Miracle Of Nature & Culture Dali – Lijiang
Story by Cold River FB : coldriverpage
ยามลมหนาวมาเยือนช่วงปลายปี นอกจากความชุ่มเย็นและกลิ่นสดชื่นเฉพาะตัวแล้ว สำหรับผมมันคือตัวกระตุ้นชั้นดีที่ปลุกวิญญาณของนักเดินทางให้ออกไปพบเจอ สัมผัส ซึมซับเสน่ห์ของโลกกว้าง และหนึ่งในดินแดนที่เป็นจุดหมายอันเหมาะเจาะ มีครบทั้งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และความงดงามน่าทึ่งทางศิลปวัฒนธรรม จนมีคนกล่าวว่าเป็นดินแดนอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก และไม่มีความงดงามทางธรรมชาติใดที่ไม่มีในประเทศนี้ ผมกำลังกล่าวถึงประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน นั่นเอง
แต่ด้วยอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล และข้อจำกัดด้านเวลา และอื่นๆ อีกมากมาย จำต้องเฉพาะเจาะจงในการเดินทางครั้งนี้ จนมาลงตัวที่มณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนมีอาณาเขตติดกับภูมิภาคอาเซียน และหากวัดจากระยะชายแดนถือว่าอยู่ใกล้กับประเทศของเรามากที่สุดมณฑลหนึ่ง และเมืองที่เราเฝ้าฝันจะไปนั่งมองเนิ่นนานด้วยสายตาตัวเอง คือเมืองที่ถือเป็นเพชรเม็ดเอกที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้าไป นั่นคือ เมืองต้าลี่ และลี่เจียง 2 เมืองที่มีความเป็นเมืองเก่าเหมือนกัน
แต่ด้วยเพราะเป็นถิ่นของชนกลุ่มน้อยแตกต่างกัน ทั้ง 2 จึงมีทั้งความเหมือน และความต่างอันมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจการเดินทางของเราเริ่มต้นด้วยการบินข้ามฟ้าจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองหลักของมณฑลอย่างคุนหมิง เพียงแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเครื่องก็ร่อนจอดนิ่งที่สนามบิน Kunming Changshui International Airport สนามบินใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน และที่นี่เองได้สร้างความประทับใจแรกพบ และตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของสถาปัตยกรรมทรงโค้งสีน้ำตาลอมทองที่บรรจงตกแต่งสนามบิน ความสะอาด โอ่โถง และสะดวกสบาย สมกับสนามบินที่ได้ชื่อว่ามีความใหญ่โตทันสมัยเป็นอันดับ 4 ของประเทศรองจากสนามบินในเมืองปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว
ประมาณไม่ถึงชั่วโมงก็ฝ่าฝูงชนที่สถานีรถบัสจนได้ตั๋วที่จะเดินทางไปเมืองต้าลี่ ในรูปแบบของรถบัสขนาดกระทัดรัด ที่นั่งแคบหน่อยแต่สะอาดกว่าที่คาดหวังไว้พอประมาณ รถออกเดินทางแทบทันทีที่เรานั่งประจำที่ ผ่านบ้านเมืองที่เริ่มจากหนาตา ค่อยๆ ทิ้งระยะห่างจนในที่สุดเป็นทิวทัศน์สวยงาม ทั้งภูเขาสูง ไร่นาเขียวขจี และบ้านเรือนทรงโบราณหลังเล็ก สามารถนั่งชมได้ไม่มีเบื่อ จนรถแวะพักกลางทางที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ที่นี่แหละที่เราจะได้พิสูจน์สิ่งที่เราโดนขู่ก่อนมาเรื่องห้องน้ำชวนสยองของเมืองจีน กลั้นใจตรงดิ่งไปยังห้องน้ำที่อยู่โซนด้านหลัง แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่เจอคือห้องน้ำกว้างขวาง ทันสมัย มีประตูครบทุกห้อง อีกทั้งยังสะอาดหมดจดอย่างไม่น่าเชื่อ อคติที่มีต่อห้องน้ำจีนเมื่อก่อนมลายหายสิ้น นี่คงเป็นอานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลจีนที่จริงจังและยกขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ ทำการพัฒนาห้องน้ำสาธารณะทั่วประเทศโดยตั้งมาตรฐานว่าต้องสะอาดไร้กลิ่น และไม่คิดค่าบริการ ห้องน้ำที่เคยเป็นฝันร้ายของนักท่องเที่ยวคงจะค่อยๆ หมดไปและหวังว่าจะสูญพันธุ์ไปในเวลาอันใกล้นี้
เวลาผ่านไปพร้อมกับความมืดที่เริ่มปกคลุมทั่วบริเวณ เราก็มาถึงเมืองต้าลี่ฝั่งเมืองใหม่ ทันทีที่ก้าวลงจากรถบัสก็โดนจู่โจมโดยกลุ่มคุณลุงแท็กซี่ที่ตะโกนเรียกลูกค้าพร้อมรูปถ่ายโรงแรมในมือ แต่เพราะความหนาวที่เพิ่มดีกรีขึ้นกับภาษาจีนเล่นเอามึนงงจึงค่อยๆ แทรกตัวออกมาจากฝูงชนออกเดินไม่ไกลไปถูกชะตากับคุณป้าที่เรียกลูกค้าขึ้นรถอย่างสงบเสงี่ยมทำเอาเราเดินตามป้าไปอย่างว่าง่าย รถแล่นฝ่าความมืดเพียงอึดใจเราก็เดินทางมาถึงใจกลางของเมืองเก่าต้าลี่ แต่เราประเมินพลาดไปนิดตรงที่คิดว่าเมืองเก่าคงมีขนาดเล็ก เดินหาโรงแรม Bamboo House ที่เราจองไว้ล่วงหน้าไม่น่าจะใช่เรื่องยาก กาลกลับเป็นว่าเมืองเก่าแห่งนี้ขนาดไม่ธรรมดา กว่าจะถึงที่พักเลยต้อง เดินโต้ลมหนาวกันอยู่พักใหญ่ ทำเอาหมดเรี่ยวแรงทันทีที่เก็บข้าวของเรียบร้อยได้เพียงออกมาเดินหาอาหารเย็นกันแบบง่ายๆ และพักผ่อนในที่พักบรรยากาศของบ้านชนชาติไป๋ ชาวพื้นเมืองของต้าลี่ เพื่อเอาแรง สำหรับการเที่ยวชมเมืองโบราณแห่งนี้แบบเต็มๆ ในวันรุ่งขึ้น
ต้าลี่ : ละเลียดเมืองเก่า
เช้าแรกเราตื่นขึ้นมาพร้อมไออุ่นจากที่นอนไฟฟ้าที่เปิดไว้แรงสุดเมื่อคืน มาสัมผัสความหนาวที่แท้จริงเมื่อสลัดผ้าห่มออกจากตัวนั่นแหละ รีบวิ่งไปจัดการธุระยามเช้าแบบเร่งรีบ กระชับเสื้อกันหนาวให้พร้อมสำหรับการท่องเมืองเก่าตั้งแต่รุ่งสาง เราค่อยๆ เดินออกจากถนนสายเล็กๆ ของที่พัก บรรยากาศยังคงสลัวและเงียบสงบ บ้านเรือน โบราณที่ปรับสภาพเป็นร้านค้ารองรับนักท่องเที่ยวแต่ยามนี้ยังคงหลับใหล สงบนิ่งอยู่ริมทาง มีเพียงร้านขายน้ำเต้าหู้ที่มีไฟสลัวและควันจากหม้อบนเตาไฟคลุ้งเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี เราออกเดินไปเรื่อยๆ จนแสงสีทองเริ่มทาทับที่ปลายฟ้า ความมืดที่ปกคลุมค่อยๆ คลี่ออก เผยบ้านเรือนสีขาว ชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง ที่สร้างตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของชาวไป๋ โดยเฉพาะลวดลายที่แต่งแต้มไว้บนผนังอันเรียบง่ายแต่งดงาม และบานประตูหน้าต่างไม้แกะสลักอันอ่อนช้อย ตลอดเส้นทางที่ปูด้วยหิน เคล้าคลอด้วยเสียงน้ำไหลริน เมืองที่ตั้งอยู่ภายในกำแพงและประตูเมืองแต่ละทิศอันแน่นหนาของเมืองเก่าต้าลี่ ทำให้สัมผัสได้ถึงความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีต ที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรน่านเจ้า ที่เคยแผ่อิทธิพลไปทิศต่างๆ ทั้งซื่อชวนในทางเหนือ พม่าในทางใต้ และเวียดนามในทางตะวันออก
แต่ที่สะดุดใจเรามากที่สุดกลับเป็นตลาดของเมืองต้าลี่ ที่ซุกซ่อนอยู่ในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง เสียงจอแจและความโกลาหลเรียกความสนใจจากเราได้ในทันทีจนอดใจไม่ไหวที่จะก้าวเข้าซอยนั้น บรรดาข้าวของนานาชนิดที่ชาวบ้านนำมาวางขายอย่างเรียบง่าย บางส่วน เอาผ้าหรือพลาสติกปูกับพื้นมันกลายเป็นเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเครื่องแต่งกายของพ่อค้า แม่ขายและลูกค้าแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นชุดพื้นเมืองของชาวไป๋ ที่ผู้หญิงมักมีผ้าสีสดปักลวดลายคาดไว้ที่ศีรษะ เสื้อแขนยาว ทับด้วยเสื้อกั๊กหลากสี กางเกงขายาวพร้อมผ้ากันเปื้อน และที่ขาดไม่ได้คือตะกร้าสานที่สะพายไว้ที่หลัง ทำเอาเราเพลิดเพลินเดินชมตลาดอยู่นานกว่าที่ตั้งใจเอาไว้
จนใกล้เวลาที่เรานัดกับรถที่จะพาเราลัดเลาะเที่ยวรอบทะเลสาบเอ๋อไห่ใกล้เข้ามา จึงต้องตัดใจก้าวยาวๆ ให้ทันเวลา แต่กลับผ่านถนนสายหนึ่ง ที่แตกต่างจากถนนสายอื่นที่เราผ่านมาตรงที่ต้นไม้ริมถนนแทนที่จะเป็นต้นหลิวสีเหลืองอร่ามกลับเป็นดอกซากุระแห่งเมืองต้าลี่ เปล่งสีชมพูเป็นแนวยาว เมืองที่สวยอยู่แล้ว เพิ่มดีกรีความโรแมนติกขึ้นหลายเท่า ถ้าใครเดินผ่านไปเฉยๆ โดยไม่ยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพคงจะดูใจแข็งเกินไปหน่อย นั่นคือเหตุผลที่ทำเอาเราไปสายกว่าที่นัดหมายไปหลายนาที
เอ๋อไห่ : ลัดเลาะริมทะเลสาบ
คุณลุงคนขับแท็กซี่ผู้ยิ้มแย้มและหน้าตาใจดีพาเราแล่นผ่านตัวเมือง ค่อยๆ ออกมาสู่นอกเมือง สองข้างทางเป็นพื้นที่เพาะปลูกกว้าง และมีทะเลสาบอยู่ไกลลิบๆ และมาจอดที่ลานกว้างเพื่อให้เราได้แวะชม Three Pagodas of Chongsheng Temple หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญเมืองต้าลี่ และถือเป็นที่ท่องเที่ยวระดับสูงสุด 5 ดาวของเมืองจีน แม้จะต้องมองกันแบบไกลๆ แต่ลมที่พัดแรงสะใจ นกสีทองสะท้อนแสงแดดอุ่น และแม่ค้าถือตะกร้าผลไม้ขวักไขว่ดูคึกคักดีทีเดียว เจดีย์ทั้ง 3 นี้ มีประวัติความเป็นมานับพันปี โดยเฉพาะเจดีย์องค์กลางหรือ Qianxun Pagoda ที่สร้างตั้งแต่ราชวงศ์ถัง และถือเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในสมัยนั้นคือสูง 69.13 เมตร แบ่งเป็น 16 ชั้น ส่วนเจดีย์ขนาบข้างอีก 2 องค์ซ้ายขวาถึงสร้างขึ้นภายหลังมีขนาดและความสูงน้อยกว่า เมื่อครั้งเริ่มสร้างมีความเชื่อว่า ในตอนนั้นบ้านเมืองเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เมื่ออิงตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของมังกร เมื่อพลิกตัวจะนำมาซึ่งน้ำท่วมครั้งใหญ่ การสร้างเจดีย์ใหญ่เป็นตัวแทนทับมังกรไว้ จนเป็นที่มาอีกชื่อหนึ่งของเจดีย์ว่า “เจดีย์ข่มมังกร” นั่นเอง
จากนั้นนั่งรถต่อมาอีกไม่นาน เมื่อแวะชมหมู่บ้านสี่โจว หมู่บ้านที่อนุรักษ์ให้ใกล้เคียงกับความเป็นอยู่ของชาวไป๋เมื่อครั้งอดีต ให้เราได้ศึกษารวมทั้งการแสดงพื้นเมืองอีกหลากหลายชุดก่อนจะออกเดินทางกันต่อ ตลอดทางได้ชมวิวของทะเลสาบ Erhai แหล่งน้ำที่หล่อเลี้ยงชาวเมืองมาแต่ครั้งโบราณ ที่มาของชื่อเอ๋อไห่ที่แปลว่าใบหู ได้มาจากรูปลักษณ์ของทะเลสาบ ที่นี่ได้ชื่อว่า “ไข่มุกบนที่ราบสูง” เพราะจัดเป็นทะเลสาบที่มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศคือพื้นที่ประมาณ 250 ตารางกิโลเมตร ความยาวโดยรอบ 116 กิโลเมตร ผ่านเวลามาพอสมควรเราแวะกันที่จุดชมวิวของเมืองชาวประมงซวงหลาง ที่สามารถมองออกไปเห็นบ้านเมืองสีขาวอมเหลือง ที่ยื่นออกไปยังผืนน้ำสีฟ้าสดที่ตัดกัน ให้เกิดเป็นภาพอันงดงาม ให้เราได้หยุดมองและชื่นชมนิ่งเงียบงัน ก่อนจะแวะหาข้าวเที่ยงรับประทานกันแบบง่ายในเมืองชาวประมงแห่งนี้
ปิดท้ายการเที่ยวรอบทะเลสาบกันที่ “เกาะผู่ถัวน้อย” อันเป็นภาพฝันและเป็นแรงผลักดันให้บรรจุการเที่ยวชมรอบทะเลสาบในครั้งนี้ หลังจากนั่งรถมาครึ่งค่อนในที่สุดฝันก็เป็นจริงจนได้ ภาพเกาะขนาดเล็กจิ๋ว ที่บนเกาะเป็นศาลเจ้าแม่กวนอิม เรือพายที่แล่นรับส่งผู้ศรัทธาเจ้าแม่ที่ไปกราบไหว้เจ้าแม่บนเกาะวิ่งขวักไขว่ไปมา พร้อมกับนกนางนวล สีขาว ที่บินว่อนและส่งเสียงก้อง มันช่างน่าประทับใจ และปิด ทริปการเที่ยวเมืองต้าลี่คราวนี้ได้อย่างงดงามหมดจดจริงๆ
ลี่เจียง : ดั่งเมืองที่ต้องมนต์
ถัดจากต้าลี่มาไม่ถึง 200 กิโลเมตร ยังมีอีกเมืองหนึ่งที่เป็นที่ต้องตาต้องใจนักท่องเที่ยวรวมทั้งผมด้วย นั่นคือเมืองโบราณลี่เจียง เมืองที่ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าเมืองต้าเหยียน (Dayan) มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่ง – ตอนต้นราชวงศ์หยวน โดยชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่คือชาวหน่าซี ชนเผ่าเก่าแก่เผ่าหนึ่งที่มีความเจริญก้าวหน้าไม่แพ้ใคร มีศิลปะวัฒนธรรมที่มีส่วนผสมระหว่างฮั่น ไป๋ ธิเบตเข้าด้วยกัน จนเกิดอัตลักษณ์ ของชาวหน่าซี โดยเฉพาะอักษรภาพตงปา ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันของความเจริญก้าวหน้าทางศิลปวิทยากร
เรามาถึงเมืองลี่เจียงช่วงบ่ายแก่ๆ และได้รับการต้อนรับแบบหลงทิศหลงทาง เพราะเมืองแห่งนี้มีบ้านเรือนปลูกแน่น ซอกซอยเล็กน้อยวกวน ถ้าใครมาเมืองนี้แล้วไม่หลงถือว่ามาไม่ถึงกันทีเดียว หลังจากพยายามจนเหงื่อตกเราก็มาถึงที่พักที่เราจองไว้ซึ่งตั้งแต่ชายขอบด้านหนึ่งของเมืองเก่า หลังจากวางกระเป๋าเรารีบออกเที่ยวในทันที โดยเริ่มต้นกันที่สระมังกรดำ หรือ เฮยหลงถาน (Heillongtan) สระน้ำขนาดใหญ่ มีพื้นที่ถึง 11,390 ตารางเมตร สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง นอกจากน้ำสีเขียวมรกตใสราวกระจกแล้ว ยังเป็นจุดที่สามารถมองเห็นภูเขาหิมะมังกรหยกได้สวยงามมากอีกจุดหนึ่ง ช่วงปลายปีที่พวกเราไปได้โบนัสเบาๆ เมื่อมีต้นไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองอร่ามให้ชมอยู่หลายต้น และสวยมากเป็นพิเศษเมื่อต้องกับแสงยามเย็น การเดินเล่นวันนั้นจึงแสนสบาย และมีความสุขมากจริงๆ
เราเดินกันจนแสงเริ่มอ่อนลง รีบเดินกลับเข้าสู่ตัวเมืองลี่เจียง เพราะเป้าหมายของเราคือขึ้นเนินสิงโตหรือว่านกู่โหล เพื่อชมอีก 1 จุดต้องห้ามพลาดของการมาเที่ยวเมืองนี้ แต่กว่าจะได้ชมต้องออกแรงมากทีเดียว เพราะเดินไต่ความสูงตามขั้นบันไดไปเรื่อยๆ แม้ 2 ข้างทางจะมีร้านขายของ ขายขนม ขายอาหารล่อตาล่อใจ แต่ต้องเร่งเดินเพื่อแข่งกับเวลา ความเหนื่อยจึงเพิ่มดีกรีมากกว่าปกติ ในที่สุดเราก็มาถึงที่หมาย ทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง เห็นเมือง ลี่เจียงทั้งเมือง กับมุมพิเศษคือทะเลหลังคาสีน้ำตาลหม่นเป็นแนวยาว (ออกไปสุดตา ได้ความรู้สึกย้อนยุคเหมือนชมหนังกำลังภายในที่แสนคุ้นเคยในวัยเด็กนั่นทีเดียว เมื่อชมจนหนำใจแล้วเราค่อยๆ เดินเรื่อยๆ ชมเมือง และหาข้าวเย็นรับประทาน ซึ่งมีให้เลือก มากมายมหาศาล เพราะเมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองโบราณท่องเที่ยว โดยสมบูรณ์แบบแล้ว อาจจะดูพลุกพล่านวุ่นวายกว่าต้าลี่เมืองที่เพิ่งจากมา แต่เมื่อมองกลับอีกเมืองก็ได้ความรู้สึกอีกแบบ ทั้งความทันสมัย มีสินค้าแทบทุกสิ่งทุกอย่าง และแอบมีผับส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายปนกับเสียงสนุกสนาน ที่อยู่ท่ามกลางความโบราณ ของเมือง มันช่างเป็นความขัดแย้งที่น่าสนใจดีจริงๆ
ภูเขาหิมะมังกร : มหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ
ยามเช้าอันหนาวเหน็บในลี่เจียง เราตื่นกันมานั่งรอรถที่นัดไว้ตั้งแต่ฟ้ายังมืด โชคดีที่ได้กาแฟรสชาติเข้มข้น กับแซนวิชทูน่าที่สั่งกับที่พักให้เตรียมไว้ให้ทำให้ตาสว่างพร้อมออกเดินทาง รถค่อยๆ วิ่งไปเรื่อยๆ ตรงสู่ภูเขาหิมะมังกรหยกที่เรารอคอยมาหลายวัน ตลอดเส้นทางสวยงาม จึงเป็นอีกหนึ่งวันที่นั่งรถกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งมาจอดที่ลานจอดรถกว้าง คนขับรถชี้ไปยังอาคารที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักว่าที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นสู่ภูเขาหิมะมังกรหยก และสามารถซื้อตั๋วกระเช้า และค่าธรรมเนียมเข้าชมได้ที่นั่น
หลังจากซื้อตั๋วเรียบร้อย ต้องผ่านอีกหลายด่านกว่าจะได้ชมความงามกัน ด่านแรกรอคิวยาวตั้งแต่ต้นเพื่อขึ้นรถบัสขึ้นเขาไต่ความสูงไปพอประมาณ ลงมาต่อคิวอีกรอบสำหรับการขึ้นกระเช้า ซึ่งคราวนี้ใช้เวลารอนานกว่าหลายเท่า ทั้งที่เราเลือกมาแต่เช้า แต่เหมือนว่ามีคนคิดอย่างเดียวกันกับเราจำนวนไม่น้อย เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงกว่าเราจะได้ก้าวขึ้นสู่กระเช้าที่รอบตัวเป็นกระจกใส มองเห็นวิวภายนอกได้ทุกทิศทาง และระยะทางของกระเช้าเรียกว่า ยาวสะใจได้ชมวิวภูเขา ทิวสนที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน และเสียงลมกระหน่ำรอบๆ กระเช้า เล่นเอาตื่นเต้นหวาดเสียว ก่อนจะไปชมความงามที่รออยู่บนยอดเขาอันไกลโพ้นชมวิวกันพักใหญ่
ในที่สุดภูเขาหิมะมังกรหยกที่เรามองเห็นจากระยะไกลก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าอากาศหนาวเหน็บอุณหภูมิลดต่ำแตะเกือบ 0 องศาเซลเซียส อากาศที่เบาบางอย่างเห็นได้ชัด เกล็ดหิมะที่ฟุ้งปลิวไปตามแรงลม ทุกอย่างดูเหมือนภาพฝัน จนกระทั่งเสียงคุยเสียงตะโกนของนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่นั่นแหละครับที่เรียกสติกลับมาสู่โลกความเป็นจริง ค่อยๆ มองออกไปยังภูเขาใหญ่ที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่โบราณ โดยชาวพื้นเมืองหน่าซี เชื่อว่าเป็นดินแดนสิงสถิตย์ของเทพเจ้า มีลักษณะเป็นเทือกเขาประกอบด้วยยอดเขา 13 ยอดที่ล้วนแต่สูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทางการได้สร้างทางเดินไม้ให้กับนักท่องเที่ยวที่อยากไปชมได้ในระดับความสูง 4,571 เมตร และ 4,680 เมตร ส่วนยอดเขาสูงสุดจริงๆ 5,596 ทำได้เพียงแต่มองเท่านั้น
จากภูเขาหิมะมังกรหยกเราปิดท้ายกันที่อยู่ภายในอุทยานเดียวกัน เพียงนั่งรถแยกไปอีกทางใช้เวลาพอสมควร รู้ว่าใกล้ถึงที่หมายจากเสียงฮือฮาของเพื่อนร่วมรถ พอชะโงกหน้ามองพบกับทะเลสาบน้อยใหญ่ สีสด ไล่ทอดตั้งแต่เขียว ฟ้า และน้ำเงินสดสวยจับใจ นี่ขนาดมองจากไกลๆ ยังตื่นตาขนาดนี้ อยากเห็นใกล้ๆ แทบอดใจไม่ไหว พุ่งออกเดินทันทีที่รถบัสจอด เดินเลาะตาม เขามาไม่ไกล ก็มาถึงท้องน้ำสีเขียวมรกตใสแจ๋ว มองเห็นพื้นทรายสีขาวที่ก้นทะเลสาบ ยิ่งฟ้ากระจ่าง แดดอุ่นที่ออกมา ทุกอย่างมันช่างเหมาะเจาะลงตัว ถัดมาเป็นน้ำตกเป็นชั้นแม้จะเป็นงานที่จำลองมา แต่เมื่อรวมกับธรรมชาติโดยรอบก็น่าประทับใจอยู่ดี เดินต่อจนถึงจุดสุดท้ายก่อนถึงจุดขึ้นรถบัสกลับ เป็นบึงน้ำเขียวอมสีฟ้าสด ทันทีที่เห็นสีน้ำมือไม้สั่น จัดการกดชัตเตอร์เก็บภาพแล้วภาพเล่า พร้อมรำพึงในใจมันช่างสวย ช่างสวยเหลือเกิน นี่สินะที่เขาว่ามหัศจรรย์ทางธรรมชาติของประเทศจีน รับรองไม่น้อยหน้าที่ใดในโลก นาทีนั้นผมเห็นด้วยอย่างเต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ
เพราะความงดงามที่ได้ประสบไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีผู้คนที่แม้ล้านคำเล่าก็ไม่อาจเท่าหนึ่งสัมผัสด้วยตนเอง ดังนั้นอย่ารีรอที่จะวางแผนเก็บกระเป๋า และก้าวเดิน แล้วสิ่งที่เราจะพบเจอ มันคือความมหัศจรรย์แห่งการเดินทางล้วนๆ ผมรับรอง