Exotic in Zanzibar
Story & Photo by Kanjana Hongthong
ที่บางที่มีไว้ให้ซ้ำ เกาะซานซิบาร์ (Zanzibar) ก็เป็นเช่นนั้น เพราะซานซิบาร์คือเกาะแห่งความทรงจำที่นึกถึงทีไร มีแต่เรื่องราวน่าประทับใจบนเกาะนี้ 5 ปีผ่านไป อะไรๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปเยอะ ฉันจึงมาซานซิบาร์ในเที่ยวนี้แบบไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่แค่สนามบินก็ทำให้รู้แล้วว่าซานซิบาร์ยังไม่เปลี่ยน ที่นี่ไม่มีสายพานเลื่อนกระเป๋าเดินทางมาคอยเสิร์ฟให้แขกเหรื่อ พอลงจากเครื่องบินจะมีรถไปขนกระเป๋ามากองรวมกันกลางสนามบิน จากนั้นค่อยมาหยิบกระเป๋าของตัวเองไป
สนามบินโปร่งโล่งไร้แอร์คอนดิชัน นักเดินทางหลายคนรวมทั้งฉันเดินกระโผลกกระเผลกท้าไอแดดที่ปลิวสะบัดไปทั่วสนามบิน เราคงตกที่นั่งเดียวกัน คือเสร็จสิ้นภารกิจจากการปีนยอดเขาคิลิมันจาโร ก็พากันมาแช่น้ำที่มหาสมุทรอินเดีย บางคนเพิ่งเสร็จสิ้นจากการซาฟารี เกาะซานซิบาร์จึงลงตัวที่สุดสำหรับทุกคน
ฉันมองหาป้ายโรงแรม Essque Zalu Zanzibar จุดหมายในการพักผ่อนของฉันในครั้งนี้ ที่ถูกออกแบบให้ต่างจากครั้งก่อน เพราะเที่ยวก่อนฉันพักในตัวเมืองเก่าสโตนทาวน์ แต่เที่ยวนี้ตั้งใจไปนอนอาบลมห่มคลื่นแถวหาดนุงวีที่อยู่ด้านเหนือสุดของเกาะราว 1 ชั่วโมง จึงเป็นระยะเวลาที่สัญจรจากสนามบินเพื่อไปยังหาดนุงวี แต่อย่าคิดว่าฉันจะเผลองีบเป็นอันขาด
เพราะภาพชีวิตของผู้คนที่อยู่สองฟากฝั่งถนนนั้นน่าดูเหลือเกิน นี่แหละความเป็นซานซิบาร์ ลุงชราสองคนนอนคุยกันอยู่บนเก้าอิ้ริมทางอย่างสบายใจเฉิบ สาวๆ ในชุดคลุมยาวสีสันแสบตาเดินทูนข้าวของอยู่บนหัวของพวกเธอ ราวกับว่ามือทั้งสองข้างไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งาน
ยังไม่นับพวกตลาดริมทางที่มีผลหมากรากไม้วางกองขายอย่างระเกะระกะ บางคนอาจเพิ่งกลับจากการหาปลา ในมือของเขาจึงหอบหิ้วปลาทูน่าพะรุงพะรังกลับบ้าน สำหรับคนชอบความเอ็กซอติก ชอบวิถีชีวิตชาวเกาะแบบดิบๆ เดิมๆ ซานซิบาร์จึงเป็นเหมือนเกาะในฝันของพวกเขา รวมทั้งฉันด้วย กว่ารถจะเคลื่อนมาถึงแถวหาดนุงวี
ดวงตะวันก็หย่อนตัวลงแนบมหาสมุทรอินเดียพอดี ฉันเพิ่งได้ข้อมูลใหม่จากเจ้าหน้าที่ของโรงแรม ว่าที่นี่ เป็นโรงแรมที่แขกจะโชคดีมาก เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่เห็นได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก ในเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันจึงเห็นดวงตะวันกลมโตโผล่ขึ้นเหนือมหาสมุทรอินเดียตรงหน้าโรงแรมเลย
พูดถึงโรงแรม Essque Zalu Zanzibar นั้นเป็นโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์โฮเท็ล บ้านพักแต่ละหลังถูกออกแบบอย่างอบอุ่นและมีพื้นที่ใช้สอยเยอะ หลังจากเดินสำรวจวิลล่าแบบต่างๆ ของโรงแรม
ฉันก็ลองใช้บริการสปาของที่นี่ ที่เขาบอกว่าพิเศษมาก เพราะห้องนวดจะถูกตกแต่งแบบบ้านชาวมาไซ
มีผ้าสีแดงของชาวมาไซมาทำเป็นซุ้มเอาไว้นวด ด้านในสะดวกสบายและได้บรรยากาศมาไซมากๆ
อะไรไม่น่าสนุกเท่า ตลอดระยะการนวด 2 ชั่วโมง จะมีกลุ่มชายชาวมาไซมายืนร้องเพลงให้ฟังอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เป็นสปามาไซที่ไม่เหมือนใครในเกาะ และมีที่เดียวในโลกด้วย
เจ้าหน้าที่สปาบอกว่า นอกจากแขกจะสบายเนื้อสบายตัวแล้ว นี่ยังเป็นการรีทรีทแขกที่มานวดด้วยเสียงเพลงแบบชาวมาไซอีกด้วย ถึงว่า ค่ำนั้นเลยนอนหลับสบายเพราะได้สปามาไซนี่เอง
วันรุ่งขึ้นฉันนั่งรถจากโรงแรมมุ่งหน้าไปยังเมืองเก่าสโตนทาวน์ มุมที่ทำให้ฉันอยากกลับมาซานซิบาร์อีก ไม่ใช่เพราะมีตำแหน่งมรดกโลกมาการันตี แต่สโตนทาวน์มีความคลาสสิกไปทุกหย่อมหญ้า ในเขตเมืองเก่าสโตนทาวน์มีทุกอย่าง ทั้งพิพิธภัณฑ์ วัง สุเหร่า โบสถ์ และบ้านเรือนเก่าแก่ ที่ทุกวันนี้บางแห่งดัดแปลงมาเป็นเรือนพัก
ใครได้เดินทอดน่องไปในเขตเมืองเก่าก็จะเห็นด้วยที่องค์การยูเนสโก้ยกให้ที่นี่เป็นมรดกโลก บ้านเรือนของผู้คนที่นี่เขายังรักษาความดั้งเดิมไว้อย่างดี ประตูไม้เก่าแก่ที่บางแห่งยังมีลวดลายแกะสลัก ก็มีให้เห็นตลอดทาง บ้านพวกนี้สร้างตั้งแต่พวกพ่อค้าอาหรับ
เดินทางมาค้าขายก็สร้างเอาไว้ และประตูไม้นี่เอง ที่เป็นเหมือนหนึ่งในเอกลักษณ์ของชาวซานซิบาร์ที่บางแห่งเก่าแก่ขนาดน่าจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์มากกว่ามารอบนี้ ดูเหมือนมีช็อปหน้าตาชิคๆ เก๋ๆ มาเปิดตัวกันมากขึ้น บางร้านมีโลคัลดีไซน์เนอร์มาทำดิสเพลย์หน้าร้านให้เปรี้ยวขึ้น ทำให้สโตนทาวน์ดูกระฉับกระเฉงและทันสมัยขึ้นมาอีกนิด มีคาเฟ่ดีๆ มาเปิดให้นั่งจิบกาแฟคิลิมันจาโร
แต่ทุกตรอกซอกซอยยังคงความคลาสสิกเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นน่าดูที่สุดน่าจะเป็นอิริยาบถของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเก่าหมื่นกว่าคน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เราจะได้ยินเสียง จัมโบ้! เอื้อนเอ่ยมาทักทายตลอดทาง จัมโบ้ ก็เหมือนกล่าวคำสวัสดีนั่นเอง แต่ที่นี่เขาไม่ได้ทักทายแค่จัมโบ้นะ เพราะอีกคำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยคือ มามโบ้! ที่หากมีคนทักขึ้น คนถูกทักก็จะตอบไปว่า โพอา! นี่คือภาษาสวาฮิลี ภาษาที่เขาใช้กันในแอฟริกาประมาณ 10 ประเทศ
ชาวเกาะซานซิบาร์ไม่เหมือนกับชาวแอฟริกาในอีกหลายประเทศ หรือแม้กระทั่งในแทนซาเนียด้วยกันก็จัดว่าแตกต่าง เพราะคนที่นี่จะคุ้นกับนักท่องเที่ยวมากกว่า ดังนั้น ต่อให้เรายกกล้องขึ้นถ่ายรูป เขาก็ยิ้มรับ ต่างจากเมืองอื่นในแทนซาเนียอย่างอรูชา หรือโมชิ ที่ฉันเคยเจอ พวกเขาไม่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวเอาซะเลย
มาถึงที่นี่จะมีชาวเกาะคอยอาสามาคอยเป็นไกด์นำทางพาท่องเมืองเก่า เพราะพวกเขาอยากจะเชิญชวนให้ไปซื้อของที่ร้านของเขา แต่ถึงไม่บอกปัดไมตรี เขาก็ไม่ถือสาหาความ
และเมื่อมาที่นี่ หลายคนอาจจะกลัวหลง เพราะเขตเมืองเก่าสโตนทาวน์ค่อนข้างใหญ่ แต่พูดเลยว่าไม่ต้องกลัวหลง เพราะผู้คนที่นี่จะคอยบอกทางให้ แต่ฉันว่าสิ่งที่ควรทำที่สุดเมื่อมาถึงสโตนทาวน์ คือปล่อยให้ตัวเองหลงไปตามตรอกซอกซอย นั่นแหละ! สนุกกว่า เพราะบางครั้งการเดินไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง พาฉันไปเจออะไรดีๆ ตั้งมากมาย
อย่างคราวก่อนก็เดินไปเจอสุเหร่าสวยๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ เพราะในชายคาเมืองเก่ามีสุเหร่ามากกว่า 50 แห่ง เพราะคนเกือบทั้งหมดของเกาะเป็นชาวมุสลิม มีแค่ประมาณ 10% เท่านั้น ที่นับถือศาสนาคริสต์ ที่นี่เขาเลยมีโบสถ์ด้วย โบสถ์แองกลิกันเป็น 1 ใน 2 โบสถ์ที่อยู่ในสโตนทาวน์ โบสถ์แห่งนี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1873 ตัวโบสถ์นั้นสร้างได้อย่างใหญ่โตโอ่อ่ามาก คนมาที่นี่ไม่ได้มาดูความสวยงามของโบสถ์
แต่เพราะมุมนี้เคยเป็นตลาดค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในแอฟริกาต่างหาก เลยทำให้ที่นี่น่าสนใจ ว่ากันว่าตรงแท่นบูชาเคยเป็นมุมที่ใช้เฆี่ยนตีทาสที่ดื้อแพ่ง จะเห็นว่าประตูโบสถ์เป็นไม้แกะสลักสวยงาม เป็นมรดกจากพ่อค้าที่ร่ำรวยจากการค้าทาสในอดีต ทุกวันนี้บางมุมกลายสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ ชาวคริสต์อาจจะมาที่นี่เพื่อปฏิบัติศาสนกิจ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างก็อยากมาเห็นตลาดค้าทาสกันทั้งนั้น
สมัยก่อนทาสถือเป็นสินค้าส่งออกชั้นดีของเกาะซานซิบาร์ ทาสชาวแอฟริกาจะถูกส่งไปขายที่อาหรับ เปอร์เซีย และยุโรป โดยล่องเรือไปด้วยความยากลำบาก บางคนก็เสียชีวิตระหว่างเดินทาง บางคนก็ตายระหว่างทำงานเพราะถูกเชื้อโรคเล่นงาน ฟังก็แล้วก็หดหู่ เมื่อมนุษย์ต้องกลายเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่มนุษย์ด้วยกันซื้อขายกันอย่างสนุกมือ
อีกมุมหนึ่งของสโตนทาวน์ ที่น่าสนใจคือตลาดปลา ด้านในมีปลาสารพัดชนิดเรียงรายอยู่ตามแผง มุมหนึ่งเป็นการล้อมวงใหญ่มาก ใหญ่จนฉันบุกเข้าไปไม่ถึง ได้ความว่าเป็นมุมประมูลปลาตัวใหญ่ที่เขาล่ามาได้จากทะเล
ผู้คนจะส่งเสียงตะโกนบอกราคากันอย่างสนุกสนาน เดินมาไม่ไกลจากตลาดปลา คือตลาดใหญ่ประจำเมือง ชื่อตลาดดาราจานี เรื่องความคึกคักถือว่าไม่แพ้ตลาดที่ไหนในโลก มีทั้งรถขายขนมปัง เสื้อผ้า หมวกละหมาด รถขายไก่ตัวเป็นๆ
จำพวกเครื่องเทศ ผักผลไม้ และข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านนี่มีเยอะเลย อาหารการกินยิ่งเยอะใหญ่ ผู้คนก็ออกมาเบียดเสียดจับจ่ายกันอย่างคึกคัก
หมกตัวอยู่ในสโตนทาวน์ อยู่ครึ่งวันก่อนจะตีรถกลับหาดนุงวี เพราะเย็นนี้จะนั่งรอดูพระอาทิตย์ตกบนหาดนุงวีให้สมใจ แล้วก็งดงามสมใจจริงๆ ซันเซ็ทที่ซานซิบาร์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ใต้ดวงอาทิตย์ กลมโตมักจะมีเรือดาวน์ ซึ่งเป็นเรือท้องถิ่นโฉบผ่านไปมา เติมแต่งเสน่ห์ให้เกาะนี้อยู่ในใจนักเดินทางเสมอ
– จากกรุงเทพฯ สายการบินเคนย่า แอร์เวยส์ มีเที่ยวบินๆ ไปซานซิบาร์ แวะเปลี่ยนเครื่องที่ไนโรบี
– คนไทยไปเที่ยวแทนซาเนีย ยื่นขอวีซ่าแบบ On Arrival ที่สนามบินได้ เตรียมเงินดอลลาร์มาคนละ 50 ดอลลาร์ด้วย ไม่ต้องใช้เอกสารหรือรูปถ่าย
– ที่พักบนหาดนุงวีมีเยอะ แนะนำ Essque Zalu Zanzibar โรงแรมที่สร้างได้สวยงามมีสะพานยื่นไปกลางน้ำให้นั่งชิลกลางทะเลได้
– บางคนที่อาจจะบินมาลงที่ดาร์เอสซาลาม ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของแทนซาเนีย ก็สามารถนั่งเรือจากที่นั่นมาเที่ยวได้ ปกติมีเรือวิ่งไปกลับวันละ 5 – 6 เที่ยว มีเรือให้เลือกหลายแบบหลายราคา เช่นถ้าอยากนั่งเรือแค่ 2 ชั่วโมงกว่า ก็มีเรือไฮสปีดที่คิดค่าเรือคนละ 35 ดอลลาร์