Maldives : Sea Sand Sun
“ไปเที่ยวทะเลกัน” ต้องพูดว่า “Let’s go to the seaside” หรือ “Let’s go to the beach” แต่ถ้าจะชวนกันลงเล่นน้ำ ก็ให้พูดว่า “Let’s go in the sea”
เริ่มต้นหน้าร้อนด้วยการเชิญชวนไปเที่ยวทะเลกันไว้จะเป็นทะเลเมืองไทยหรือทะเลเมืองนอกก็แล้วแต่น่าจะเหมาะกับช่วงหน้าร้อนเช่นนี้ และถ้าพูดถึง “ทะเลมัลดีฟส์” แล้วละก็เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับมัลดีฟส์ หรือเกาะมัลดีฟส์ หรือถ้าจะเรียกชื่อประเทศเต็มๆ ก็คือ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ (Republic of Maldives) กันก่อน มัลดีฟส์ ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียของเรานี่แหละ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียและศรีลังกา เป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย อากาศโดยทั่วไปคือ ร้อนชื้น แต่ก็เที่ยวได้ตลอดทั้งปี
ช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดคือ ช่วงพฤศจิกายน – เมษายน แต่ช่วงเดือนธันวาคม ถึงเดือนมกราคม ชาวยุโรปจะหนีหนาวมาพึ่งร้อนที่มัลดีฟส์กันเยอะหน่อย และช่วงที่ราคาถูกลงมาหน่อย ก็เป็นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม เพราะเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก แต่ฝนที่มัลดีฟส์จะตกเป็นช่วงสั้นๆ เพียง 15 – 30 นาทีก็หมดแล้ว
ไม่ต้องกังวล อ้อ…การเดินทางเข้ามัลดีฟส์ ไม่ต้องขอวีซ่า สามารถอยู่ได้ 30 วันกันเลย (ถ้าคุณมีงบประมาณและเวลาเพียงพอ) จากประเทศไทยมีเส้นทางการบินที่บินตรงไปยังมัลดีฟส์ เช่น สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways) บินตรงไปมัลดีฟส์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
โดยเวลาที่มัลดีฟส์ช้ากว่าไทย 2 ชั่วโมง เครื่องบินจะลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติเวลานา แต่เดิม มีชื่อว่าท่าอากาศยานนานาชาติอิบราฮิมนาเซอร์ (Ibrahim Nasir International Airport) ในปัจจุบันรู้จักกันทั่วไปว่า “ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล” (Malé International Airport) แต่นิยม เรียกสั้นๆ ว่า “สนามบินมาเล” มัลดีฟส์ ประกอบไปด้วยหมู่เกาะกว่า 1,000 เกาะที่รวมๆ กันอยู่ โดยแบ่งเป็นกลุ่มทั้งหมด 26 กล่มุ ซึ่งในบรรดาเกาะทั้งหมดมีเพียง 200 เกาะที่อาศัยอยู่ได้ พื้นที่อาศัยได้เพียง 300 ตร.กม. เทียบง่ายๆ ก็ประมาณเกาะสมุยของเรา เนื่องจากมัลดีฟส์ เป็นประเทศที่เกิดจากภูเขาไฟ เดิมในอดีตบริเวณนี้คือภูเขาไฟ
เวลาผ่านไปโดนน้ำทะเลซัด ภูเขายุบลงทะเล ยอดของภูเขาไฟก็กลายเป็นพื้นทราย หาดทรายและลากูน ประกอบกับน้ำทะเลแถวนี้อบอุ่น เลยทำให้ปะการังเจริญเติบโตได้ดี ล้อมรอบเป็นวงของภูเขาไฟ เราเรียกเกาะปะการังที่เกิดจากภูเขาไฟว่า อะทอลล์ (Atoll) สำหรับเมืองหลวงที่ชื่อ “มาเล” ชื่อเดียวกันกับสนามบินนั้นอยู่บนเกาะตั้งอยู่บนเกาะมาเลในหมู่เกาะคาฟุ (Kaafu Atoll) ปกติแล้วเวลาซื้อแพ็กเกจมาเที่ยวมัลดีฟส์
โดยมากที่พักที่ตั้งอยู่บนเกาะต่างๆ นั้นมีเงื่อนไข เช่น จ่ายครั้งเดียวจบ (All Inclusive) รวมอาหารและกิจกรรมต่างๆ หรือเพียงแค่ห้องพัก ต้องดูเงื่อนไขดีๆ บางครั้งจะมีว่ารวมการเดินทางจากเกาะมาเลไปยังที่พักหรือเปล่า เพราะถ้าที่พักอยู่บนเกาะที่ไม่ไกลสนามบินก็จะมีสปีดโบตไป แต่ถ้าไกลต้องนั่งเครื่องบินน้ำ (SeaPlane) ไป ราคาก็จะแพงขึ้นตามลำดับ สำหรับคนที่ใช้บริการเครื่องบินน้ำเช็กกระเป๋าตัวเองด้วยห้ามน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัม เมื่อมาถึงสนามบินแล้ว หันซ้ายหันขวา มองหาเคาน์เตอร์ที่พักหรือป้ายที่มารับ โดยมากที่พักส่วนใหญ่จะมีบริการรับส่งจากที่พักไปกลับสนามบิน
ไปลุยกิจกรรมกัน
จากท่าเรือแต่ละคนก็จะมุ่งหน้าไปตามที่พักที่ตนเองได้จับจองไว้ ไม่ว่าจะเป็นวิลล่ากลางทะเล วิลล่าริมทะเล เกาะที่คนนิยมกันคือ Maafushi Island เพราะไม่ไกลจากมาเลมากนัก ที่พักก็มีให้เลือกเยอะ หรืออย่างไรก็ตามแต่ ทุกคนก็จะเตรียมอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทางน้ำมาแทบทั้งนั้น ด้วยเพราะมัลดีฟส์นั้นมีธรรมชาติทางทะเลที่สวยงามเป็นอย่างมาก หลายคนเดินทางมาเพื่อการพักผ่อน หลายคนเดินทางมาเพื่อชื่นชมธรรมชาติทางทะเลของที่นี่ กิจกรรมหลักๆ เวลามามัลดีฟส์ คงหนีไม่พ้นกิจกรรมทางน้ำ
อย่างเช่น เวลาซื้อแพ็กเกจที่พักมา ทางที่พักก็จะมีให้เราเลือกกิจกรรม เช่น ดำน้ำ ตกปลา หรือล่องเรือดูโลมา ถ้าชอบกิจกรรมโลดโผน (Extreme) ก็มีกีฬาทางน้ำให้เลือกเล่นเยอะหรือถ้าใครไม่พักบนเกาะ แต่อยากไปชมเกาะ ก็มีบริการแบบพาไปทัวร์แบบ Private Resort แบบเช้าไปเย็นกลับให้ด้วย ถ้าแบบนี้เขาจะมีสายรัดข้อมือให้เพื่อให้เห็นความต่างกันกับคนที่พักอยู่ที่พักนั้น สนใจแบบไหน ก็ติดต่อกับที่พัก ที่เราพักได้เลย
ส่วนสำหรับคนที่พักเกาะก็จะมุ่งหน้าขึ้นสปีดโบตและเรือบินน้ำต่างคนต่างไปใช้ชีวิตของวันหยุดพักร้อนพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ อย่างเราเลือกที่จะไป ดำน้ำดูปะการัง ที่พักของเราจะมีให้จอง 2 รอบ รอบเช้าออกประมาณ 10 โมง กลับมาตอนเที่ยงครึ่งและรอบบ่ายแก่ๆ ตอนบ่ายสองครึ่งกลับมาสี่โมงเย็น พอถึงเวลาที่เราไปจองไว้ จะเตรียมอุปกรณ์ดำน้ำมาเลยไม่ว่าจะเป็น หน้ากาก Snorkeling หรือตีนกบ (Fins) แต่ถ้าใครไม่มีไม่เป็นไร เขามีให้เช่า สนนราคาค่าเช่าอุปกรณ์อยู่ที่ประมาณ 10 USD / คน / วัน
โลกใต้น้ำและพระอาทิตย์ตกดิน
ที่มัลดีฟส์มีจุดดำน้ำหลายร้อยจุด บางจุดเป็นระยะเริ่มต้น (beginning) ก้มหน้าลงน้ำลงไปก็มองเห็นเหล่าปะการังน้อยใหญ่ และฝูงปลามากมายวนเวียนว่ายอยู่ภายใต้โลกใต้น้ำอันแสนมหัศจรรย์ บางจุดคุณต้องผ่านหลักสูตร Advance Open Water บางจุดมีความลึกกว่า 30 เมตร สำหรับใครที่ต้องการ ดำน้ำแบบ Scuba ต้องมีบัตรดำน้ำและ Log Book ติดตัวไปด้วย
แนะนำว่าก่อนเดินทางหาเวลาไปดำน้ำและบันทึกใน Log book สัก 2-3 เดือนก่อนไปดำน้ำในมัลดีฟส์เพื่อความคล่องตัวของทักษะการดำน้ำ แต่โดยมากแต่ละที่พักให้ทดสอบก่อนเพื่อความมั่นใจ และอย่างที่เล่าไปข้างต้นว่ามัลดีฟส์เป็นเกาะปะการังที่เกิดจากภูเขาไฟซึ่งเรียกว่า อะทอลล์ (Atoll) โดย อะทอลล์ทางเกาะเหนือ (North Atoll) จะมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่า อะทอลล์ทางใต้ (South Atoll)
จุดดำน้ำยอดนิยม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าความฝันของคุณคือการได้ว่ายน้ำเคียงข้างปลากระเบนแมนตาละก็ที่จุดดำน้ำซันไลต์ ทิลา (Sunlight Thila) จุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเดือนมีนาคม – ตุลาคม ลมจากทิศใต้จะนำพาแพลงก์ตอน เข้ามาบริเวณนี้ ทำให้ปลากระเบนแมนตาตามมาด้วย แต่ถ้าอยากเห็นฉลามละก็ให้ไปที่จุดดำน้ำรัสฟารี (Rasfari) คือสวรรค์ของนักดำน้ำที่อยากประจันหน้ากับฉลามสีเทา ฉลามครีบขาว ฉลามครีบเงิน รวมถึงปลากระเบนค้างคาวกันเลย หรือจะเป็นที่จุดดำน้ำโคเคา คอร์เนอร์ (Cocoa Corner) สำหรับมือโปรหน่อยจุดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดำน้ำที่เหล่าฉลามแวะเวียนมาทักทายอยู่เสมอ
สำหรับคนที่ชื่นชอบเต่าทะเลที่จุดดำน้ำคันดูมา ทิลา (Kandooma Thila) คุณจะได้พบเต่าทะเล 5 ใน 7 สายพันธุ์ที่พบในมัลดีฟมหรือที่จุดดำน้ำ มายา ทิลา(Maaya Thila) ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องทริปดำน้ำหลังพระอาทิตย์ตกดิน ดื่มด่ำท้องทะเลใต้แสงจันทร์แล้วสนุกสนานกับการตามหาปลาไหลมอเรย์ หมึกยักษ์และปลาแมงป่อง แต่ต้องเป็นระดับมือโปรกันหน่อย แต่ถ้าสำหรับมือใหม่ก็ได้ มือโปรก็ดี น่าจะเป็นแนวปะการังบานานารีฟ (Banana Reef) คือจุดดำน้ำแห่งแรกที่ถูกค้นพบในมัลดีฟส์นั่นเอง
หลังกิจกรรมดำน้ำหลายคนนิยมไปชมพระอาทิตย์ตกดินก่อน บางที่พักจะมีให้นั่งเรือออกไปชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งจะออกจากที่พักประมาณ 17.00 น. ผู้คนจะได้มี เวลาดื่มด่ำกับช่วงพระอาทิตย์ลับสายตา ซึ่งบางคนที่ดำน้ำไม่เป็นก็มักจะเลือกซื้อแพ็กเกจล่องเรือไปชมเกาะปะการังกันหรือแม้แต่แพ็กเกจพาไปชมฝูงโลมาที่ว่ายน้ำแวะเวียนออกมาทักทาย
กิจกรรมทางน้้ำ
แม้ว่าทางมัลดีฟส์จะขึ้นชื่อเรื่องว่าเป็นปลายทางการพักผ่อนที่สวยงามไม่ว่าจะเป็นนอนพักผ่อนอยู่ในรีสอร์ต นวดบำบัดด้วยสปา และจิบเครื่องดื่มชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน หรือนอนอ่านหนังสือเล่นบนเปลญวนรับสายลมเย็นๆ ก็ตามแต่ แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบกิจกรรมทางน้ำที่ไม่ใช่ดำน้ำก็ไม่ต้องกังวล มัลดีฟส์มีกิจกรรมให้คุณเพิ่มอะดรีนาลีนได้เยอะ
ซึ่งโดยมากที่พักมักจะมีศูนย์กีฬาทางน้ำของตนเอง ถ้าจองแบบแพ็กเกจรวมทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีก็หลายสถานที่ที่เปิดให้บริการ เริ่มต้นเบาๆ อย่างเช่นการพายเรือคายัค ค่อยๆ พายเรือชมต้นไม้ ใบไม้ ท้องทะเลรอบเกาะไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแล้วยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัวอีกด้วย
จะเลือกแบบพายคนเดียวหรือพายคู่สองคนก็ย่อมได้ ที่สำคัญอย่าลืมทาครีมกันแดดและสวมใส่ชูชีพเพื่อความปลอดภัยด้วย ขยับกิจกรรมขึ้นมาอีกนิดกับ Stand-Up Paddle Boarding (SUP) กีฬาทางน้ำที่กำลังเป็นที่นิยม แปลตรงๆ ง่ายๆ คือ แทนที่จะนั่งพายเรือแคนู คุณก็ยืนพายแต่เป็นบนกระดานเซิร์ฟบอร์ดแทน ใช้ไม้พายพายไปเรื่อยๆ พร้อมกับทรงตัวให้อย่บนแผ่นเซิร์ฟ บางจุดของมัลดีฟส์มีผืนน้ำที่นิ่งสามารถทำกิจกรรมแบบนี้ได้ หรือถ้าแอดวานซ์ขึ้นมานิดก็ต้องเซิร์ฟฟิง (Surfing) หรือการเล่นกระดานโต้คลื่น
มัลดีฟส์มีคลื่นม้วนใหญ่ให้นักโต้คลื่นได้ สนุกสนานไปกับม้วนเกลียวคลื่นได้หลายจุดซึ่งจะมีบริษัททัวร์ที่มีชื่อเสียง เปิดให้บริการพาออกไปเล่นตรงจุดเล่นเซิร์ฟที่เหมาะๆ อยู่เหมือนกัน หรือจะเป็นการแล่นเรือใบ, Parasailing สัมผัสท้องฟ้ามัลดีฟส์ ด้วยการห้อยอยู่บนชูชีพแล้วให้เรือใบลากสัมผัสลมเย็นไปก็สนุกไม่น้อย แนะนำว่าค่ำคืนของวันทำกิจกรรม ให้จองที่นั่งดินเนอร์กลางแสงเทียนรับบรรยากาศยามเย็น โรแมนติกมากเชื่อเถอะ
เที่ยวชมเมือง
จากที่ไปลุยกิจกรรมทางน้ำจนเต็มอิ่ม ก่อนกลับเราเปลี่ยนบรรยากาศจากในน้ำมาเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่างๆ ที่เมืองหลวงต้องบอกเลยว่าแม้ที่ตั้งจะมีขนาดเล็ก แต่บ้านเรือนของผู้คนที่นี่มีความเจริญไม่แพ้เมืองหลวงไหนๆ บางคนเลือกเที่ยวในเมืองก่อนออกทะเลด้วยซ้ำไป สำหรับถนนหนทางของมัลดีฟส์เรียกว่า มากู (Magu) ดังนั้นถ้าเห็นชื่อป้ายแล้วลงท้ายด้วย Magu คิดไว้เลย นี่แหละคือชื่อถนน
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เรามาค่อยๆ ไล่เรียงกันไป เริ่มต้นจากศูนย์กลางศาสนาอิสลาม หรือ มัสยิดกลาง (Islamic Centre’s Grand Friday Mosque) ที่นี่เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวมัลดิเวียน อาคารสีขาวที่โดดเด่นเป็นสง่า มีโดมสีทองอยู่ด้านหลัง สังเกตด้านข้างจะเห็นมินาเร็ตหรือหอสูงสำหรับแจ้งเวลาสวดมนต์ สร้างโดยความร่วมมือของสหพันธรัฐแห่งอ่าวเปอร์เซีย ปากีสถาน บรูไนและมาเลเซียภายในตกแต่งด้วยไม้แกะสลัก และลวดลายตัวอักษรอารบิกที่สวยงาม พรมที่ทอด้วยลวดลายพิเศษ รองรับผู้คนได้ถึง 5,000 คน เราสามารถเข้าชมภายในได้ช่วงเวลา 09.00-17.00 น. แต่งกายสุภาพ ชายสวมกางเกงยาว หญิงสวมกางเกง/กระโปรงยาวที่กรอมเท้า พร้อมทั้งมีผ้าปิดส่วนแขนและบ่ามิดชิดด้วย ถือเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติให้เคร่งครัด
ถัดไปอีกประมาณ 400 เมตร เป็นอีกหนึ่งมัสยิดเก่าแก่ที่สุดของประเทศ สร้างตั้งแต่ปี 1656 นั่นคือ มัสยิดฮูคูรุ (Hukuru Miskiiy) หรือมีอีกชื่อที่รู้จักกันดีคือมัสยิด Old Friday ดูแล้วอาจ เป็นมัสยิดที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ภายในมัสยิดมีการนำซากปะการังและไม้มาแกะสลัก ลวดลายตามแบบสถาปัตยกรรมอิสลามประดับประดาอยู่ มัสยิดแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันตกแทนตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครเมกกะ เนื่องจากสร้างบนพื้นที่วัดเก่า ถ้าสังเกตรอบๆ จะเห็นที่ฝังศพสุลต่าน ขุนนางชั้นสูง และบุคคลสำคัญของมัลดีฟส์อยู่ด้วย อีกหนึ่งสถานที่ที่ควรแต่งกายสุภาพเมื่อเข้าชมมีจุดฝังศพที่หลายคนนิยมไปกันคือ เมดูห์ ซียารัท (Medhu Ziyaarath) เป็นที่ฝังศพของอะบู เอล บารากัต (Abu al Barakat Yoosuf Al Barbary) นักปราชญ์โมร็อกโกที่มาเผยแผ่ศาสนาอิสลาม และเปลี่ยนประเทศมัลดีฟส์ให้นับถือศาสนาอิสลาม ในปี ค.ศ. 1153 ที่นี่ไม่อนุญาตเข้าไปข้างในได้ เราทำได้เพียงแค่เดินและมองจากข้างนอกเท่านั้น
ใกล้กันนั้นคือมูลีอาเก (Mulee-Aage หรือ The Male Presidential Palace) อาคารที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมยุคใหม่และสถาปัตยกรรมแบบอิสลามได้อย่างลงตัว อาคารสีฟ้าขาวเดิมเป็นวังเก่าของสุลต่าน Shamsudheen III มาก่อน ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากมัลดีฟส์ล้มเลิกระบบสุลต่าน ที่นี่ก็กลายเป็นที่พำนักของประธานาธิบดี จนกระทั่งที่พำนักแห่งใหม่ สร้างเสร็จที่นี่เลยกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว กึ่งพิพิธภัณฑ์ที่เก็บเอกสารต่างๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของ มัลดีฟส์โดยปริยาย
แต่สำหรับใครต้องการศึกษาเรื่องราวของประวัติศาสตร์มัลดีฟส์ ลองไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติมัลดีฟส์ (National Museum) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมัลดีฟส์เลย เดิมเป็นอาคารส่วนที่เหลือจากพระราชวังมัลดิเวียน แต่ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงจากรัฐให้เป็นที่จัดแสดง ศิลปวัตถุ และโบราณวัตถุที่สำคัญ อาทิ สมบัติและของใช้ส่วนพระองค์ของอดีตสุลต่าน ภาพถ่ายบุคคลสำคัญ และสิ่งต่างๆ ที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวมัลดิเวียน เช่น อาวุธ งาน ปักผ้าฝีมือชาวมัลดิเวียน รวมถึงศิลปะการแกะสลักหินของชาวมุสลิม และโบราณวัตถุซึ่งนักโบราณคดี Thor Heyerdahl รวบรวมมาจากทั่วประเทศ ซึ่งประเมินค่าไม่ได้มากกว่าพันชิ้น ที่นี่ให้เข้าชมทุกวันอาทิตย์-พฤหัสบดี ปิดวันศุกร์ เสาร์ ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. ใครที่ชอบประวัติศาสตร์สากล ก็ไม่ควรพลาด แวะมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
หลังจากที่เดินชมเมือง ฉันก็ได้พบว่า มัลดีฟส์ไม่ได้มีแค่เพียง แสงแดดดี ชายหาดสวย น้ำทะเลใส แต่มัลดีฟส์ยังมีประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมาก และยังมีอีกหลายเกาะหลายจุดดำน้ำที่น่าสนใจให้แวะไปได้อีกเรื่อยๆ