Nature Awaits : Dolomites

Nature Awaits ธรรมชาติรออยู่ คำนี้น่าจะเหมาะเป็นคำต้อนรับสำหรับคนที่ต้องการมาเยี่ยมเยือนอุทยานแห่งชาติโดโลไมท์ (Dolomite National Park) ประเทศอิตาลี แห่งนี้

โดโลไมท์เทือกเขาหินปูนที่มียอดเขาสูงชันรูปทรงแปลกตาเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่ทอดยาวอยู่ในแคว้นทางตอนเหนือของอิตาลี ลี ครอบคลุมพื้นที่หลายเมืองด้วยกัน โดยเฉพาะ Trento, Bolzano, Belluno, Verona, Vicenza, Udine และ Pordenone ประกอบด้วยพื้นที่ขรุขระมากกว่า 350,000 เอเคอร์ หน้าผาหินที่สูงชัน ธารน้ำแข็งเยือกแข็ง ช่องเขาลึก ป่าอันเขียวชอุ่มและหุบเขาอันเขียวขจี ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยองค์กร UNESCO ในปีพ.ศ. 2552 ในฐานะแหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญต่อการค้นคว้าหินปูนโดโลไมท์ (Dolomitic Limestone) และมีความสำคัญต่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลกในตลอด 250 ล้านปีที่ผ่านมา

ภาพโดย Mario จาก Pixabay

เทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomite)

การเดินทางไปโดโลไมท์ ถ้าขึ้นเครื่องมาสนามบินที่สะดวกแนะนำให้ลงที่ท่าอากาศยานมิลาโนมัลเปนซา (Aeroporto internazionale Milano-Malpensa) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองวาแรส ในแคว้นลอมบาร์เดียจากนั้นเดินทางไปยังแต่ละเมืองในบริเวณโดยรอบได้ หรือ ถ้านั่งรถไฟจากมิลานก็ไปลงที่เมืองพาโดว่า (Padova) ในเวนิส (Venice) จากนั้นต่อรถไฟไปยังเมืองปลายทางที่ชื่อว่า คาโดเร่ (Cadore) จากนั้นต่อรถบัสไปอีกประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง หรือถ้าขับรถส่วนตัวเริ่มต้นจากเวนิส มิวนิค หรืออินส์บรูค แล้วเช่ารถขับไปยังเมืองหลักของโดโลไมท์ไปสามารถใช้เส้นทาง Great Dolomites Road แล้วค่อยๆ ขับไปตามแต่ละพื้นที่ที่อยู่กระจัดกระจายกันได้เช่นกัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 – 4 ชม.ในแต่ละจุดท่องเที่ยว

ภาพโดย alandsmann จาก Pixabay

เทือกเขาโดโลไมท์สามารถเที่ยวได้แทบทุกเดือน ถ้าคุณมาปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน อากาศกำลังเย็นสบาย อุณหภูมิ10 – 15 องศา เป็นช่วงที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี ต้นไม้กำลังผลิดอกออกใบและเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวกำลังเริ่มมาทำให้มีปริมาณนักท่องเที่ยวเที่ยวไม่เยอะ ช่วงปลายเดือนพฤษภา จะมีจัดงาน เทศกาลไวน์ที่ชื่อ “Vino in Festa” โดยนักดื่มไวน์และผู้ผลิตไวน์กว่า 15 แห่งมารวมตัวกันบริเวณตรงถนน South Tyrolean Wine พอเข้าช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน ซึ่งเป็นฤดูร้อน ท้องฟ้าสดใส อากาศปลอดโปร่ง อุณหภูมิประมาณ 21 – 25 องศา ดอกไม้ป่าหลากสีสันจะพร้อมใจกันบานสะพรั่งอย่างสวยงาม ตัดกับป่าสนและทิวเขาสูง สะท้อนกับน้ำในทะเลสาบที่ใสสะอาด และในช่วงปลายเดือนมิถุนายน เคเบิลคาร์ที่มีอยู่มากมายสำหรับขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาต่างๆ ก็จะเปิดให้บริการ สามารถชมวิวได้อย่างงดงามทั้งวิวระหว่างทางและวิวบนยอดเขาสูง เป็นช่วงที่เรียกว่า ไฮซีซั่น นักท่องเที่ยวคับคั่งมากทีเดียวโดยเฉพาะเดือนสิงหาคม พอเข้า เดือนตุลาคม – ธันวาคม อากาศก็จะเริ่มเย็นลงเป็นประมาณ 13 – 18 องศา เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่นักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเราชอบเป็นอย่างมาก พอเข้าเดือนมกราคม – มีนาคม หิมะก็จะเริ่มปกคลุมกาศค่อนข้างหนาวเย็น อุณหภูมิประมาณ 1 องศาจนถึง -10 องศาเลยทีเดียวแต่ก็ได้ความสวยงามไปอีกรูปแบบหนึ่ง

ที่เที่ยวในอุทยานแห่งชาติโดโลไมท์มีมากมายหลายที่ยกตัวอย่างเช่น

ภาพโดย BÙI VĂN HỒNG PHÚC จาก Pixabay

โบลซาโน่ (Bolzano)

เมืองโบลซาโน เมืองหลวงแสนสวยของแคว้น South Tyrol ทางตอนเหนือของอิตาลี ประตูสู่เขตอุทยานแห่งชาติโดโลไมท์ และเป็นต้นกำเนิดของเวเฟอร์ชื่อดังอย่าง Loacker ล้อมรอบด้วยภูเขา ป่าสน และไร่องุ่น มีย่านการค้าทันสมัย และ ย่านเมืองเก่าที่มีสถาปัตยกรรมโบราณยุคกลาง พิพิธภัณฑ์มากมาย เมืองที่น่าอยู่ที่สุด เพราะได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในอิตาลี ที่คุณจะได้ดื่มด่ำบรรยากาศของเมืองน่าอยู่ ทั้งอากาศดีๆ ธรรมชาติสวยๆ แหล่งปลูกไวน์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี วิถีชีวิตแบบโลคอล ไฮไลท์สุดน่ารักของโบลซาโน่อยู่ที่ตลาดนัดท้องถิ่นที่จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์ เป็นตลาดนัดกลางแจ้งขนาดใหญ่ ที่มีของใช้ ของกิน ผลไม้ ดอกไม้ และอื่น ๆ สารพัดอย่าง

ภาพโดย Ralf Ruppert จาก Pixabay

หมู่บ้านซานตา แมดดาเลนา (Santa Maddalena)

เริ่มกันที่ หมู่บ้านซานตา แมดดาเลนา หรือ St. Magdalena ในภาษาเยอรมัน คือหมู่บ้านวิวสวรรค์กลางพื้นที่หุบเขาในชุมชน Val di Funes หรือ Villnöß  เมืองเบลลูโน หมู่บ้านชนบทเล็กๆ ที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 370 คนเท่านั้น ตั้งอยู่ที่เชิงเขารูเฟน (Ruefen) ในหุบเขาฟูเนส (Funes)  อยู่ที่ระดับความสูงกว่า 1,334 เมตร ล้อมรอบด้วยเทือกเขา Odle และทุ่งหญ้าเขียวขจี แม้จะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก แต่วิวของหมู่บ้านแห่งนี้ สวยงาม อลังการจนทำให้หลายคนเลือกที่จะเดินทางมาที่นี่ ภายในหมู่บ้านนอกจากบ้านเรือนสไตล์อัลไพน์กระจัดกระจายอยู่ตามหุบเขาไม่กี่หลัง ฟาร์มปศุสัตว์ โรงนาแล้ว ยังมีโบสถ์เก่าแก่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือชื่อว่า โบสถ์เซนต์มักดาเลนา’ หรือ ‘ซานตา แมดดาเลนา’ (Church of Santa Maddalena) เป็นโบสถ์ยุคกลางคือหนึ่งในสถานที่ที่มีการถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งตัวโบสถ์นั้นตั้งอยู่ที่เชิงเขารูเฟน และมีกลุ่ม ‘ภูเขาฟันเลื่อย’ หรือ ‘เปลวไฟหินแห่งโดโลไมต์’ (Odle di Funes) เป็นฉากหลังที่งดงามน่าประทับใจ  เรียกว่าที่นี่เป็นจุดชมวิวที่โด่งดังที่สุดในโดโลไมท์เลยก็ว่าได้  และทุกปีในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมจะมีการเฉลิมฉลองวันโบสถ์ตามประเพณีของนักบุญแมดดาเลนา

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่นอกจากจะมาสัมผัสภาพวิวที่งดงามของที่นี่แล้ว ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วงผู้คนยังนิยมมาปีนเขา และในฤดูหนาวก็มาสนุกสนานกับการเล่นสกีกันอีกด้วย

ภาพโดย Elias Obernosterer จาก Pixabay

ยอดเขาซิเซด้า (Seceda)

หนึ่งในกิจกรรมที่แนะนำหากต้องการเห็นมุมวิวสูงคือ การนั่งกระเช้าขึ้นไปที่ยอดเขาซิเซด้าตั้งอยู่ทางทิศะวันออกเฉียงเหนือของเมืองออร์ติเซ (Ortisei) เป็นยอดเนินคล้ายเปลวไฟที่แข็งเป็นหิน จนมีคนตั้งสมญานามให้ว่า “Flame frozen in stone” เป็นทุ่งหญ้าลาดเอียง สวยอลังการสมคำล่ำลือ จากบนยอดเขาจะมองเห็นวิวยอดเขา Sass Rigais และ Furchetta ซึ่งมีความสูงราว 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มียอดแหลมราวกับปากฉลาม เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของยอดเขาโดโลไมท์ที่มีทั้งหมด 18 ยอด บนยอดเขามีเส้นทางเดินชมวิวมากมาย แวดล้อมไปด้วยทุ่งดอกไม้ป่านานาชนิดที่ออกดอกบานสะพรั่งอย่างสวยงาม  

ในฤดูหนาวจะมีนักเล่นสกีขึ้นมาเป็นจำนวนมากเพื่อเล่นสกี ส่วนฤดูร้อนจะขึ้นมาเพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่งดงามตระการตาแบบพาโนรามา โดยพื้นที่ทั้งหมดอยู่ในเขตอนุรักษ์ชื่อ Parco Naturale Cisles-Odle (nature reserve) จุดสูงสุดของกระเช้าอยู่ที่ความสูงราว 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มองเห็นวิวเทือกเขาโดโลไมท์ได้อย่างชัดเจน หากอากาศดีจะมองเห็นได้ไกลถึงเทือกเขาแอลป์ฝั่งประเทศอิตาลีเลยทีเดียว ตื่นตาตื่นใจกับวิวภูเขาและทุ่งดอกไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งอย่างเต็มที่ หากอากาศดีจะมองเห็นได้ไกลถึงเทือกเขาแอลป์ฝั่งประเทศอิตาลีเลยทีเดียว

ภาพโดย Andre Martinez จาก Pixabay

ทุ่งหญ้าแอลป์ดิซูซี่ (Alpe di Siusi)

ทุ่งหญ้าแอลป์ดิซูซี่ ทุ่งหญ้าอัลไพน์ที่ใหญ่และสูงที่สุดในยุโรปและเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์บนเทือกเขาแอลป์ที่น่าทึ่งที่สุดในโลก มีพื้นที่ 56 ตารางกิโลเมตร ที่ราบสูงที่กว้างที่สุดของยุโรปและทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทอดยาวจากระดับน้ำทะเล 1,680 ถึง 2,350 เมตร ทางตะวันออกของโบลซาโน  นอกจากจะเป็นทุ่งหญ้าแล้ว ยังมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงามอีกด้วย นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นสกีกันในช่วงหน้าหนาว และจะมาเดินป่าชมธรรมชาติในช่วงหน้าร้อน นับเป็นเป็นอีกจุดไฮไลท์หนึ่งเส้นทางสายโดโลไมท์เลยก็ว่าได้

ทะเลสาบเบรียส (Lake Braies)

ทะเลสาบเบรียส (Lake Braies -Lago di Braies ในภาษาอิตาเลียน หรือ Pragser Wildsee ในภาษาเยอรมัน) ทะเลสาบที่ใหญ่แห่งหนึ่งในโดโลไมท์ของอิตาลี และติดอันดับทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก เป็นไข่มุกเม็ดงามแห่งโดโลไมท์ มีอีกชื่อคือ “Lec de ergobando” แปลว่า ทะเลสาบสายรุ้ง ตั้งชื่อตามสีของน้ำในทะเลสาบที่มีหลายเฉดสี ทั้ง สีเขียว สีฟ้าเทอร์ค้อย และสีน้ำเงิน ผสมกันสวยงาม เป็นทะเลสาบที่ทางองค์กรยูเนสโกจัดให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Fanes Sennes braies บนพื้นที่ความสูง 1,496 เมตรแห่งนี้มีความยาว 1.2 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 300-400 เมตร โดยมีพื้นที่ผิวน้ำประมาณ 31 เฮคเตอร์ แคว้น Trentino-Alto Adige/Südtirol

ทะเลสาบเบรียสเฉิดฉายส่องประกายความสวยในทุกฤดูกาล  น้ำทะเลสาบที่เปลี่ยนฉากหลังไปในทุกฤดูกาล  ในฤดูหนาวที่นี่จะมีฉากหลังเป็นภูเขาตระหง่านปกคลุมด้วยความขาวของหิมะ ส่วนในฤดูร้อนก็จะเห็นความเขียวขจีของต้นสนที่อุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูร้อน  หากมาท่องเที่ยวชมทะเลสาบในฤดูใบไม้ร่วงต้นสนรอบทะเลสาบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองเพิ่มสีสัน  เดินเล่นรอบทะเลสาบ ถ้ามาช่วมิ.ย.ถึงประมาณต.ค. ก็สามารถเช่าเรือไม้ลงไปพายเล่นรอบทะเลสาบ สามารถชื่นชมกับวิวอลังการอย่างใกล้ชิด สวยแทบลืมหายใจ สูดบรรยากาศบริสุทธิ์ปลอดโปร่งโล่งสบาย  ธรรมชาติอัดแน่น

ภาพโดย Francesco Cirelli จาก Pixabay

ทะเลสาบมิซูริน่า (Lake Misurina)

สวยจนแทบลืมหายใจ น่าจะได้เหมาะกับทะเลสาบมิซูริน่าแห่งนี้ ในวันที่ลมสงบน้ำในทะเลสาบมิซูรินาจะนิ่งเป็นเหมือนกระจกบานใหญ่เป็นสะท้อนภาพภูเขาลงบนผืนน้ำ งดงามจนยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการถูกถ่ายภาพมากที่สุดอีกแห่งของโดโลไมท์  ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองคอร์ตินา (Cortina) ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,754 เมตร มีขนาดใหญ่ที่สุดในแถบ Cadore ความยาว 2.6 กิโลเมตร แต่จุดลึกสุดเพียงแค่ 5 เมตร ที่เห็นอยู่ปลายทะเลสาบคือศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ    ซึ่งมีเบื้องหลังเป็นเทือกเขา ล้อมรอบด้วยทิวสนสีเขียวขจี ในช่วงฤดูร้อน และในช่วงฤดูหนาวก็มีหิมะปกคลุมสะท้อนทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างชัดเจน

รอบๆทะเลสาบจะมีร้านอาหาร ร้านให้เช่า อุปกรณ์สกี และมีลานสกีตั้งอยู่ไม่ไกล ในช่วงฤดูหนาวทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งสามารถเล่นสเก็ตน้ำแข็งได้  หรือเล่นสกียอ่มได้ในปี ค.ศ. 1956 ที่ทะเลสาบนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้ที่จัดกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาว หากมาในช่วงฤดูร้อนผู้คนนิยมมานอนอาบแดด คลาย ชมวิวทิวทัศน์ พายเรือ สูดอากาศบริสุทธิ์หรือตกปลากัน

ภาพโดย Bina243 จาก Pixabay

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0

เรื่องที่เกี่ยวข้อง :