ลุฟท์ฮันซ่า: เชื่อมต่อกรุงเทพฯ สู่มิวนิก ยุโรป และทั่วโลกอีกครั้ง
- บริการเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สู่มิวนิก ทุกวันด้วย เอ350 เครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดในโลก
- ให้บริการรวม 20 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยสายการบินระดับพรีเมียมของกลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ได้แก่ สวิส อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์ ไลน์ สายการบินออสเตรียน แอร์ไลน์ และสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ในช่วงฤดูร้อนปี 2565
- ท่าอากาศยานมิวนิกเป็นท่าอากาศยานระดับ 5 ดาวแห่งแรกของยุโรป
- ซาบรีนา วินเทอร์ กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนยอดนิยม”
สายการบินลุฟท์ฮันซ่า (Lufthansa) ให้บริการเที่ยวบินทุกวันระหว่างกรุงเทพฯ และมิวนิก เมืองหลวงแห่งแคว้นบาวาเรีย ในตารางบินฤดูร้อนของปีนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2565 เที่ยวบินเหล่านี้เป็นบริการที่มาแทนที่เที่ยวบินไปแฟรงค์เฟิร์ตในช่วงฤดูหนาว
ตารางการบินเบื้องต้นของลุฟท์ฮันซ่ามีดังต่อไปนี้
- กรุงเทพฯ – มิวนิก / เที่ยวบิน LH773 / ออกเดินทางเวลา 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ถึงจุดหมายเวลา 05.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น
- มิวนิก – กรุงเทพฯ / เที่ยวบิน LH772 / ออกเดินทางเวลา 22.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น ถึงจุดหมายเวลา 14.10 น. ตามเวลากรุงเทพฯ
เครื่องบินที่นำมาให้บริการเที่ยวบินดังกล่าว คือ แอร์บัส เอ350-900 (Airbus A350-900) เครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดในโลก ซึ้งได้กำหนดมาตรฐานการประหยัดเชื้อเพลิงในระดับสูงและความสะดวกสบายของผู้โดยสาร มีที่นั่งปรับเอนราบ (lie-flat seats) 48 ที่นั่งในชั้นธุรกิจ 21 ที่นั่งในชั้นประหยัดพิเศษ และ 224 ที่นั่งในชั้นประหยัด
อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินระหว่างมิวนิก – กรุงเทพฯ นั้นไม่ได้เป็นเพียงบริการเดียวของกลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่า (Lufthansa Group) ซึ่งเป็นกลุ่มสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในการให้บริการแก่ลูกค้าชาวไทย สายการบินระดับพรีเมียมอื่นๆ ของกลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่าไม่ว่าจะเป็นสวิส อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์ ไลน์ (SWISS) และสายการบินออสเตรียน แอร์ไลน์ (Austrian Airlines) ก็ให้บริการบินเชื่อมต่อจากประเทศไทยสู่ใจกลางยุโรปด้วยเช่นกัน ตามตารางบินฤดูร้อน SWISS จะให้บริการเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ และซูริก 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ขณะที่ Austrian Airlines จะให้บริการเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ และเวียนนา ทุกวัน
“การที่ประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ได้เปิดประเทศอีกครั้ง จะช่วยกระตุ้นความต้องการในการเดินทางสู่จุดหมายปลายทางเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจที่เป็นที่นิยมที่สุดในเอเชียแปซิฟิกอีกครั้ง” ซาบรินา วินเทอร์ หัวหน้าฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่า กล่าว “นับเป็นหนึ่งเหตุผลที่ดีว่าทำไมเราจึงให้บริการเที่ยวบินจากสายการบินระดับพรีเมียมทั้งสามสายการบินของเรามายังกรุงเทพฯ”
เที่ยวบินไปยังแฟรงค์เฟิร์ตอาจกลับมาเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้โดยขึ้นอยู่กับความต้องการที่กำลังเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ซาบรินา วินเทอร์ กล่าวว่า “ผู้คนต่างกระตือรือร้นที่จะกลับมาเดินทางอีกครั้งหลังจากที่ไม่สามารถเดินทางไปไหนได้มาเป็นเวลานาน ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนยุโรป ในขณะที่ยุโรปก็เป็นจุดหมายปลายทางที่คนไทยและผู้ที่พำนักอยู่ในประเทศไทยนิยมเดินทางไปเช่นกัน เรารู้สึกปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนในการเชื่อมต่อกรุงเทพฯ สู่ ยุโรปและทั่วโลกอีกครั้ง”
“เราสามารถให้บริการลูกค้าของเราที่เดินทางมายังมิวนิก ไม่เพียงแต่ความสะดวกสบายของเครื่องบินแอร์บัส เอ350 ที่ล้ำสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเดินทางเข้าถึงท่าอากาศยานระดับ 5 ดาวแห่งแรกของยุโรปได้ตลอดเวลา โดยท่าอากาศยานดังกล่าวได้รับการโหวตให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในยุโรปถึง 14 ครั้ง” สเตฟาน โมลนาร์ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง สายการบินในกลุ่มบริษัทลุฟท์ฮันซ่า กล่าว “ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินกับการเชื่อมต่อที่เหนือระดับจากมิวนิกไปยังทุกหนแห่งในยุโรป รวมถึงที่อื่นๆ ด้วยสุดยอดเครือข่ายการบินของกลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่า”
สุขภาพและความปลอดภัย
ความปลอดภัยของผู้โดยสารและพนักงานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับทุกสายการบินในกลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการนำมาตรการด้านสุขภาพและสุขอนามัยระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมมาใช้ตลอดการเดินทาง
เครื่องบินของกลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่าทุกลำได้รับการติดตั้งตัวกรองอากาศที่ล้ำสมัยและที่มีประสิทธิภาพสูง (High Efficiency Particulate Air: HEPA) ที่ช่วยให้อากาศในห้องโดยสารสะอาดอยู่ตลอดเวลา อากาศที่หมุนเวียนทั้งหมดจะถูกกรองและทำความสะอาดสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น แบคทีเรีย และไวรัส ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของอากาศในห้องโดยสาร โดย 60 เปอร์เซ็นต์จะถูกแทนที่ด้วยอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเครื่องบิน ตัวกรองอากาศ HEPA ยังเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในระบบปรับอากาศสำหรับห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลอีกด้วย
ในทุกๆ 3 นาทีอากาศในห้องโดยสารทั้งหมดนั้นจะได้รับการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นอัตราการระบายอากาศที่สูงกว่าปกติสำหรับภายในและวิธีการขนส่งอื่นๆ นอกจากนี้ การไหลเวียนของอากาศในห้องโดยสารนั้นหมุนเวียนจากด้านบนลงด้านล่าง ซึ่งหมายความว่าระบบปรับอากาศได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการไหลเวียนของอากาศในห้องโดยสารตามแนวยาว
ข้อกำหนดในการสวมหน้ากากเพื่อปิดปากและจมูกตั้งแต่เวลาขึ้นเครื่องจนถึงเวลาลงจากเครื่องบิน ถือเป็นสิ่งสำคัญของมาตรฐานด้านสุขอนามัยของกลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ตลอดจนมาตรฐานการทำความสะอาดเครื่องบินที่เข้มงวดสำหรับทุกเที่ยวบิน การขึ้นเครื่องและการลงจากเครื่องของผู้โดยสารจะดำเนินไปในแบบทยอยสลับกันเพื่อให้แน่ใจว่ามีการเว้นระยะห่างทางสังคม
ทุกขั้นตอนจะได้รับการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องตลอดการเดินทาง เพื่อรับประกันความปลอดภัยสูงสุดสำหรับทุกคน และอยู่บนพื้นฐานของผลการวิจัยล่าสุด รวมถึงมาตรฐานด้านสุขอนามัยโดยผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่าทำงานอย่างใกล้ชิดกับท่าอากาศยานในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่ามีการเว้นระยะห่างทางกายภาพตลอดจนมาตรการด้านสุขอนามัยอื่นๆ กลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่าอยู่ในระหว่างการหารืออย่างต่อเนื่องกับสำนักงานความปลอดภัยการบินแห่งสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency: EASA) ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหภาพยุโรป (European Centre for Disease Prevention and Control: ECDC) และหน่วยงานระดับชาติเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและวางมาตรการต่างๆ ในด้านสุขภาพให้มีความสอดคล้องของมาตรฐานในการขนส่งทางอากาศ