Field Farm Flower

Story & Photo by Editorial Staff

พูดถึงฮอกไกโด หลายคนคงนึกถึงเทศกาลน้ำแข็งภาพหิมะที่ปกคลุมให้ทั่วทั้งบริเวณเป็นสีขาวโพลนส่งผลให้ฮอกไกโดในยามหน้าหนาว ฮอตฮิตติดลมบนไปโดยปริยาย แต่หลังจากช่างภาพได้แวะเข้ามาถ่ายภาพในช่วงหน้าร้อน และการรถไฟของประเทศญี่ปุ่นใช้ภาพทุ่งลาเวนเดอร์ของฟาร์มแห่งนี้ เป็นหนึ่งในภาพของปฏิทินการรถไฟ จัดพิมพ์กระจายออกไปทั่วประเทศในปี ค.ศ. 1976 ด้วยสีสันอันสดใสของฤดูร้อน ภาพนั้นทำให้ผู้คนหลั่งไหลแวะเวียนกันเข้ามาที่ฟาร์ม และเมืองแห่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระจายออกไปอย่างแพร่หลายในระดับสากลจนถึงปัจจุบัน

ภาพทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา ต้นหญ้าเอนไหวเป็นคลื่นลู่ไปตามสายลมที่พัดผ่าน เสียงกิ่งไม้ใบไม้ไหวดังกรอบแกรบ เหล่าดอกไม้หลากหลายสีสันผลิดอกรับแสงตะวัน เห็นภาพผู้คน รถไถพืชผลอยู่ไกลๆ เป็นบรรยากาศที่คุ้นชินสำหรับเมืองแห่งท้องทุ่ง ผืนฟาร์มและดอกไม้เช่นแถบบิเอะ (Biei) ฟุระโนะ (Furano) แห่งนี้ สองเมืองนี้มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องความสวยงามของท้องทุ่ง

บิเอะจะเน้นไปทางพืชผล เราจะเห็นทุ่งข้าวบาร์เลย์สีเหลืองทองอร่ามได้ในเมืองแห่งนี้ ในขณะที่ฟุระโนะจะเน้นไปทางดอกไม้สวยงาม แต่จะให้ตอบว่าที่ไหนสวยกว่านั้นบอกได้เลยว่ากินกันไม่ขาดจริงๆ ฉันเองก็ตกหลุมรักท้องทุ่งทั้งสีทองและสีม่วงจัดตลอดจนสีรุ้งของแถบนี้ จนต้องมาซ้ำแล้วซ้ำอีก

จากซัปโปะโระ(Sapporo) เราสามารถนั่งรถไฟ JR แบบด่วนพิเศษ มาถึงเมืองฟุระโนะได้โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นสามารถเช่าจักรยานปั่นไปเที่ยวชมเมืองน่ารักแห่งนี้ได้ ที่เช่าจักรยานอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนักแต่ปัจจุบันหลายคนนิยม เช่ารถจากตัวเมืองซัปโปะโระขับรถมาเที่ยวกันมากขึ้น เพราะสามารถเดินทางไปตามเส้นทางอื่นข้างเคียงได้สะดวกยิ่งขึ้น แนะนำให้มาในช่วงเดือนเจ็ดถึงเดือนแปดของทุกปีดอกไม้แทบทั่วท้องทุ่งจะแข่งขันกันบานสะพรั่งไปหมด


สารพัดทุ่งดอกไม้

ในความเป็นจริงแล้วฟุระโนะมีทุ่งลาเวนเดอร์ให้ชมหลายสวนด้วยกัน นอกเหนือจากฟาร์มโทมิตะ (Tomita) ฟาร์มต้นแบบภาพยอดนิยม ไล่ไปตั้งแต่จากสถานีฟุระโนะ ไปถึงสถานีบิเอะ เริ่มจากใกล้สถานีฟุระโนะ (Furano Station) ที่สุด ถ้าขับรถใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น อีกทั้งเป็นฟาร์มที่มีเนื้อที่มากที่สุดของเมืองกับพื้นที่กว่า 160,000 ตารางเมตร ของ
Highland Furano เป็นที่พักที่ตั้งอยู่ท่ามกลางผืนป่าที่เขียวขจีและทุ่งดอกลาเวนเดอร์ประมาณ 30,000 ตารางเมตร เราสามารถแช่บ่ออาบน้ำพุร้อนพร้อมกับชื่นชมธรรมชาติรอบข้างได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นที่นี่จึงเหมาะเป็นที่พักสำหรับค่ำคืนแห่งทุ่งดอกไม้อีกแห่งที่น่าสนใจ แต่ถ้าใครไม่พักก็สามารถเข้าไปแช่ได้แต่มีค่าบริการเล็กน้อยเพียง 510 เยนเท่านั้น

ถัดมาที่สถานีนากะฟุระโนะ (Nakafurano Station) จากหน้าสถานี เดินเท้าไปอีกประมาณ 15 นาทีบนเนินเขาสูงกว่า 300 เมตร คือพื้นที่ของฟาร์มลาเวนเดอร์โชอิ (Choei Lavender Farm) หลายคนรู้จักในชื่อของสวนดอกไม้นากะฟุระโนะ (Nakafurano Flower Park) จุดเด่นของที่นี่คือ มีลิฟต์เก้าอี้(Chairlift) พาขึ้นไปชมดอกไม้ด้านบนเนิน อารมณ์ของการนั่งเก้าอี้กระเช้าเล็กๆ ที่ขาหย่อนเหวี่ยงไปมาๆ ในอากาศได้ ทำให้ตื่นเต้นไม่ใช่น้อย แถมยังตื่น
ตาตื่นใจไปกับฉากของเมืองเบื้องล่าง ด้านบนสุดมีม้านั่งสำหรับชมเมืองกันอีกรอบให้เต็มตา ขากลับจะเลือกนั่งลิฟต์เก้าอี้กลับลงมา หรือถ้าเลือกที่จะเดินลงตามทางเดินที่สร้างไว้ เพื่อเก็บภาพท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์ และดอกไม้สีสันสดใสอย่างใกล้ชิดก็ย่อมได้ เป็นประสบการณ์ที่ทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืมอย่างแน่นอน

อีกหนึ่งฟาร์มน่าสนใจคือ สวนไซกะโนะซาโตะ (Saika no Sato) หรืออีกชื่อคือไร่ไซกะ (Saika farm) ตั้งอยู่ในพื้นที่ของฟาร์มซาซากิ (Sasaki Farm)ฟาร์มลาเวนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดในเขตฟุระโนะตอนกลาง ที่มีลาเวนเดอร์หลากหลายสายพันธุ์ สีสันแปลกตา ดอกไม้สีสันสดใสอีกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นดอกทานตะวันสีเหลืองสด ดอกป๊อปปี้สีแดงบานสะพรั่งเต็มไปหมด ที่นี่อนุญาตให้เราเก็บดอกลาเวนเดอร์กลับบ้านได้ด้วย ราคาเพียง 700 เยนต่อถุง จากสถานีนี้เราสามารถเข้าชมทุ่งลาเวนเดอร์ทางตะวันออกของฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita Lavender East) ที่ขึ้นชื่อได้ ฟาร์มนี้เพิ่งเปิดเมื่อประมาณปี ค.ศ. 2008 แต่จุดนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากนัก เพราะมีแต่ดอกลาเวนเดอร์สีม่วงปลูกเป็นแนวยาวเต็มพื้นที่กว่า140,000 ตารางเมตร ลาเวนเดอร์กลุ่มนี้จะนำไปใช้ในการผลิตน้ำหอมจากดอกลาเวนเดอร์ สินค้าเพื่อจำหน่ายต่อไป เปิดให้เข้าชมฟรีในช่วงเดือนกรกฎาคมเท่านั้น
สำหรับสถานีที่จอดตรงกับฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita) อันเลื่องชื่อเลยก็คือ สถานีชั่วคราว ลาเวนเดอร์-บาตาเกะ (Lavender-Batake Station) จะเปิดบริการเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนตุลาคมเท่านั้น

ฟาร์มโทมิตะแบ่งออกเป็นส่วนแต่ละส่วนก็มีความสวยงามเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป สวนที่ได้รับความนิยมและโดดเด่นที่สุดของฟาร์มโทมิตะคือ สวนอิโรโดริ (Irodori Field) ที่ปลูกดอกไม้ทั้งหมด 7 สี 7 สายพันธุ์ เรียงกันเป็นแปลงยาวเปรียบเสมือนสีของสายรุ้งที่สวยงามตัดกับท้องฟ้าสีสดใสของหน้าร้อนเป็นอย่างดี หรือจุดเริ่มต้นของฟาร์มโทมิตะตรง Traditional Lavender Garden มีลักษณะเป็นเนินสูงสามารถเดินขึ้นไปถ่ายรูปได้ถึงด้านบน ฟาร์มโทมิตะเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีสินค้าครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขายอาหาร เครื่องดื่ม ของที่ระลึก ผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดเกี่ยวกับดอกลาเวนเดอร์ ตลอดจนไอศกรีมลาเวนเดอร์สีม่วงอ่อน รสชาติหอมหวาน ที่เข้ากับหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี

สถานีถัดไปเป็นสถานีกามิฟุระโนะ (Kami Furano) ไปแวะที่ฟาร์มฮิโนเดะ (Hinode Park) กัน สำหรับคู่รัก แนะนำที่นี่เลย ฟาร์มที่ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดเล็กระหว่างเมืองฟุระโนะกับบิเอะ ดอกไม้ที่นี่บานเร็วกว่าที่อื่น การที่ที่ตั้งสถานที่อยู่บนเนินทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบด้าน 360 องศา และทุ่งดอกไม้ที่ไล่เรียงลาดเอียงลงไปตามแนวเนินเขา และอีกจุดเด่นของที่นี่คือ ด้านบนเนินจะมีระฆังแห่งความรักตั้งไว้ตรงกลางให้คู่รักได้มาเคาะเพื่อขอให้สมหวังในรัก จึงไม่แปลกที่จะเห็นคู่รักมักจะเดินทางมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งหรือมาทำพิธีแต่งงานกันที่นี่เป็นจำนวนมาก

แต่ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปดูดอกไม้อย่างอื่นบ้างละก็ ต้องที่นี่เลยทุ่งดอกไม้กามิฟุระโนะ (FlowerLand Kamifurano) ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาโทกาชิ (Tokachi mountain range) เนื่องจากทุ่งดอกไม้อยู่บนเนินเขาจึงมีบริการนั่งรถแทรกเตอร์ พาคุณนั่งรับลมชมทุ่งดอกไม้ได้อย่างทั่วถึง ดื่มด่ำกับความงามของดอกไม้หลากหลายชนิด สีสันละลานตาโดยมีทิวเขาเป็นฉากหลัง และร่วมกิจกรรมเวิร์กช็อปต่างๆ ให้เพลิดเพลินทั้งวันเช่น การตัดดอกลาเวนเดอร์, การทำดอกไม้ทับแห้ง, หมอนจากบักวีตและดอกลาเวนเดอร์แห้งเพื่อเป็นของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้าน พร้อมทั้งมีบริการขายของที่ระลึกและร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่หาได้จากภายในฟาร์มไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย

อีกหนึ่งสถานีที่สถานีบิบาอุชิ (Bibaushi Station) ไปชมฟาร์มคันโนะ (Kanno Farm) ฟาร์มที่มีความพิเศษอยู่ตรงที่ต้นลาเวนเดอร์ของที่นี่ เกิดจากการเพาะเมล็ดซึ่งต่างจากฟาร์มอื่นๆ ทำให้ขนาดและเฉดสีของลาเวนเดอร์อาจจะแตกต่างจากที่อื่นเล็กน้อย นอกจากนั้น
ก็ยงั มีฟารม์ ดอกไมนานาพันธุ์ร่วม 60 ชนิดให้ได้ชมกันไม่ว่าจะเป็นซัลเวีย, ดาวเรือง, ป๊อปปี้และดอกไม้อื่นๆ มีร้านขายของที่ระลึกเช่นผลิตภัณฑ์จากดอกลาเวนเดอร์, งานหัตถศิลป์และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นต้น ปิดท้ายท่องฟาร์มกันที่ ฟาร์มชิกิไซโนะโอกะ (Shikisaino Oka) ฟาร์มเด่นแห่งเมืองบิเอะ แม้ขนาดไม่ใหญ่มาก 70,000 ตารางเมตร แต่เปี่ยมล้นไปด้วยกิจกรรมหลากหลาย และเป็นฟาร์มที่มีทุ่งดอกไม้สีรุ้งบนเนินเขา แถมวิวของเทือกเขาโทกาชิ (Tokachi) อยู่ด้านหลังเป็นมุมสวยที่ช่างภาพหลายคนนิยมมาเก็บภาพกัน สำหรับสายกิน ที่นี่มีซอฟต์ครีมรสละมุนให้ได้เลือกกินไป ชมดอกไม้ไปพลางๆฟาร์มนี้ถือได้ว่าเป็นฟาร์มยอดนิยมของเมืองบิเอะที่ส่วนมากจะนิยมปลูกพืชพรรณธัญญาหารมากกว่า


ทุกต้นมีเรื่องราว

ญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นประเทศที่ของต่างๆ ทุกชิ้นทุกอัน ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวแทบทั้งสิ้น บางครั้งส่งผลให้ของธรรมดากลายเป็น สิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย อย่างเช่น เหล่าต้นไม้ดาราของ เมืองบิเอะอย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ต้น ฟุระโนะ ขึ้นชื่อเรื่องดอกไม้ ส่วนบิเอะนั้นเนินเขากว้างใหญ่เติมไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด มากสุดเป็นทุ่งข้าวบาร์เลย์สีเหลืองทอง สลับกับ ข้าวโพด มันฝรั่ง เมลอน เป็นต้นการท่องเที่ยวในบิเอะ แบ่งเป็นเส้นทางยอดนิยมได้แก่

Panorama Road เส้นทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองบิเอะ เส้นทางสามารถชมวิวสวยงามของเนินเขาที่มีฉากหลังเป็นภูเขาโทกาชิ ฟาร์มคันโนะที่กล่าวมาก่อนหน้านั้นก็อยู่ในโซนนี้ด้วยความโดดเด่นของถนนสายนี้ ตรงตามชื่อเลย คือความสวยงามแบบ360 องศา ต้องถ่ายแบบพาโนรามา (Panorama) เท่านั้น คุณจึงจะสามารถเก็บความงามของที่นี่ได้ ตอนฤดูหนาวจะเห็นเป็นหิมะขาวสุดลูกหูลูกตา แต่มาตอนฤดูร้อนแบบนี้ จะเห็นท้องทุ่งสีเขียว เหลืองทอง สลับไปตลอดแนว หากถึงช่วงใบไม้แห้งก็จะเห็นม้วนกองฟางที่เกษตรกร ม้วนฟางหญ้าแห้งก้อนใหญ่เก็บไว้ให้วัวเป็นจุดๆส่วน Patchwork Road เส้นทางที่จะพาไปยังทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเป็นเส้นทางที่จะพาคุณไปพบเหล่าต้นไม้ดาราทั้งหลาย รวมไปถึงแปลงเพาะปลูกที่ถูกรังสรรค์ต่อกันราวกับเศษผ้าในงานแพตช์เวิร์ก (Patchwork)

ถ้าคุณไม่ได้ขับรถมา ฉันแนะนำให้ใช้บริการ Twinkel Bus สาย Biei-Hill Country Course ราคา 500 เยน จะเริ่มต้นจากสถานีบิเอะ (Biei Station)แล้ววิ่งผ่านไปตามต้นไม้ดาราหลักๆ และหอชมวิวก่อนกลับมายังสถานี ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จุดชมวิวระหว่างทางที่น่าสนใจคือ ต้นเคน และแมรี่ (Ken & Mary Tree) ด้วยอิทธิพลของการโฆษณาทางโทรทัศน์ของรถยนต์นิสสันรุ่นสกายไลน์ C110 เมื่อปี 1972 ที่พรีเซนเตอร์คู่รักชาวบุปผาชนกำลังเดินทางไปสู่ดินแดนเสรีอันไกลโพ้น แล้วขับผ่านต้นพ็อพลาร์ต้นหนึ่ง ส่งผลทำให้ต้นไม้ต้นนั้นกลายเป็นดาราดังที่ทำให้หนุ่มสาวร่วมสมัยทั่วญี่ปุ่นออกตามรอย“เคนแอนด์แมรี่” พรีเซนเตอร์คู่รักคู่นั้น และเป็นจุดถ่ายรูปที่ระลึกของบรรดานักท่องเที่ยวจนถึงทุกวันนี้ ไม่ไกลจากต้นไม้ดังกล่าวมีคาเฟ่เล็กๆน่ารักอยู่ แนะนำให้แวะทานขนม ของว่างหรือไอศกรีมได้ ในขณะที่เคนและแมรี่ปรากฏอยู่ในโฆษณาต้นเซเว่นสตาร์ส (Seven Stars Tree) ก็เป็นต้นไม้ดาราที่ปรากฏอยู่ในแพ็กเกจซองบุหรี่ยี่ห้อ SEVEN STARS ในปี ค.ศ. 1976 ของญี่ปุ่น

ภาพต้นโอ๊คขนาดใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่บนเนินอย่างสง่างาม เป็นภาพที่ติดตาจนส่งผลให้เป็นอีกหนึ่งต้นไม้ดาราที่น่าแวะ ส่วนต้นพ่อแม่ลูก (Parents and Child Tree) ถือเป็นความน่ารักของความช่างคิดของชาวญี่ปุ่น ที่สร้างให้กลุ่มต้นโอ๊คขนาดเล็กใหญ่ที่เรียงกัน เป็นครอบครัวที่แสนสุขสันต์ ท่ามกลางพื้นที่กว้างขวางของทุ่งข้าวสีเขียวสีเหลือง โดยมีตน้ เล็กหนึ่งต้นอย่ตู รงกลาง และมตี ้นใหญ่สองต้นขนาบข้างทำให้ผู้คนจินตนาการไปเป็นภาพที่พ่อกับแม่ยืนจูงมือลูกตัวเล็กอยู่ตรงกลาง แม้ปัจจุบันจะมีหลานโผล่ออกมาอีกต้นแต่ก็ยังมีความน่ารักแฝงอยู่เช่นเดิม

ถ้าคุณเลือกใช้บริการรถบัส Twinkel Bus สาย Biei-Hill Country Course รถบัสจะพาคุณมาแวะที่ หอชมวิวโฮกุเซ (Hokusei Hill Observatory) อาคารทรงพีระมิดที่สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองได้แบบรอบทิศทาง ก่อนกลับไปยังสถานีเช่นเดิม แต่ถ้าคุณขับรถมา ฉันแนะนำให้ขับต่อไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่เนินเขาไมลด์เซเว่น (Mild Seven Hill)เนินต้นสนที่เรียงกันเป็นแถวยาวมีชื่อเสียงเนื่องจากเคยใช้เป็นที่ผลิตยาสูบเชิงพาณิชย์ที่เรียกว่า Mild Seven ในปี 1970 เนินเขาแห่งนี้จะมีสีสันที่แตกต่างกันในแต่ละฤดู ขึ้นกับฤดูการเพาะปลูกในแต่ละช่วง สีขาวของต้นมันฝรั่ง สีเหลืองทองของต้นข้าว เป็นต้น หากเรามองจากด้านล่างขึ้นไป ก็จะเห็นป่าสนอย่เู หนือไร่พืชพรรณและเป็นจุดชมวิวมุมถ่ายรูปที่ห้ามพลาด

บิเอะ เหมาะกับคนที่ต้องการผ่อนคลายชื่นชมไปกับธรรมชาติรอบตัว เดินดูวิว ชมทิวเขาและ (อาจ) จะปั่นจักรยานทอดน่องไปเรื่อยๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า ต้องขึ้นกับสภาพร่างกายที่พร้อมด้วย เพราะแต่ละจุดค่อนข้างห่างกัน อาจต้องปั่นกันน่องโป่งเลยทีเดียว แม้จะเป็น
จักรยานไฟฟ้าก็ตามเถอะ ถ้าไม่พร้อมแนะนำให้เช่าแท็กซี่ หรือขึ้นรถบัสชมเมืองดีกว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกการเดินทางแบบไหนก็ได้ เชื่อได้ว่าถ้ามาที่นี่คุณต้องรู้สึกFeel Good อย่างแน่นอน

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0