Fresh Fun Feel Good with JR Hokuriku Arch Pass
Story & Photo by Orawan
ภาพท้องทุ่งนากว้างใหญ่สีเขียวปนกับสีเหลืองของรวงข้าวที่รอเก็บเกี่ยว ตัดกับท้องฟ้าสีครามโดยมีท้องทะเลแทรกตัวระหว่างกลางเป็นระยะๆ คือวิวที่คุ้นตาสำหรับเส้นทางที่วิ่งตรงจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซสู่เมืองฟุคุอิ (Fukui) การเดินทางครั้งนี้ ฉันใช้บัตร JR Hokuriku Arch Pass ที่เชื่อมต่อภูมิภาคคันไซ จากเมืองท่องเที่ยวอย่างโอซาก้า ผ่านเส้นทางแถบโฮคุริคุสู่ภูมิภาคคันโต อย่างเมืองหลวงกรุงโตเกียว ราคาบัตรแม้จะสูงสักนิด แต่ถ้าเทียบกับความคุ้มค่าในระหว่างเส้นทางการเดินทางและจำนวนวันที่สามารถใช้ได้ 7 วันก็ถือว่าเป็นบัตรที่โอเคเลยทีเดียว
ฉันลงเครื่องที่สนามบินนานาชาติคันไซ นั่งรถไฟชินคังเซ้น ขบวน Haruka ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีก็มาอยู่ที่ใจกลางเมืองที่สถานที่ชินโอซาก้า (Shin – Osaka) แล้ว สำหรับคนที่ยังไม่เคยเที่ยวโอซาก้าสามารถแวะพักผ่อน และท่องเที่ยวในแถบโอซาก้าและเกียวโตได้ แต่สำหรับฉันจุดหมายปลายทางแรกของฉันในการเดินทางครั้งนี้เป็นจังหวัดฟุคุอิ
ก่อนหน้านั้นช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ภาพของหิมะที่ปูเต็มพื้นที่จนทำให้รอบข้างของคุณกลายเป็นดินแดนสีขาว (White Land) คือภาพของฟุคุอิในความทรงจำ แต่มาครั้งนี้เดือนกันยายน รอบข้างเป็นความสดใสสีสันแห่งฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ภาพใบไม้สีเขียวขจีของหน้าร้อน เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม แดงของฤดูใบไม้ร่วงกระจายเต็มพื้นที่ไปหมด อากาศรอบตัวก็ไม่ได้หนาวจนต้องกระชับเสื้อคลุมแต่สามารถเดินชิลไปพร้อมสายลมและแสงแดดได้อย่างสบาย
ออนเซ็น ความผ่อนคลายสไตล์ญี่ปุ่น
ฉันผ่านกลุ่ม (รูปปั้น) ไดโนเสาร์ของสถานีฟุคุอิ ต่อไปยังสถานีอะวะระออนเซ็น (Awaraonsen Station) พอพูดว่าออนเซ็น ภาพความสบายยามได้แช่น้ำพุร้อนสไตล์ญี่ปุ่น ที่เรียกว่าออนเซ็นก็ผุดขึ้นมาทันที สำหรับที่อะวะระ (Awara) แห่งนี้เป็นอีกเมืองที่มีความโดดเด่นในเรื่องของบ่อน้ำพุร้อน ที่พักของฉันสุดแสนสบายเพราะนอกจากจะมีสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุ่นที่สวยงาม ออนเซ็นบริการแบบสาธารณะแล้วยังมีห้องพักที่มีออนเซ็นเป็นส่วนตัวพร้อมวิวสุดพิเศษอีกด้วย รู้สึกได้เลยว่าความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางที่ยาวนานหายไปราวกับพริบตายามไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อนของเมืองอะวะระแห่งนี้
ที่พักของฉันสุดแสนสบายเพราะนอกจากจะมีสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุ่นที่สวยงาม ออนเซ็นบริการแบบสาธารณะแล้วยังมีห้องพักที่มีออนเซ็นเป็นส่วนตัวพร้อมวิวสุดพิเศษอีกด้วย รู้สึกได้เลยว่าความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางที่ยาวนานหายไปราวกับพริบตายามไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อนของเมืองอะวะระแห่งนี้
โทจินโบ ความสวยงามและความตาย
หน้าผาโทจินโบ (Tojinbo) ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติเอจิเซ็นคางะ (Echizen-Kaga Quasi-National) จากสถานีฟุคุอิ สามารถนั่งรถไฟสาย Echizen Mikuni Awara ไปที่สถานี Mikuni และนั่งรถบัส Keifuku ต่ออีก 10 นาที หน้าผาหินภูเขาไฟริมท้องทะเลเช่นนี้ มีเพียง 3 ที่เท่านั้นในโลกใบนี้และมีเพียงแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่น ผาหินแอนดีไซต์ที่มีส่วนผสมของแร่ไพรอกซีนแห่งนี้มีความสูงกว่า 25 เมตร และความยาวเกือบ 1 กิโลเมตรเลยทีเดียว อาจจะเพราะทางเดินไปตามผาหินค่อนข้างจะชันและลมทะเลที่ค่อนข้างพัดแรง ทำให้ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่คนนิยมมาฆ่าตัวตายกัน
ฟังดูแล้วช่างน่าหดหู่และรู้สึกต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินมากขึ้นแต่สิ่งที่มาควบคู่กันคือความสวยงามที่เกิดจากการรังสรรค์ของธรรมชาติ ยามมองลงไปเห็นถึงสายคลื่นของท้องทะเลอันเกรี้ยวกราดที่กำลังกระหน่ำซัดเข้ากับผาหินภูเขาไฟดูแล้วทั้งสวยงาม น่าเกรงขามและน่ากลัวไปในคราเดียวกัน
O-edo+ความงดงามของซูซิ
จะเรียกที่นี่ว่าคาเฟ่ก็ไม่ใช่ ร้านอาหารก็ไม่เชิง แต่สำหรับความน่ารักของร้านนั้นมีความกิ๊บเก๋ให้คะแนนคูณสองเข้าไปเลยก็ว่าได้ ร้านสีขาวขนาดย่อมตั้งอยู่ท่ามกลางต้นสนสูงตระหง่าน ภายในตกแต่งสไตล์มินิมอลโทนสีสว่าง ตัดกับสีเข้มของเก้าอี้สีใกล้เคียงกับไม้ด้านนอก เมนูของร้านนอกจากเครื่องดื่มต่างๆ ที่โดดเด่นคงหนีไม่พ้น ซูซิหน้าต่างๆที่แต่งมาอย่างสวยงาม ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะทานคู่กับอะไร นอกจากนี้ภายในร้านยังมีสินค้าแฮนด์เมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ จัดจำหน่ายอีกด้วย
ประสบการณ์งานประณีตศิลป์ที่ Urushi no sato
เครื่องเขินญี่ปุ่นหรืออุรุชิ (Urushi) ที่เรามักจะคุ้นตาผ่านภาชนะสำหรับใส่อาหาร แต่งานอุรุชชินั้นนอกจากเป็นแบบอุปกรณ์เครื่องใช้ อย่างเช่น จาน ชาม แล้วยังมีแบบที่เป็นอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เช่น กระจก หรือภาพติดผนัง ก็มีเช่นกัน โดยอุรุชินี้ถูกเรียกตามต้นไม้ที่ให้น้ำเลี้ยงมาใช้เป็นแลกเกอร์ในการเคลือบงานหัตถกรรมที่ได้จากไม้ กระดาษหรือไม้ไผ่
สำหรับที่จังหวัดฟุคุอิมีพิพิธภัณฑ์อุรุชิ ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์มีการรจัดแสดงงานอุรุชิ สวยๆ หลายชิ้น สำหรับใครที่อยากทดลองทดลองวาดลวดลายบนอุรุชิเป็นของตัวเองทางพิพิธภัณฑ์ก็มีกิจกรรมให้ทำเช่นกัน
พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์แห่งจังหวัดฟุคุอิ สวรรค์ของคนรักไดโนเสาร์
ฉันยกให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่ได้มาถือว่ามาไม่ถึงฟุคุอิก็ว่าได้ กับพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์แห่งจังหวัดฟุคุอิ (Fukui Prefectural Dinosaur Museum) พิพิธภัณฑ์ที่เป็นศูนย์กลางการค้นคว้าเกี่ยวกับไดโนเสาร์ของประเทศญี่ปุ่น ภายในอาคารทรงโดมสีเงินของพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็นชั้นๆ จำนวน 4 ชั้น โดยมีลิฟท์ตัวยาวกลางอาคาร ส่งนักท่องเที่ยวจากชั้นบนสุดสู่ด้านล่างท่ามกลาง (หุ่นรูป) ไดโนเสาร์หลากหลายชนิดทั้งที่พบในจังหวัดฟุคุอิเอง ประเทศญี่ปุ่นและในแถบเอเชียรวมถึงในประเทศไทยของเราก็มีการจัดแสดงเช่นกัน
แม้บางชิ้นจะไม่ได้เป็นกระดูกจริง แต่การสร้างบรรยากาศโดยรอบ โดยเฉพาะหุ่นไดโนเสาร์ที่ขยับไปมาไม่เพียงแต่ช่วงคอ ลำตัว หางเท่านั้น เราจะเห็นทรวงอกที่ขยับไปมาราวกับมันกำลังหายใจ ทำให้อดสะดุ้งไม่ได้ยามเหล่าไดโนเสาร์เหล่านี้ส่งเสียงคำราม บอกเลยว่าเหมือนจริงสุดๆ
สำหรับค่าเข้าชมผู้ใหญ่ราคา 720 เยน แต่ถ้าคุณแสดงบัตร JR Hokuriku Arch Pass จะลดเหลือ 620 เยน
หลากกิจกรรมที่คะงะ
เมืองคะงะ (Kaga) อยู่ในจังหวัดจังหวัดอิชิคะวะ (Ishikawa) ซึ่งมีเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างคานาซาวะ (Kanasawa) ตั้งอยู่ สำหรับคนที่ชื่นชอบความเป็นเมืองเก่าและสวนสวย แนะนำให้เที่ยวภายในตัวเมืองคานาซาวะอย่างสวนเคนโระคุเอ็น (kenrokuen garden) หนึ่งในสามสวนสวยที่งดงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น หรือปราสาทคานาซาวะ หรือ ไม่ชิมอาหารทะเลสดๆที่ ตลาดโอมิโช แต่สำหรับคนที่รักกิจกรรมแล้วแนะนำให้นั่งรถไฟไปที่สถานีคะงะ ออนเซ็น (Kaga Onsen) แล้วนั่งรถวนรอบเมืองที่ชื่อว่า CANBUS ไปแวะเที่ยวที่ ยุโนะคุนิ โนะ โมะริ (Yunokuni no Mori) คุณก็ต้องร้องว้าวเป็นอย่างแน่นอน
เพราะที่นี่นอกจากจะเป็นหมู่บ้านหัตถกรรมตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่กว้างขวางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แล้ว ในแต่ละหมู่อาคารบ้านเก่าแก่สไตล์หลังมุงจากก็เต็มไปด้วยกิจกรรมมากมายให้ผู้รักกิจกรรมงานฝีมือได้ทดลองประดิษฐ์ชิ้นงานกันมากถึง 15 กิจกรรม 50 กว่าชนิด
ไม่ว่าจะเป็นให้ทดลองทำภาชนะจากดินเหนียวบนแป้นหมุนที่เรียกว่า คุทะนิยะกิ (Kutani-yaki) การเป่าแก้วร้อนให้เป็นเครื่องแก้วสวยกับเครื่องแก้ว (Galrasu Kogei) เป็นต้น ที่นี่มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยให้คุณสามารถเลือกประดิษฐผลงานออกมาได้ราวกับมืออาชีพทีเดียว
จากนั้นไปเก็บและทานผลไม้สดๆ จากต้นที่สวนผลไม้คะงะ (Kaga Fruit Land) ที่นี่เป็นสวนผลไม้ที่เปิดให้บริการเก็บผลไม้กินได้จากต้นแบบบุฟเฟ่ห์ตามฤดูกาลตลอดทั้งปีมีทั้งองุ่น แอปเปิ้ล เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่และสตรอว์เบอร์รี ไม่ว่าคุณจะมาเดือนไหนไม่ต้องกังวลว่าไม่มีมีผลไม้ทาน อย่างช่วงฤดูหนาว ก็จะมีสตรอว์เบอร์รี่ที่คนไทยนิยมกัน
หรืออย่างเช่นช่วงที่ฉันไปเป็นช่วงขององุ่น ราคาต่อคนเริ่มต้นเพียงคนละ 1,300 เยน แต่เราสามารถเก็บองุ่นได้ทานแบบไม่จำกัดเวลากันเลย นอกจากนี้ ที่นี่ยังเปิดให้บริการที่พัก ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายของที่ระลึก เรียกว่าได้ จบครบทุกกิจกรรมกันเลย เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของทุกเพศวัยเลยทีเดียว
ความสงบอยู่ใกล้คุณแค่เอื้อม
เราสามารถโดยสารรถ CANBUS เพื่อไปชมความสวยงามและสงบของ วัดนาทะเดระ (Natadera Temple) ได้ ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ยอดนิยมแห่งหนึ่ง นอกจากนั้นยังประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานถึง 1,300 ปี
ลองคิดดูว่าต้องมีความชุ่มชื่นมากมายแห่งไหนที่จะทำให้มอสสีเขียวกระจายทั่วทั้งพื้นที่ได้มากมายเท่านี้
ว่ากันว่าหากได้เดินไปตามไทไนคุงุริ (Tainai Kuguri) ซึ่งเป็นทางเดินในซอกระหว่างอาคารหลักของวัดกับเขาหินก็จะสามารถ ชำระล้างบาปต่างๆ ออกได้หมด
ซึ่งการเดินทางไปตามเส้นทางธรรมชาติเช่นนี้ในเมืองคะงะเองมีอีกหนึ่งจุดที่อยากแนะนำบริเวณ หุบเขาคาคุเซนเค (Kakusenkei Gorge) ที่เกิดจากแม่น้ำไดโชจิ (Daishoji River) บริเวณนี้มีเส้นทางเดินตามแนวช่องเขาเป็นระยะทางประมาณ 1.3 กิโลเมตร ที่รายล้อมไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และเขียวชอุ่ม
เป็นอีกจุดที่เหมาะสำหรับต้องการหลีกหนีไกลจากความวุ่นวายไปได้ นอกจากนี้ที่หุบเขาแห่งนี้ยังมีสะพานที่สวยงามอย่างสะพานอายะโทริ (Ayatori Bridge) สีแดงสะดุดตา คดเคี้ยวเป็นรูปตัวเอส หรือสะพานไม้สนฮิโนกิ หรือไซเปรส (Cypress) ที่ชื่อโคะโอะโระงิ (Koorogi Bridge) ถ้ามาในช่วงหน้าร้อนคุณจะสามารถนั่งจิบชาชมธรรมชาติริมธารน้ำได้อีกด้วย
โฮมสเตย์ท่ามกลางขุนเขาและถนนสายวัฒนธรรม
บ้านที่มีโครงสร้างที่เรียกว่ากัสโชสึคุริ (Gassho-Zukuri) กับการออกแบบหลังคาให้มีความชันถึง 60 องศา จนมีลักษณะที่ดูคล้ายการพนมมือกว่า 20 หลังเรียงรายอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาเป็นภาพคุณจะได้เห็นเมื่อเดินทางมาที่หมู่บ้านอาอิโนคุระ (Ainokura Village) ของจังหวัดโทยะมะ (Toyama) แห่งนี้
บ้านบางหลังปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงอุปกรณ์การทำงาน ภาพถ่ายของหมู่บ้านในช่วงเวลาต่างๆ ที่ในอดีตและปัจจุบัน
มีที่พักสไตล์ญี่ปุ่น หรือศูนย์การเรียนรู้ เช่นการทำโกคายามะวาชิ (Gokayama Washi) กระดาษวาชิที่เปิดให้เราสามารถทดลองทำได้ด้วยตนเอง ใช้เวลาไม่นาน ก็ได้ของที่ระลึกฝีมือตนเองกลับไปเป็นที่ประทับใจไม่ใช่น้อย
จากขุนเขาเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเดินไปตามถนนโยะคะมาจิ (Yokamachi dori) ซึ่งเป็นเส้นทางปูหินราดยาว
ที่สองข้างทางมีโรงแกะสลักไม้เรียงรายตลอดเส้นทางสู่ประตูวัดซุยเซ็นจิ (Zuisenji) ที่เก่าแก่กว่า 600 ปี ความสวยงามของถนนเส้นนี้อยู่ที่งานแกะสลักไม้ที่ขึ้นชื่อระดับประเทศที่ประดับอยู่ตามจุดต่างๆ ของถนน เช่น ป้ายรถเมล์ ตู้โทรศัพท์ เป็นต้น เดินไปคุณก็จะได้ยินเสียงแกะสลักไม้ต๊อกๆ ประกอบไประหว่างที่เดินอยู่ เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างแปลกประหลาด
ย้อนวัยไปกับหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคตที่ครองใจคนทั้งโลก
คงไม่มีใครไม่รู้จักแมวสีฟ้าที่ชื่อโดราเอมอนเป็นแน่แท้ เห็นได้จากผู้ร่วมเดินทางจากนานาประเทศของฉันที่มีความสนุกสนานกับการได้ถ่ายรูปกับ ตู้ไปรษณีย์รูปโดราเอมอน (Doraemon Bronze Post Box) ที่ห้องรอรถไฟบริเวณสถานีรถไฟทะกะโอกะ (Takaoka) จังหวัดโทยามะ (Toyama) เป็นบ้านเกิดของอาจารย์ ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ (Fujiko F. Fujio) ผู้เขียนโดราเอมอน
ตู้ไปรษณีย์นี้มีความพิเศษคือ ถ้าส่งโปสการ์ดจากตู้นี้คุณจะได้รับตราประทับที่ระลึกเป็นลายโดราเอมอนด้วย เหมาะแก่การส่งให้กับตัวเองไว้เป็นที่ระลึกของการเดินทาง ถ้าจังหวะดีๆ คุณจะได้เห็นรถรางโดราเอมอน (The Doraemon Tram) วิ่งเข้ามารถรางคันนี้มีดีไซน์เป็นลวดลายตัวการ์ตูนโดราเอมอนทั้งด้านในและด้านนอกน่ารักมาก
รถรางนี้จะพาไปคุณไปตามจุดต่างๆ ที่สามารถเดินต่อไปยังสถานที่ที่มีตัวการ์ตูนเรื่องโดรามอนอยู่
เช่น สวนทะกะโอกะ โอโทกิโนะโมริ (Takaoka Otogi no mori koen) ที่มีคุณสามารถถ่ายรูปกับตัวละครหลักทุกตัวของการ์ตูนเรื่องนี้ได้และที่สวนนี้มีนาฬิกาแดดที่มีภาพวาดอุปกรณ์วิเศษต่างๆเป็นส่วนประกอบ การได้มาเมืองนี้รู้สึกเหมือนกันว่า เรากับย้อนไปสู่วัยเด็ก รู้สึกกระชุ่มกระชวยเสียจริง
เทคโนโลยีและวัฒนธรรม
โตเกียวเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ปลายทางแรกของผู้ที่จะเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้คุณร้องว้าวได้ตลอดเวลา
ว้าวแรกของฉันยกให้กับโรงแรม Henn na Hotel Tokyo Akasaka โรงแรมที่มีพนักงานต้อนรับเป็นหุ่นยนต์เก๋ไก๋ที่คอยรับการเช็คอินให้กับคุณ และช่วงระหว่างรอ คุณก็สามารถหันไปชมปลาหุ่นยนต์ในตู้ไปพลางๆ ได้
ว้าวต่อมา ยกให้กับ โมริ บิลดิ้ง ดิจิทัล อาร์ท มิวเซียม: ทีมแล็บ บอร์เดอร์เลส (MORI Building DIGITAL ART MUSEUM: teamLab Borderless) ที่เมืองโอไดบะ (Odaiba) เป็นพิพิธภัณฑ์แนวศิลปะแบบดิจิทัลที่มีงานศิลปะกว่า 40 ชิ้นที่ควบคุมและรังสรรค์ด้วยคอมพิเวเตอร์กว่า 520 เครื่องและโปรเจคเตอร์ 470 เครื่อง
งานแต่ละชิ้นงานถูกแบ่งเป็นห้องส่วนต่างๆ ภายใต้แนวคิด “โลกห้าใบ” แต่ละใบมีความแตกต่างกันและเป็นเอกลักษณ์
ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่มีการกำหนดเส้นทางการเดินชม ที่กลมกลืนกันไปและเชื่อมโยงให้เราเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะ
และอีกว้าวยกให้กับบรรยากาศแห่งความก้าวล้ำของเทคโนโลยีท่ามกลางตึกสูงของย่านเมืองอิเล็กทรอนิกส์อากิฮาบาระ (Akihabara) เอาแค่คุณเดินเข้าไปที่ห้าง โยโดบาชิ (Yodobashi Camera) สาขาอากิฮาบาระ
คุณต้องมึนงงเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าอันไหนดี เพราะมีมากมายมากๆ นอกจากนี้ย่านนี้ถือได้ว่าเป็นย่านสวรรค์ของเหล่าโอตาคุ เพราะคุณจะเห็นสินค้าเกี่ยวการ์ตูนอะนิเมะ (anime), มังงะ (manga), วิดีโอเกมส์, เกมส์ไพ่ และชุดของสะสมหายากเต็มไปหมด มีคาเฟ่น่ารักเก๋ไก๋ คาวาอี้ (Kawaii) แบบที่ชาวญี่ปุ่นชอบพูดแทรกตัวให้คุณได้พักขาก่อนจับจ่ายใช้สอยต่อเต็มไปหมด ไม่ร้องว้าว ก็ไม่รู้ว่าไง
ในขณะเดียวกันคนที่เป็นที่สายช้อปและสายกินก็ต้องร้องว้าว (อีกครั้ง) ไปกับถนนนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ที่ยาวกว่า 250 เมตรสู่ตัววัดเซนโซจิ (Sensoji Temple)ที่มีหลายๆ ชื่อที่คนนิยมเรียกขานกันทั้งวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ
วัดนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยน่าจะรู้จักกันดี หากจะแนะนำฉันอยากให้ลองขึ้นไปด้านบนอาคารประชาสัมพันธ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดดู คุณจะได้วิวมุมสูงของตัววัดและบริเวณโดยรอบ
หรือเดินไปทดสอบฝีมือแกะสลักแก้วหรือเอโดะ คิริโคะ (Edo kiriko) เป็นลวดลายที่ใกล้กับร้านใกล้กับแม่น้ำสุมิดะ (Sumida) เป็นอีกหนึ่งของที่ระลึกฝีมือตัวเองก่อนกลับบ้านจากท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะกัน
จะเห็นได้ว่าตลอดเส้นทางที่พาส Hokuriku Arch Pass พาไปนั้นจะทำให้คุณพบกับโลกแห่งความสดชื่น ความสนุกสนานตลอดเส้นทางนี้ เดินทางครั้งต่อไปมาสัมผัสความรู้สึกดีๆ ผ่านบัตรพาสนี้ในการเดินทางกัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แถบโฮคุริคุ (Hokuriku) คือ 3 จังหวัดบริเวณฝั่งตะวันตกของเกาะ Honshu ได้แก่ จังหวัดฟุคุอิ ( Fukui) จังหวัดอิชิคาวะ (Ishikawa) และจังหวัดโทยะมะ (Toyama)
เว็บไซด์จังหวัดฟุคุอิ http://www.fuku-e.com
เว็บไซด์จังหวัดอิชิคาวะ https://www.hot-ishikawa.jp/
เว็บไซด์จังหวัดโทยะมะ http://foreign.info-toyama.com
เว็บไซด์จังหวัดโตเกียว https://www.gotokyo.org
Hokuriku Arch Pass เกิดจากการร่วมมือกันของ 2 บริษัทรถไฟ คือ JR West และ JR East ใช้ขึ้นรถไฟ JR ได้ไม่จำกัดระหว่าง Tokyo และ Osaka ผ่านเส้นทาง Hokuriku Shinkansen ซึ่งรวมถึงรถไฟที่วิ่งภายในโตเกียว-โอซาก้า และยังรวมถึงรถไฟที่ใช้เดินทางจากสนามบินนาริตะ, ฮาเนดะ, คันไซ เข้าสู่ตัวเมืองอีกด้วยภายในพื้นที่ที่กำหนดไว้ ซึ่งเส้นทางนี้จะไม่รวม Tokaido/Sanyo Shinkansen โดยสามารถทำการจองที่นั่งล่วงหน้าได้ทุกขบวน ยกเว้น Haruka limited express ซึ่งวิ่งจากสนามบินคันไซ ที่สามารถขึ้นได้เฉพาะที่นั่งแบบ Non-reserved เท่านั้น เป็นตั๋วที่ต้องใช้ต่อเนื่องภายใน 7 วันติดต่อกัน ราคาผู้ใหญ่ ซื้อในไทยอยู่ที่ 24,000 เยน เด็ก 12,000 เยน
ขอบพระคุณผู้สนับสนุนการเดินทาง
– Supported by GCP หรือ Grand Circle Project ประกอบด้วยไปด้วย Tokyo, Saitama, Gunma, Niigata, Nagatno, Gifu, Toyama, Ishikawa and Fukui
– เว็บไซด์ http://hokuriku-arch-pass.com/Explore_Japan/
– ในส่วนของโตเกียวสนับสนุนโดย TCVB The HP of TCVB https://www.tcvb.or.jp/en/