Gozo…The sister island of Malta
Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
มอลตา (Malta) ประเทศเล็กๆ ในยุโรปที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ใคร่รู้จัก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีลักษณะเป็นเกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ประกอบไปด้วย 3 เกาะเล็กๆ ได้แก่ เกาะมอลตา (Malta island) เกาะโกโซ (Gozo island) และเกาะโคมิโน (Comino island)
นับเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งหนึ่งในยุโรปหากย้อนไปเมื่อ 3,600 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยหลักฐานของสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมายที่หลงเหลืออยู่ อีกทั้งยังมีอากาศดีตลอดปีไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน จนได้ชื่อว่า “เป็นประเทศที่อากาศดีที่สุดในโลก” และกลายเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวและพักผ่อนของผู้คนจากทั่วโลก
หลังจากสำรวจเกาะหลักที่ชื่อว่า เกาะมอลตา จนเกือบทั่วแล้ว ฉันและเพื่อนๆ ก็อยากออกไปสำรวจเกาะน้องน้อยของมอลตากันบ้าง นั่นก็คือเกาะโกโซ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะมอลตา โดยไปขึ้นเรือข้ามฟากที่ท่าเรือ Cirkewwa Ferry Terminal กันตั้งแต่เช้า เรือข้ามฟากไปเกาะโกโซจะมีทุกๆ 45 นาที และสามารถเอารถข้ามฟากไปด้วยก็ได้ (สำหรับคนที่อยากเช่ารถขับเที่ยวเอง)
เรือเฟอร์รีลำใหญ่ค่อยๆ พาพวกเราเคลื่อนตัวผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีน้ำเงินเข้ม ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็มาถึงเกาะโกโซที่มีเรือจอดเรียงรายตัดกับบ้านเรือนริมหน้าผา เป็นภาพการต้อนรับสู่เกาะแห่งประวัติศาสตร์ที่น่าประทับใจ
การเดินทางบนเกาะโกโซสามารถทำได้หลายรูปแบบ บ้างใช้บริการของบริษัททัวร์ซึ่งสะดวกสบายแต่อาจจะขาดอรรถรสและพลาดโอกาสในการได้เห็นเกาะโกโซในมุมที่แตกต่าง บางคนอาจจะเลือกใช้บริการรถ Hop on Hop off ที่พาตระเวนวนไปเที่ยวรอบๆ เกาะ
คนที่มีเวลาเยอะหน่อยและอยากมาใช้เวลาพักผ่อนหลีกหนีความวุ่นวาย ก็อาจจะมาพักค้างคืนที่นี่ สำหรับคนที่รักความท้าทาย ก็มีกิจกรรมสำรวจเกาะแบบแอดเวนเจอร์ให้เลือกมากมายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยาน เช่ามอเตอร์ไซค์ เช่ารถ Jeep หรือรถ Quad พวกเราเป็นเหล่านักผจญภัยกระเป๋าเบา เลยขอเลือกสำรวจที่นี่ด้วยการเช่าจักรยานเสือภูเขาลุยเที่ยวรอบเกาะ
ยอมรับเลยว่า พวกเราไม่ได้ฟิตร่างกายมาอย่างเต็มที่ เพียงแค่ปั่นสองล้อออกมาจากท่าเรือเจอเนินเขาแรกก็พากันเหนื่อยหอบแล้ว แต่วิวสองข้างทางหลังจากนั้นก็ชวนให้เพลิดเพลินและพร้อมออกแรงขาค่อยๆ ปั่นไปข้างหน้า
ภูมิทัศน์บนเกาะอาจจะดูแห้งแล้งไปบ้าง บางช่วงเป็นลานดินกว้างๆ ที่มีบ้านเรือนและโบสถ์เก่าแก่เป็นฉากหลัง สลับกับทิวทัศน์ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่งดงาม
จุดแรกที่เราแวะพักคือ หาดแรมลา (Ramla Bay Beach) เป็นชายหาดเล็กๆ ไม่พลุกพล่าน มีร้านอาหารและแผงขายเครื่องดื่มเล็กๆ ให้ได้นั่งพักผ่อน พวกเราตรงไปนั่งพักน่องกันที่ริมหาดทรายสีส้มแดง
แม้หาดทรายที่นี่จะไม่ขาวเนียนสวยแบบชายหาดบ้านเรา แต่น้ำทะเลที่นี่ก็สีสวยไปอีกแบบ พวกเรามาด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่และมีพละกำลังในการปั่นจักรยานไม่เท่ากัน จึงตกลงที่จะแยกกันเป็น 3 กลุ่มเล็กๆ แบ่งกันไปสำรวจเกาะโกโซ แล้วนัดหมายเจอกันอีกที
ตอนบ่ายแก่ๆ ที่เมืองวิกตอเรียหรือไม่ก็ไปเจอกันที่ท่าเรือข้ามฟากก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ฉันไม่ได้มีอารมณ์เล่นน้ำทะเลมากนักจึงไปกับเพื่อนอีก 3 คน เริ่มต้นปั่นจักรยานสำรวจเกาะกันต่อ พวกเราสามคนปั่นขึ้นลงเนินเขากันหลายลูกท่ามกลางแดดร้อนจัด
วิวสองข้างทางก็แตกต่างและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผ่านทั้งบ้านเรือน วิวทะเลสวยๆ มาจนถึงเมืองมาร์ซาลฟอร์น (Marsalforn) เมื่อก่อนที่นี่เป็นชุมชนชาวประมงเล็กๆ แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นเมืองรีสอร์ตอันคึกคักและได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมแห่งโกโซ
แถวนี้มีที่พักให้เลือกหลากรูปแบบตั้งแต่โฮสเทลไปจนถึงโรงแรมหรูห้าดาว รวมทั้งร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ริมทะเลที่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปชื่นชอบ เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนกับครอบครัว มีชายหาดสำหรับเล่นน้ำหรือนอนอาบแดด และมีกิจกรรมให้เลือกมากมาย ทั้งการดำน้ำตื้น ดำนำลึก และทัศนศึกษาออกเรือตกปลาชาวประมง ฉันแอบคิดไม่ได้ว่าถ้ามีโอกาสกลับมาเยือนมอลตาอีกครั้ง จะหาเวลามานอนพักผ่อนชิลๆ ที่มาร์ซาลฟอร์นสักหน่อย เพราะติดใจในบรรยากาศที่เงียบสงบแต่มีชีวิตชีวา
ความจริงแล้วจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนเกาะโกโซ ก็คือการได้ไปชมและถ่ายรูปคู่กับหน้าต่างแห่งอาซูเร่ (Azure Window) ตั้งอยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้านซานลอว์เรนซ์ (San Lawrenz) เป็นซุ้มประตูหินธรรมชาติที่เกิดจากการถูกคลื่นกระแทก และกัดเซาะเป็นเวลาหลายล้านปี จนมีรูปร่างเป็นทรงโค้งคล้ายหน้าต่าง ซึ่งหลายๆ คนอาจจะเคยเห็นผ่านตาจากภาพโปสต์การ์ดหรือโฆษณาสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตแห่งมอลตากันมาบ้างแล้ว บางคนอาจจะเคยเห็นในฉากซีรีส์ชื่อดังเรื่อง Game of Thrones ซีซั่นแรก แต่น่าเสียดายที่เมื่อเกือบสองปีก่อน ประติมากรรมทางธรรมชาติอันแสนงดงามที่ฉันเฝ้าฝันจะได้มาเห็นกับตาสักครั้งหนึ่งในชีวิตได้ถูกพายุลมแรงอันเกรี้ยวกราดทำลายลงไป
เหลือให้เห็นเพียงหน้าผาหินธรรมดาๆ ฉันได้แต่มองร่องรอยความงดงามที่ได้กลายเป็นความว่างเปล่าอยู่ไกลๆ ด้วยความเสียดาย ธรรมชาติสอนให้เราเรียนรู้ว่า “ธรรมชาติคือการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป” แม้จะอกหักจากหน้าต่างอาซูเร่ พวกเรา ก็มุ่งหน้าปั่นสองล้อต่อไปยังอ่าวซเวนี (Xwejni Bay) อ่าวเล็กๆ ทางตอนเหนือ ของเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของนาเกลือ (Xwejni Salt Pan) แม้ว่าจะไม่ใช่ฤดูกาลการทำนาเกลือ แต่ทิวทัศน์บริเวณนี้ก็สวยงามคุ้มค่าแก่การมาเยือน
จุดหมายสุดท้ายที่เราตั้งใจปั่นไปให้ถึง มิเช่นนั้นคงบอกใครๆ ไม่ได้ว่าเคยมาเยือนเกาะโกโซแล้ว ที่นั่นคือ เมืองวิกตอเรีย (Victoria) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาะโกโซ ตั้งอยู่บนยอดเขาและเคยมีความสำคัญมากในสมัยยุคกลาง แม้ว่าจะเหนื่อยกายและท้อใจหลายครั้งในการต่อสู้ฟันฝ่ากับการปั่นจักรยานบนเส้นทางชันขึ้นเขา โชคดีที่ช่วงบ่ายอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ไม่ร้อนระอุจนเกินไป ไม่เช่นนั้นคงเป็นลมแดดได้
เมื่อมาถึงเมืองวิกตอเรียก็รู้สึกหายเหนื่อย อาคารหินทรายเก่าที่มีป้อมปราการล้อมรอบอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสู่สมัยโบราณ ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวโรมัน ชาวอาหรับและชาวนอร์มันในสมัยศตวรรษที่ 9-12
แต่ปัจจุบันป้อมปราการได้ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยอัศวินเซนต์จอห์น หลังจากที่กำแพงเมืองได้ถูกทำลายลงโดยชาวเติร์กในปี ค.ศ. 1551 กำแพงเมืองหรือ Citadel แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งบนเกาะโกโซ ผ่านประตูเข้าไปภายในตัวกำแพงเมืองเก่า จะเห็นวิหารวิกตอเรีย (Victoria Cathedral หรือ St.George’s Basilica Victoria)
วิหารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 17 ภายในโบสถ์ถูกตกแต่งหรูหราตระการตาตามสไตล์ศิลปะแบบมอลติส แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำอื่นๆ ภายในป้อมปราการได้แก่ พิพิธภัณฑ์โบราณคดี ที่เก็บรวบรวมงานศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์มากมาย และเรือนจำเก่าที่เคยถูกใช้งานโดยอัศวินในศตวรรษที่ 16
ในยามบ่ายแก่ๆ แสงอาทิตย์ส่องกระทบตัวกำแพงเมืองเป็นสีชมพูอมส้ม พวกเรารีบเดินไต่กำแพงขึ้นไปเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของเกาะโกโซ
ด้านหนึ่งเป็นวิวเมืองชนบทอันสงบที่มีทะเลสีเทอร์ควอยซ์เป็นฉากหลังอยู่ไกลๆ อีกด้านหนึ่งเป็นเมืองเก่าสุดคลาสสิกแห่งวิกตอเรีย ฉันเอ่ยขอบคุณตัวเองในใจที่ดั้นด้นฟันฝ่าความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยน่องมาสูดอากาศที่นี่ แล้วหันไปขอบคุณเพื่อนรักทั้งสามคนที่เป็นกำลังใจดูแลกันและกันมาตลอดเส้นทาง พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับไปยังท่าเรือแล้ว เพราะการปั่นจักรยานลงเนินเขาบนถนนแคบๆ คงไม่ปลอดภัยนัก
พวกเรามาสมทบกับเพื่อนอีกกลุ่มเพื่อกลับไปยังท่าเรือด้วยกัน เส้นทาง กลับแม้ไม่เหนื่อยมากเพราะเป็นเส้นทางลงเนินเขา แต่ความมืดและการจราจรที่คับคั่งก็นำมาซึ่งความกังวลใจให้กับทุกคน พวกเราดูแลกันและกันมาจนถึงท่าเรือ นำรถจักรยานไปคืนร้านเช่า แล้วขึ้นเรือข้ามฟากเพื่อกลับไปยังที่พักบนเกาะมอลตา เรือค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกมา
พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงแตะผิวน้ำ เกาะโกโซบอกลาฉันด้วยความทรงจำที่แสนประทับใจ ฉันหันไปมองรอบๆ ตัว เห็นเพื่อนๆ ทั้ง 8 คนนั่งเอนกายพักเหนื่อย พวกเรายิ้มและหัวเราะให้กันเบาๆ ส่งความหมายถึงกันในใจว่า “ขอบคุณนะที่มาผจญภัยด้วยกัน ดูแลกัน
วันนี้เป็นวันที่พวกเราเหนื่อยแต่สนุกมากเลยนะ” แล้วเราก็ปล่อยให้ลมทะเลช่วยผ่อนให้ความเหนื่อยล้าค่อยๆ คลายลงไปจนถึงอีกฝั่งยอมรับเลยว่า ฉันหลงมนตร์เสน่ห์แห่งเกาะโกโซและประเทศไซซ์มินิอย่างมอลตาเข้าอย่างจัง ทั้งความงดงามทางธรรมชาติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ไม่แปลกใจเลยที่ใครๆ ก็ให้ฉายากับประเทศมอลตาว่าเป็น “ไข่มุกแห่งท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน”
ข้อมูลเพิ่มเติม
– การท่องเที่ยวบนเกาะโกโซ visitgozo.com
– เปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยกิจกรรมแอดเวนเจอร์มากมายบนเกาะโกโซ หรือเช่าจักรยานเที่ยวรอบเกาะ http://www.gozomgarrtouristservice.com