลลเตตาเต็มสองตา โดยเฉพาะหลังคาโดมขนาดใหญ่ของโบสถ์คาร์เมไลท์ (Carmelite Church หรือ Basilica of Our Lady of Mount Carmel) อันโดดเด่นและสวยงาม เช่นเดียวกับภาพบนแผ่นโปสการ์ดที่เคยเห็นก่อนหน้านี้
ฉันรู้สึกเหมือนว่ากำลังมุ่งหน้าไปเพื่อย้อนเวลาสู่อดีต เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างและสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 วัลเลตตาเป็นเมืองที่มีเนินสูงต่ำ การเดินเล่นชมเมืองจึงต้องเดินขึ้นลงเนินตลอดเวลา ควรเตรียมรองเท้าที่เดินสบายเพื่อความเพลิดเพลินในการชื่นชมบรรยากาศเก่าๆ แบบย้อนยุค มีขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถเดินเที่ยวชมเมืองได้ทุกทิศทาง
พวกเรามุ่งหน้าไปยังจัตุรัสรีพับบลิค (Republic Square) ที่เป็นเหมือนห้องนั่งเล่นของเมือง เชื่อมต่อกับถนนรีพับบลิคซึ่งเป็นถนนสายช็อปปิ้งและแวดล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญอย่าง ทำเนียบประธานาธิบดี ทำเนียบรัฐบาล ห้องสมุดประจำเมือง และพิพิธภัณฑ์ ใกล้กับประตูเมืองหลัก (City gate) มีวงเวียนน้ำพุไทรทัน (Triton Fountain หรือ II-Funtana tat-Tritoni) ตั้งอยู่
กำลังเดินเล่นเพลินๆ จู่ๆ เมฆสีเทาเข้มบนฟ้าก็เริ่มตั้งเค้ากลายเป็นฝน พวกเราจึงวิ่งสวนทางกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ เข้าไปหลบฝนด้านในโบสถ์เซนต์พับเลิส พาริช (St. Publius Parish Church)
ที่นั่นพวกเราได้เจอกับคุณลุงคนหนึ่งที่กำลังซ่อมแซมโบสถ์อยู่
เข้ามาทักทายและเสนอตัวว่าจะพาเดินเที่ยวชมโบสถ์และเล่าประวัติศาสตร์ของมอลตาให้ฟัง
นับเป็นความโชคดีมากของพวกเราที่ได้เพลิดเพลินกับประวัติศาสตร์และที่มีที่ไปของประเทศมอลตา เสมือนได้เข้าไปท่องเที่ยวอยู่ในหนังสืออ่านนอกเวลาเรื่อง “The island was called Malta” ภายในเวลาสองชั่วโมง
พวกเรากล่าวขอบคุณไกด์กิตติมศักดิ์และออกไปเดินชมเมืองวัลเลตตากันต่อ
ตอนนั้นฝนหยุดแล้วและท้องฟ้าเริ่มเปิด จึงไม่รีรอเดินไปชมวิวท้องทะเลสีครามที่สวนบาร์รัคคา (Barracca Garden) สวนสวยที่ในอดีตเคยเป็นสถานที่ส่วนบุคคล แต่ภายหลังเปิดให้สาธารณะชนเข้าไปชมได้ พื้นที่ภายในสวนแบ่งออกเป็นสองส่วน ที่มีทั้งโซนบนเนินเขา (Upper Barracca) และโซนด้านล่างติดทะเล (Lower Barracca) ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของอ่าวแกรนด์ฮาร์เบอร์ (Grand Harbour) ได้อย่างเต็มตา
จากนั้นเดินต่อไปยังป้อมเซนต์เอลโม (Fort Saint Elmo) ที่อยู่ริมทะเลสุดปลายแหลม แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที เพราะวิวระหว่างทางชวนให้แวะรื่นรมย์
มอลตาเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และในอดีตมักถูกแย่งชิงเพื่อครอบครองจากอาณาจักรใหญ่ๆ นับครั้งไม่ถ้วน ทำให้มีการสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบเกาะไว้เพื่อป้องกันข้าศึก ปัจจุบันกำแพงเมืองนี้ได้หลงเหลือไว้ให้เป็นจุดชมทัศนียภาพอันสวยงาม
สิ่งที่พวกเราชอบมากที่สุดคือการเดินลัดเลาะไปตามตรอกแคบๆ เพื่อสำรวจเมืองวัลเลตตาอย่างละเอียด มีร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์มากมายซ่อนตัวอยู่
จุดเด่นของที่นี่คือบ้านเรือนสวยงามที่มีเอกลักษ์เป็นระเบียงหลากสี หลายดีไซน์ที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน ประตูหน้าต่างก็หลากสีสัน
พวกเราได้แวะชิมอาหารพื้นเมือง ซึ่งส่วนใหญ่มีเมนูกระต่ายมากมายให้เลือก ฉันเคยมีกระต่ายน้อยตาใสเป็นสัตว์เลี้ยงในวัยเด็กจึงขอปฏิเสธและเปลี่ยนเป็นลิ้มรสอาหารทะเลสดๆสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนแทน
พวกเราก็ได้ค้นพบบาร์เล็กๆ ในตรอกแห่งหนึ่งที่ติดใจในบรรยากาศและอัธยาศัยของพนักงานเสิร์ฟจนนั่งจิบเบียร์ท้องถิ่นกันเพลินและเผลอลืมไปว่ายังมีโปรแกรมไปชมเมืองชาวประมงกันต่อ
กว่าจะมาถึงหมู่บ้านประมงมาร์ซักลอคค์ (Marsaxlokk fishing village) ก็ใกล้ค่ำแล้ว ทำให้พวกเราพลาดตลาดปลา บริเวณอ่าวมีเรือประมงพื้นเมืองที่เรียกว่าลุซซุส (Luzzus) จอดอยู่เต็มไปหมด สีสันและรูปทรงของเรือเก๋ไก๋ไม่เบา
จนอดไม่ได้ที่จะนึกถึง เรือกอและ เอกลักษ์ทางภาคใต้ที่บ้านเกิดของฉันบรรยากาศยามเย็นที่ริมอ่าวแห่งนี้ช่างสวยงามและสงบ เหมือนพวกเราได้เอาสภาพจิตใจที่เคยวุ่นวายมาปล่อยวางลงที่นี่
เนื่องจากพวกเราเป็นนักเดินทางสายอินดี้ จึงหลีกเลี่ยงสถานที่ที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว วันต่อมาพวกเราจึงเลือกไปเเทรคกิ้งริมอ่าวเพื่อชมวิวทะเลแทนการล่องเรือท่องเที่ยวไปตามเกาะแก่งเล็กๆ จุดตั้งต้นอยู่ที่ หมู่บ้านป๊อบอาย (Popeye village)
ซึ่งใกล้กับเมืองเมลลิฮา (Mellieħa) หมู่บ้านชาวประมงดั้งเดิมที่มีบ้านไม้ตั้งเรียงรายอยู่ริมอ่าวอันเคอร์ (Anchor bay) ส่วนหมู่บ้านป๊อบอายนั้นได้ถูกสร้างจำลองขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1980
เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดการแสดงละครเพลงสดเรื่องป๊อบอายที่เกิดจากความร่วมมือของสองบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Paramount Pictures และ Walt Disney ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งและเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สำหรับครอบครัว
พวกเรามองข้ามการเข้าไปชมด้านในหมู่บ้านจำลอง แต่เดินข้ามมาอีกฝั่งของอ่าวซึ่งเป็นจุดถ่ายภาพหมู่บ้านป๊อบอายได้อย่างสวยงาม ซึ่งเป็นวิวที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ พวกเราเริ่มเดินจากจุดนี้มุ่งหน้าไปยังหาดทรายทอง (Golden bay) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร
เส้นทางเดินไม่ลำบากและไม่สูงชันอันตราย แต่มีวิวสวยสุดคุ้ม แถมยังมีชายหาดให้ได้นอนเล่นพักผ่อนรอเป็นรางวัลอยู่ที่จุดหมายปลายทาง เป็นอีกกิจกรรมที่อยากแนะนำสำหรับคนที่ต้องการประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบใหม่ๆ
พวกเราเล่นน้ำโต้คลื่นทะเลกันที่หาดทรายทองจนเกือบค่ำ ก่อนกลับที่พักได้แวะชมเมืองเอ็มดิน่า (Mdina) เมืองโบราณอันมีมนต์เสน่ห์ที่รู้จักกันในนาม “Silent City” ตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเกาะ ที่นี่คือเมืองหลวงเก่าของมอลตาตั้งแต่สมัยยุคกลางที่ล้อมรอบอยู่ภายในกำแพงเมืองเก่า
หลังผ่านประตูเมือง (The King’s Gate) เข้าไปก็เหมือนได้หลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง บรรยากาศมีความขลังและสุดคลาสสิก เดินวนไปเรื่อยๆ จะไปเจอกับลานเล็กๆ ที่เป็นจุดชมวิวเมืองสุดลูกหูลูกตา
เพราะตั้งอยู่บนเนินเขา ไม่แปลกใจเลยที่ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในโลเคชั่นถ่ายซีรีย์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones
แม้พื้นที่ของเกาะมอลตาอาจจะไม่ใหญ่นัก แต่ปริมาณมุมสวยมุมสุนทรีย์นั้นมีอยู่อย่างแน่นหนาผู้คนอบอุ่นมีมิตรไมตรี ตึกรามบ้านช่องในเขตเมืองเก่าสวยงามแปลกตา
ตัวอาคารเป็นอิฐสีซีดๆ แต่โดดเด่นด้วยประตูหน้าต่างและระเบียงบ้านสีฉูดฉาด
ค่าครองชีพที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป นับเป็นดาวเด่นแห่งท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่น่าจับตามองและน่าไปเยี่ยมเยือนสักครั้ง
ข้อมูลเพิ่มเติม
– มอลตาเป็นประเทศในเครือสหภาพยุโรป (EU) สามารถใช้วีซ่าเชงเก้น (Schengen) เข้าออกได้ สกุลเงินที่ใช้คือ ยูโร (Euro) สามารถเดินทางโดยเครื่องบินจากหลายเมืองหลักของยุโรปหรือข้ามเรือมาจากเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลีก็ได้
– การเดินทางในมอลตามีรถประจำทางครอบคลุมทั่วทั้งเกาะ สามารถตรวจสอบเส้นทางและตารางเดินรถได้จาก www.publictransport.com.mt หากเดินทางเป็นกลุ่มการเดินทางโดยรถแท็กซี่ก็เป็นตัวเลือกที่สะดวกสบายและไม่แพงมากนัก