For Castle Lovers (Japan Version)
Story by Editorial Staff
สถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อและถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้คนที่ไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นนึกถึง นั่นคือ ปราสาทต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกจุดทุกภูมิภาคของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปราสาทญี่ปุ่นถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญมากตั้งแต่สมัยอดีตเมื่อเกือบพันกว่าปีก่อน ปราสาทปรากฏตัวครั้งแรกทั่วประเทศญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 15 ในยุคของรัฐสงคราม ขุนศึกสร้างปราสาทไม้เล็กๆ บนยอดเขาเพื่อป้องกันการโจมตีบ่อยครั้งในเวลานั้น หลังจากการรวมกันของญี่ปุ่นภายใต้ Oda Nobunaga ปราสาทเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและสวยงามขึ้น
จากที่เคยเป็นที่พำนักของเจ้าเมือง ซามุไร ปัจจุบันเป็นเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าแวะชม เพราะถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมที่งดงาม ประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และความสวยงามในงานฝีมือของช่างในแต่ละแขนง หากจะนับกันแล้วตามประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมีปราสาทมากกว่า 100 ปราสาท สำหรับคนที่ชื่นชมและชื่นชอบปราสาทอย่างผม บ่อยครั้งที่ได้ไปชมและสัมผัสปราสาทที่ยิ่งเป็นปราสาทโบราณดั้งเดิมแท้ๆ ที่ก้าวผ่านกาลเวลาและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ต่างๆ มาหลายชั่วอายุแล้วยิ่งทำให้การเดินทางในครั้งนั้นๆ น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น ครั้งนี้ผมจึงอยากจะแนะนำปราสาทที่น่าสนใจของประเทศญี่ปุ่นให้ทุกคนได้รู้จักกัน
ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle)
ปราสาทฮิเมะจิ ตั้งอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเซ็มบะ เมืองฮิเมะจิ (Himeji) จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) เป็นหนึ่งในปราสาทที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในปราสาทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO และสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น เมื่อเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1993 ด้วยความโดดเด่นของตัวปราสาทที่มีสีขาว สะอาดและสวยงาม จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปราสาทนกกระยางขาว หรือ ปราสาทนกกระสา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1580 โดยโทโยะโตมิ ฮิเดโยชิ ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1681 อิเคดะ เทรุมาสะ บุตรเขยของโชกุนโทกุงาวะ อิเอยะสุ ได้บูรณะและต่อเติมปราสาทจนมีรูปลักษณ์เช่นในปัจจุบัน และใช้ปราสาทเป็นที่มั่นทางการทหารและศูนย์กลางด้านการบริหารปกครอง นับเป็นการผสมผสานกลยุทธ์การป้องกันเข้ากับความงามทางด้านศิลปะได้อย่างลงตัว และยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศญี่ปุ่น แม้ตัวเมืองฮิเมะจิจะถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ตัวปราสาทกลับไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
จุดเด่นของปราสาทอีกอย่างหนึ่งคือ แนวปราการประกอบด้วยคูน้ำ 3 ชั้น ล้อมรอบกำแพงหินสูงโค้งซึ่งคั่นสลับด้วยประตูและเชิงเทินสังเกตการณ์หลายแห่ง ตามผนังกำแพงและเชิงเทินนั้นมีรูเล็กๆ สำหรับยิงธนู และกระสุนปืนใส่ข้าศึก ทางเดินสู่อาคารหลักสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ประตูและกำแพงต่างๆ ได้รับการออกแบบ มาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย ภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อนที่ประเมินค่ามิได้
ปราสาทโอคายาม่า (Okayama Castle)
ตั้งอยู่ในตัวเมืองโอคายาม่าที่สามารถเดินทางได้สะดวก ปราสาทโอคายาม่านั้น คนญี่ปุ่นเรียกว่า ปราสาทอีกา (Karasu-jo) ซึ่งมาจากผนังภายนอกปราสาทที่ฉาบด้วยสีดำเข้มนั่นเอง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1597 โดย อุคิตะ ฮิเดอิเอะ (Ukita Hideie) ตามคำสั่งของโทโยะโตมิ ฮิเดโยชิ ต่อมาเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวปราสาทได้ถูกทำลายลง จึงได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1960
ตัวปราสาทหลักมีขนาดประมาณ 6 เสา ภายในปราสาทมีการจัดแสดงประวัติความเป็นมาการสร้างปราสาท เอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของนักรบ มีกิจกรรมให้ผู้เข้าชมได้ทำกิจกรรมเช่น การนั่งเกี้ยวที่เป็นพาหนะในอดีต มีชุดกิโมโนให้ใส่และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ด้านล่างมีกิจกรรมการทำเครื่องปั้นดินเผา ให้ได้ทดลองทำด้วยตัวเอง ปราสาทโอคายาม่าได้ปรับปรุงมีการติดตั้งลิฟต์ เครื่องปรับอากาศ ทำให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น จุดที่ห้ามพลาดภายในบริเวณปราสาทคือ ป้อมธนูสึคิมิยากุระ (Tsukimiyagura) และป้อมธนูนิชิโนะมารุ นิชิเทะยากุระ (Nishinomaru-nishiteyagura) เพราะอาคารทั้งสองมีสภาพเหมือนเดิมเมื่อครั้งอดีต
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)
ตั้งอยู่ที่จังหวัดโอซาก้า ถือเป็นหนึ่งในปราสาทที่หลายคนรู้จักและหากใครได้มาโอซาก้าก็ต้องไปแวะเยี่ยมชม สร้างขึ้นโดยโชกุนโทโยะโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) นักรบในประวัติศาสตร์ผู้พยายามรวบรวมประเทศเป็นครั้งแรก ด้วยความช่วยเหลือของไดเมียวจากทั่วประเทศ ใช้แรงงานหลายหมื่นคน จึงใช้เวลาก่อสร้างเสร็จเพียง 3 ปีเท่านั้น ต่อมาปราสาทแห่งนี้ได้ผ่านช่วงสงครามกลางเมืองในปี ค.ศ. 1615 จึงถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ และได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่โดย โทกุงาวะ อิเอยะสุ แต่ต่อมาก็ถูกฟ้าผ่าเสียหายลงอีก
จนมาในปี ค.ศ. 1931 ได้มีการระดมเงินบริจาค จากชาวเมืองโอซาก้า เพื่อบูรณะปราสาทแห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ปราสาทโอซาก้า มีความสูง 55 เมตร แบ่งเป็น 5 ส่วนย่อย มีทั้งหมด 8 ชั้น เครื่องประดับหลังคาและภาพเสือบนกำแพงปราสาทได้มีการลงทองอย่างสวยงาม ภายในตัวปราสาทจัดเป็นนิทรรศการแสดงหลักฐาน ภาพเขียน เครื่องแต่งกายของเหล่านักรบโบราณ รวมถึงยุทโธปกรณ์ในสมัยก่อน บริเวณรอบตัวปราสาท ก็เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้ใบไม้งามสะพรั่งในทุกฤดูกาลยิ่งถ้าคุณมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ คุณจะได้ชมความงดงามของซากุระที่มีเรียงรายรอบปราสาทกว่า 600 ต้นอีกด้วย
ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)
ปราสาทนาโกย่า ตั้งอยู่ที่ เมืองนาโกย่า (Nagoya) จังหวัดไอจิ (Aichi) ถูกสร้างขึ้นตามคำสั่งของโชกุนโทกุงาวะ อิเอยะสุ เพื่อเป็นฐานอำนาจความมั่นคงและป้องกันการโจมตีจากทางเมืองโอซาก้า ตัวปราสาทสร้างจากฐานหินขนาดใหญ่ จุดเด่นของยอดปราสาท คือ โลมาสีทอง ตัวผู้และตัวเมีย หุ้มด้วยทอง 18k หนักตัวละ 44 กิโลกรัม คนญี่ปุ่นเรียกโลมาสีทองนี้ว่า “คินซาชิ” หรือ “ซาชิโฮโกะ” เชื่อว่าเป็นเครื่องคุ้มครองปราสาท และชาวเมือง
ปราสาทสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1612 และให้ โทกุงาวะ โยชินาโอะ บุตรชายคนที่เก้าปกครองปราสาทแห่งนี้ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองนาโกย่า ถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก ทำให้ปราสาทถูกทำลายเสียหายเป็นอย่างมาก และได้บูรณะใหม่ในปี ค.ศ. 1959 โดยพยายามคงรูปลักษณ์เดิมไว้ให้มากที่สุด ภายในถูกปรับเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงข้าวของเครื่องใช้ ยุทโธปกรณ์ของเหล่าซามุไรในสมัยโบราณ ภายนอกมีสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่น ทั้งต้นซากุระที่จะเบ่งบานดอกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปัจจุบันปราสาทอยู่ระหว่างซ่อมแซม แต่ยังเข้าชมได้ และสามารถดูระบบการซ่อมบำรุงได้ด้วย
ปราสาทมัตสุเอะ (Matsue Castle)
ปราสาทมัตสุเอะ ตั้งอยู่ที่เมืองมัตสุเอะ (Matsue) จังหวัดชิมาเนะ (Shimane) เนื่องจากตัวกำแพงและหลังคาที่เน้นสีโทนดำขรึมและสง่างาม ทำให้ที่นี่เป็นที่รู้จักในนามของ ปราสาทดำ นอกจากนั้นภาพด้านหน้าดูละม้ายคล้ายกับนกขนาดเล็กที่ชื่อว่า จิโดริ สยายปีก คนญี่ปุ่นจึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ปราสาทจิโดริ” นั่นเอง ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าในปี 1950 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติในวันที่ 8 กรกฎาคม 2015
ปราสาทนี้สร้างโดย โฮริโอะ โยชิฮารุ (Horio Yoshiharu) ผู้ครองแคว้นมัตสึเอะในสมัยเอโดะ ในปี 1611 ตัวปราสาทมัตสึเอะมีทั้งหมด 6 ชั้น พอมาประมาณปี ค.ศ. 1638 ที่ดินศักดินาและปราสาทได้ถูกกำหนดให้เป็นของตระกูลมัตสึไดระ (Matsudaira clan) ญาติของโทกุงาวะ (Tokugawa) ไม่ได้มีเฉพาะแค่ตัวปราสาท เพราะยังคงมีหอคอยปราสาทรอดพ้นมาจากสงคราม อัคคีภัย แผ่นดินไหว และเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงยุคศักดินาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1868 ที่อยู่คู่มากับปราสาท โดยหอคอยปราสาทได้ถูกปรับปรุงใหม่ในปี 1950 มีการรวบรวมเงินทุนที่จะสร้างประตูโอเตะม่อน (Otemon Gate) ซึ่งจะทำให้ผังเมืองของปราสาทสวยงามขึ้นกว่าเดิมมากๆ นอกจากที่จะเที่ยวชมทั้งปราสาทและหอคอยแล้วภายในมีงานศิลปะโบราณของญี่ปุ่นมากมายให้เข้าชม บริเวณรอบๆ ตัวปราสาท เป็นที่ตั้งบ้านพักของแล็ฟคาดิโอ เฮิร์น (Lafcadio Hearn’s Residence) และหมู่บ้านซามุไร (Matsue Former Samurai District) ที่สามารถเข้าชมได้อีกต่างหาก
ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle)
ปราสาทมัตสึโมโตะ อยู่ที่เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) จังหวัดนางาโนะ (Nagano) เป็นปราสาทที่ยังมีสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดมีอายุยาวนานเป็นอันดับ 2 ของประเทศ อาคารของปราสาทสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนปราสาทอื่นๆ ตรงที่ผนังของปราสาทมีสีดำและมีอาคาร 3 ชั้น ที่ตั้งอยู่ทั้งสองด้านของตัวปราสาทคล้ายเป็นส่วนปีก ทำให้ถูกเรียกว่า ปราสาทฟุกาชิ (Fukashi Castle) หรือปราสาทอีกา (Crow Castle) นอกจากนั้นยังเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นบนที่ราบต่างจากปราสาทอื่นๆ ของญี่ปุ่นที่มักจะสร้างบนที่สูงอย่างเนินเขา ทำให้เราสามารถเก็บภาพสะพานสีแดงคู่กับตัวปราสาทได้อย่างสวยงาม
ปราสาทสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1593 โดยขุนนางในตระกูลอิชิกาว่า เพื่อใช้เป็นสถานที่หลบภัยและวางแผนการสู้รบ โดยมีกำแพงสูงใหญ่และคูน้ำล้อมรอบปราสาทต่อมาป้อมปราสาทได้ถูกกองทัพทาเคดะยึดครองไปได้ และตกเป็นของโทกุงาวะ อิเอยะสุ ภายในปราสาทแบ่งออกเป็น 6 ชั้น จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องยุทโธปกรณ์ในสมัยก่อน เมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ จะยิ่งงามเด่นท่ามกลางดอกซากุระบานเบ่งไปทั่วบริเวณตัวปราสาท
ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle)
จัดว่าเป็นหนึ่งในสามปราสาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น แต่ของจริงถูกเผาทำลายไปช่วงสงครามกลางเมือง และเพราะความสวยงามจึงได้มีการสร้างจำลองขึ้นให้เราได้เห็นกันทุกวันนี้ ปราสาทสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1607 เป็นปราสาทที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ช่วงก่อสร้างมีการปลูกต้นแปะก๊วย เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้อยู่อาศัยในปราสาทจะมีอาหารรับประทานหากมีการรบเกิดขึ้น จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า จินแนน-โจ หรือปราสาทแห่งต้นจินโกะ หรือแปะก๊วย
ประกอบด้วย 2 หอคอยสูง ทำให้สามารถมองได้รอบทิศจากมุมสูง หอใหญ่จะสูง 30 เมตร (ประมาณตึก 10 ชั้น) หอเล็กสูง 19 เมตร ปราสาทเดิมถูกทำลายด้วยไฟ ในปี ค.ศ. 1877 และสร้างใหม่ในปี ค.ศ. 1960 ปราสาทนี้โดดเด่นด้วยกลยุทธ์ทางสถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างตามแนวกว้าง ความสวยงามเกิดจากเส้นโค้งของฐานปราสาทซึ่งเป็นหินโค้งสวยไล่ระดับ และทำให้ศัตรูยากที่จะเข้าถึงหรือโจมตีได้