ผจญภัยในดูไบ ดินแดนฟ้าจรดทราย
Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ดินแดนกลางคาบสมุทรอาราเบียที่เคยแห้งแล้งเมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน วันนี้ได้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นมหานครที่มั่งคั่งที่สุดเมืองหนึ่งของโลก สิ่งปลูกสร้างหลายแห่งที่เป็น “ที่สุดของโลก” ได้รวมตัวกันอยู่ที่ “เมืองดูไบ” (Dubai) แห่งนี้ หลายคนอาจเคยสงสัยว่าดูไบมีอะไรน่าสนใจในเชิงท่องเที่ยวบ้าง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันจึงเดินทางไปเยือนเมืองทะเลทรายแห่งนี้สักครั้งให้หายสงสัย
“Burj Khalifa” เป็นตึกที่สูงโดดเด่นและเห็นชัดมาก เมื่อเดินทางมาถึงตัวเมืองดูไบ สมกับการทุบทำลายสถิติก้าวขึ้นเป็น “ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก” ด้วยความสูงถึง 818 เมตร และมีจำนวน 163 ชั้น ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับ Dubai Mall ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ของนักช้อปปิ้ง เพราะมีร้านค้าแบรนด์เนมมากกว่า 1,000 ร้าน ฉันยืนแหงนหน้ามองยอด “Burj Khalifa” ที่สูงเสียดฟ้า ก่อนจะขึ้นลิฟท์โดยสารที่มีความเร็วที่สุดในโลกไปยังจุดชมวิว At the top บนชั้น 124 ของตึก “From the Earth to the Sky” เป็นคำกล่าวต้อนรับเมื่อเราเดินออกจากลิฟท์ จุดชมวิวหรือ Observation Desk ที่นี่เป็นระเบียงที่มีกระจกใส สามารถเดินชมวิวเมืองดูไบจากมุมสูงได้โดยรอบ สิ่งปลูกสร้างรอบๆ ดูเล็กนิดเดียวเมื่อมองลงไปจากมุมนี้ แสงไฟระยิบระยับจากตึกและถนนเบื้องล่างสะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองร่ำรวยของเมืองนี้ หลังจากดื่มด่ำกับแสงสีของเมืองบนตึกสูง อีกสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงดูไบก็คือ ชมการแสดงน้ำพุประกอบเสียงเพลง (Dancing Fountains) ที่ Lake Khalifa ซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าตึก Burj Khalifa และ Dubai Mall การแสดงน้ำพุที่นี่สุดอลังการด้วยความสูงเท่าตึก 50 ชั้นเลยทีเดียว นับเป็นการแสดงน้ำพุที่สูงที่สุดในโลก (แต่อาจไม่ได้สวยที่สุดในโลก)
อีกหนึ่งที่สุดที่ใครก็ตามเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นดูไบ นั่นก็คือ The Palm Islands หรือเกาะต้นปาล์ม เกาะสวรรค์กลางอ่าวเปอร์เซีย เกาะที่สร้างขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ เป็นอภิมหาโปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่ของเมืองดูไบที่พัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้เป็นแหล่งความเจริญ ทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และรีสอร์ตต่างๆ สถาปัตยกรรมแบบมหานครแอตแลนติสโบราณที่โดดเด่นอยู่กลางเกาะคือ Atlantis Hotel Palm Jumeirah โรงแรมสุดหรูอลังการงานสร้างมากๆ ภายในมีทั้งร้านอาหาร บาร์ อควาเรียม และสวนน้ำขนาดใหญ่
จากเกาะต้นปาล์ม ฉันเดินทางต่อไปยัง Souk Madinat Jumeirah ตลาดพื้นเมืองของที่นี่จะเรียกว่า ซุก (souk) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของดูไบที่ตั้งอยู่ภายในรีสอร์ต ถึงแม้จะเป็นตลาดโบราณแต่มีการตกแต่งให้ดูทันสมัย บรรยากาศในตลาดน่ารัก และมีสินค้าที่น่าสนใจมากมาย เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของที่ระลึก เฟอร์นิเจอร์โบราณ โปสการ์ด ฉันลองนั่งเรือชมบรรยากาศรอบๆ รีสอร์ต พี่คนพายเรือชี้ชวนได้ดูห้องพัก ส่วนตัวของดาราฮอลลีวูดและผู้นำประเทศต่างๆ เดาได้ไม่ยากว่าราคาที่พักแห่งนี้จะสูงมากขนาดไหน นักเดินทางกระเป๋าติดดินอย่างฉันก็คงได้แต่มองชมบรรยากาศด้านนอกเท่านั้น
ออกจาก Souk Madinat Jumeirah ฉันลองแวะไปเหยียบผืนทรายริมทะเล ดูไบกันบ้าง ชายหาด Jumeirah beach เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรู 7 ดาวแห่งเดียวของโลก Burj Al Arab หรือโรงแรมเรือใบ กลายเป็นแลนด์มาร์คของเมืองดูไบ ตึกรูปเรือใบช่างเข้ากับหาดทรายสีขาวละเอียด เหมือนเรือใบกำลังล่องลอยอยู่ในทะเล น้ำทะเลที่นี่ ใสและสีฟ้าสวย แต่ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ที่สะท้อนลงบนหาดทราย ทำให้อากาศริมทะเลแห้งและร้อนระอุ บวกกับหมอกที่ปกคลุมริมทะเลทำให้ฉันไม่สามารถเชยชมความสวยของโรงแรมเรือใบได้นานท่ามกลางนครดูไบอันทันสมัย ไม่น่าเชื่อว่ายังมีย่านเมืองเก่าในเขตเดียรา (Deira) ให้ได้เที่ยมชมกันด้วย
เขตเมืองเก่านี้ตั้งอยู่ริมคลอง Dubai Creek เราสามารถนั่งเรือข้ามฟากแบบโบราณ (Abra) จากฝั่งเมืองใหม่ ด้วยค่าโดยสารที่อาจจะถูกในโลก ในราคาเพียง 1 AED หรือ 9 บาทเท่านั้น ที่ฝั่งเมืองเก่านี้มีชีวิตชีวา เราจะได้เห็นวิถีชีวิตอีกแบบของคนท้องถิ่นที่แตกต่างจากในเมืองลิบลับ จากท่าเรือเดินไปไม่ไกลก็เจอ “ตลาดเครื่องเทศ” (Spice Souk) ที่มีเครื่องเทศของชาวอาหรับนานาชนิดหอมตลบอบอวน เมื่อเดินเข้าซอยลัดเลาะไปเรื่อยๆ ก็เจอกับ “ตลาดทอง” (Gold Souk) ซึ่งแต่ละร้านมีทองอร่าม ความยิบยับวับวาวของทองรูปพรรณมากมายหลากหลายรูปแบบสะท้อนเข้าตาเชื้อเชิญให้แวะเวียนเข้าไปชม สมกับเป็น The City of Gold เสียจริงๆ
บ่าย 3 โมง เป็นเวลาเริ่มต้นของการผจญภัยในทะเลทราย (Desert Safari) ไฮไลท์ของการท่องเที่ยวในดูไบ พี่คนขับรถของบริษัททัวร์ที่เพื่อนของฉันได้ติดต่อไว้ให้ นำรถขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) มารับตรงจุดนัดพบ โดยทั่วไปรถ 1 คัน จะรับนักท่องเที่ยว 6 คน ฉันเดินทางไปกับเพื่อน 2 คน เราจึงต้องแจมกับพี่สาวชาวฟิลิปปินส์อีก 4 คนที่มากันเป็นทีม พี่คนขับนำพาเราหันหลังให้ตึกสูงในเมืองมุ่งหน้าสู่ทะเลทราย ออกจากตัวเมืองดูไบประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็มาถึงทะเลทรายอันกว้างใหญ่สุดลูกตาที่มองไปทางไหนก็ดูเวิ้งว้าง
ก่อนจะเริ่มกิจกรรมตะลุยเนินทราย (Dune Bashing) พี่คนขับหันมาถามพวกเราว่า “Are you ready?”
Yes!!! พวกเราตะโกนตอบเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังจะเจอกับอะไรบ้าง ทะเลทรายที่ดูราบเรียบ แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยเนินทรายสูงต่ำลาดชันแตกต่างกันมากมายหลายร้อยลูก พี่คนขับเริ่มพารถพุ่งเข้าหาสันทรายเหล่านั้น พวกเราส่ายหน้าสะบัดหัวไปมาตามแรงเหวี่ยงของรถ เมื่อเริ่มได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าด พี่คนขับก็เริ่มขับรถฉวัดเฉวียงสวิงสวายมากขึ้น ปีนแนวสันทรายที่ลาดชันสูงต่ำเยอะขึ้นเรื่อยๆ เสียงกรี๊ด เต็มพลังเพราะความหวาดเสียวของพวกเราทั้ง 6 คน เป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้พี่คนขับเกิดความสนุกพุ่งเข้าตะลุยเนินทราย เป็นเวลากว่า 15 – 20 นาที ที่พวกเราพยายามนั่งตัวเกร็ง แต่ก็ยังกระเด้งกระดอนไปตามแรงเหวี่ยงจนแทบอาเจียน หัวโขกกันบ้าง มันส์ยิ่งกว่าเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกเสียอีก นับเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบความหวาดเสียวและสนุกสนาน แต่ไม่เหมาะกับคนที่เมารถเป็นอย่างยิ่งค่ะ โชคดีที่มีการจอดพักรถเป็นระยะๆ เพื่อให้ลงไปถ่ายภาพและสัมผัสบรรยากาศกลางทะเลทราย พวกเราถ่ายรูปเล่นกันอย่างสนุกสนานบนเนินทรายสีทองเนื้อละเอียด พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวลงบนเบื้องหลังเนินทราย ให้ความรู้สึกสุดแสนโรแมนติก ฉันอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงชารีฟกับมิเชลล์ จากนวนิยายรักชื่อดังเรื่อง “ฟ้าจรดทราย”
หลังจากจัดระเบียบกับตับไตไส้พุงกันใหม่แล้ว รถก็พาพวกเราไปยังแคมป์กระโจมแบบอาหรับโบราณกลางทะเลทราย ที่นี่จำลองความเป็นอยู่ของชาวเบดูอินที่เคยเร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย ด้านนอกแคมป์มีฟาร์มอูฐให้นักท่องเที่ยวได้ลองขี่อูฐเล่นชมบรรยากาศยามอาทิตย์อัสดง ภายในกระโจมมีอาหารเย็นแบบบาร์บีคิวบุฟเฟ่ต์ให้เราได้ลงลิ้มชิมรสพร้อมเครื่องดื่มนานาชนิด ระหว่างรออาหารสามารถเลือกทำกิจกรรมเพนต์เฮนน่า (Henna Painting) หรือลองสูบชิชาบาเรกุ (Shisha) กันเพลินๆ ก็ได้
ปิดท้ายด้วยการแสดง 2 ชุด ณ ลานกิจกรรมที่ตั้งอยู่ตรงกลางแคมป์ ชุดแรกคือ Tambura Dance นักแสดงชายแต่งกายด้วยสีสันสดใสฉูดฉาด พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาร่วมแสดงด้วย เต้นหมุนตัวไปรอบๆ สวยงามน่าประทับใจ ต่อด้วยการแสดงระบำหน้าท้อง (Belly Dance) โดยสาวนักเต้นไม่ใช่คนพื้นเมือง ที่นี่เพราะมีข้อบังคับทางศาสนา ไม่ใช่แบบหน้าท้องเรียบๆ หุ่นสวยๆ แต่เป็นสาวรัสเซียร่างอวบที่เต้นเก่งมาก เธอเต้นระบำส่ายหน้าท้องเรียกบรรยากาศคึกคักและเสียงปรบมือจากผู้ชมได้ตลอดการแสดงเลยทีเดียว หลังการแสดงจบลง ฉันรู้สึกเหมือนต้องมนต์ทะเลทราย นั่งดูดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าท่ามกลางความมืด เป็นอีกหนึ่งความประทับใจในการเดินทางที่ไม่มีวันลืม ความเป็นที่สุดของดูไบส่งเสริมให้นครทะเลทรายแห่งนี้มีเสน่ห์และน่าค้นหา การมาเที่ยวดูไบเหมือนเปิดโลกใหม่ ทำให้เชื่อในความสามารถของมนุษย์ ได้เห็นความมหัศจรรย์ของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น …จากตึกสูงระฟ้าจรดทะเลทรายสีทอง
– จุดชมวิวของตึก Burj Khalifa สามารถจองล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ ซึ่งจะราคาถูกกว่าซื้อหน้าเคาเตอร์มากกว่าครึ่ง www.burjkhalifa.ae/en/
– Desert Safari: www.lamadubai.com