ฉางซาและจางเจียเจี้ย (Changsha Zhangjiajie)
Story & Photo by Orawan
“กันยายน-ตุลาคม ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีสำหรับการไปเยือนฉางซาและจางเจียเจี้ย เพราะช่วงสองเดือนนี้อากาศจะค่อนข้างเย็นสบาย ไม่หนาวและร้อนจนเกินไป แถมยังเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี สนุกแน่นอน”
เป็นคำบอกกล่าวจากพี่ๆ ที่เคยได้เดินทางไปเที่ยวจางเจียเจี้ย ประเทศจีนกันมา พอได้ยินแบบนี้ใจก็ลอยไปอยู่ที่เมืองฉางซาและจางเจียเจี้ยทันที เพียง 3 ชั่วโมงจากเมืองไทย ด้วยสายการบินไทยสมายล์ก็พาเราเดินทางมาลงที่เมืองฉางซา (Changsha) ประเทศจีน ด้วยความสะดวกสบายกับบริการที่นั่ง อาหาร และโหลดกระเป๋า
ฉางซาเป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน (Hunan) ตั้งอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำเซียง (Xiang) ทำให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรม หลังจากลงเครื่องที่ฉางซา เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรานั่งรถบัสเดินทาง ต่อไปยังเมืองฉางเต๋อ (Changde) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนานทันที ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง เหตุที่ต้องเดินทางต่อทันทีก็เพื่อจะได้ย่นระยะเวลาในการเดินทางต่อไปยังจางเจียเจี้ยในช่วงเช้าวันถัดไป เพราะจากฉางเต๋อไปจางเจียเจี้ย ใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ค่ำคืนวันแรกของเราอบอุ่นและแสนสบายที่โรงแรมระดับ 5 ดาวของเมืองชื่อ ZEYUN Hotel
เช้าวันใหม่บรรยากาศฝนตกโปรยปราย ข้อดีคือไม่ร้อนและได้บรรยากาศของสายหมอกที่ละเลียดไปตามแนวเขา แต่ข้อเสียสำหรับคนทำงานเช่นฉัน คือ การถ่ายภาพ ขณะที่เดินทางต่อไปยังจางเจียเจี้ย ก็แอบภาวนาให้หมอกบางลงสักนิดก็ดี แต่คำภาวนาดูจะไม่แรงกล้าพอเมื่อมาถึงจางเจียเจี้ย สายฝนก็ยังคงโปรยปรายมาอย่างสม่ำเสมอ คิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยก็ได้เห็นในอีกมุมมองหนึ่ง เมืองจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie) นี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนาน เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของจีน และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ในปี ค.ศ. 1992 คำว่า “จาง” คือนามสกุลหนึ่งของคนจีน “เจีย” หมายถึง ครอบครัว ส่วนคำว่า “เจี้ย” แปลว่าบ้านเกิด ดังนั้นแปลรวมได้ว่า บ้านเกิดของครอบครัวจาง นั่นเอง ซึ่งสอดคล้องเกี่ยวเนื่องกับนายพลฮั่น จางเลี่ยง ซึ่งได้ย้ายมาอยู่ในพื้นที่นี้หลังจาก หลิวปัง จักรพรรดิฮั่น ได้เริ่มสังหารผู้ช่วยและนายพลซึ่งช่วยให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ เมืองนี้จึงถูกตั้งชื่อตามตระกูลจางซึ่งมาตั้งรกรากที่นี่
กลับมาที่จุดหมายแรกของเรานั่นก็คือ เขาเทียนเหมินซาน (Tianmenshan) ที่ตั้งของประตูสวรรค์ การเดินทางขึ้นไปบนเขามี 2 วิธีคือ ขึ้นกระเช้า หรือขึ้นรถบัสผ่านเส้นทางถนน 99 โค้ง เราเลือกที่จะขึ้นกระเช้ากันก่อนเพื่อชมวิวที่สวยงามของเขาแห่งนี้
แม้บรรยากาศจะไม่เป็นใจ ฝนตกเป็นละอองเล็กๆ ตลอด 40 นาทีของการนั่งกระเช้าที่มีระยะทางกว่า 7.5 กิโลเมตรไปถึงจุดสูงสุดของเขาเทียนเหมินซาน แต่ไม่ถึงกับหงุดหงิดมากนัก เพราะภาพสีเขียวสดที่แทรกสายหมอกออกมาเป็นระยะๆ ของขุนเขาและอากาศที่แสนเย็นสบายทำให้ชุ่มฉ่ำใจไม่น้อย
มองลงไปด้านล่างเห็นทางคดเคี้ยวของถนน 99 โค้ง
เมื่อถึงด้านบนสุด สายหมอกก็ปกคลุมทั่วทั้งขุนเขา เนรมิตให้ที่นี่กลายเป็นเมืองในม่านหมอกไปเสียแล้ว แต่เชื่อไหมว่า มันกลับเป็นความสวยงามที่แปลกตา ลึกลับและน่าค้นหา สำหรับฉันสิ่งที่มีสีสันมาก คือ เสื้อกันฝนของเหล่านักท่องเที่ยวที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางสายหมอกนั่นแหละที่เปรียบเสมือนความสดใสท่ามกลางความขมุกขมัวเช่นนี้ หนึ่งในไฮไลต์ของที่นี่ คือ ทางเดินกระจกยาวที่สร้างเลาะไปตามแนวขอบหน้าผา
โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,433 เมตรเพื่อให้นักท่องเที่ยว ได้เดินชมความสวยงามของป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ แม้ในยามนี้จะมีสายหมอกช่วยในการอำพรางความสูง แต่บางจุดคุณก็จะเห็นความเวิ้งว้างเบื้องล่างของหน้าผาให้ได้หวาดเสียวกันเป็นพักๆ
สุดทางเดินเป็นทางเดินป่า สองข้างทางเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ นานาชนิดที่ชุ่มฉ่ำน้ำ ณ เวลานี้ หากมองใกล้ๆ จะรู้ว่าใบไม้เหล่านี้ได้ เปลี่ยนสีสันตามฤดูกาล ในซอกมุมเล็กๆ จะเห็นสรรพสัตว์ซ่อนตัวอยู่ ฉันเห็นกระรอกตัวหนึ่งวิ่งไปมาและหยุดมองฉันอย่างไม่เกรงกลัวรู้สึกพิเศษจริงๆ
จากระเบียงกระจกที่อ้อมเขา เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ ก็จะเจอกับบันไดเลื่อนที่ทอดยาวไปสู่โถงของถ้ำประตูสวรรค์เทียนเหมินซาน บันไดเลื่อนนี้ขอบอกว่ายาวมาก ขนาดยืนเฉยๆ ยังเมื่อยเลย มีประมาณ 7-8 ชุดแต่ละชุดยาวต่อๆ กันจนมาถึงช่องเขาขนาดใหญ่
ซึ่งอันนี้เองคือโถงถ้ำด้านหลังของประตูสวรรค์ (The Heaven’s Gate of Tianmen Shan) โถงนี้มีความสูง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร และลึก 60 เมตร ถ้าหากเรามองจากด้านล่างจะเห็นลำแสงสว่างเหมือนกับเป็นประตูสู่สวรรค์ แต่ในวันที่ฝนลงเม็ดจนเกิดหมอกฝนปกคลุมแบบนี้ก็เหมือนกับเราเดินอยู่ในสรวงสวรรค์ได้เช่นกัน
ก่อนนอนคืนนี้เรามีนัดดูการแสดงโชว์จิ้งจอกขาวกับคนหาฟืน (The Love Story of a wooden man and a fairy fox) ใช้นักแสดงกว่า 600 คน แสดงบนเวทีกลางแจ้งที่มีฉากหลังเป็นทิวเขาเทียนเหมินซานที่สวยงาม
เนื่องจากเป็นการแสดงกลางแจ้ง ดังนั้นจะงดแสดงในช่วงเดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์ที่เป็นช่วงหน้าหนาวและหิมะตก แต่สำหรับวันที่สายฝนโปรยปรายน้อยๆ เช่นนี้ยังมีการแสดงเช่นเดิม โดยจะมีการแจกเสื้อกันฝนให้กับนักท่องเที่ยวสามารถชมโชว์ได้ ถือได้ว่าไม่เสียเที่ยว
สำหรับเรื่องราวของการแสดงเป็นเรื่องสุดซึ้งของนางสุนัขจิ้งจอกสาวที่หลงรักกับมนุษย์ เป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่อลังการตระการตามาก โดยเฉพาะเอฟเฟกต์ที่แทรกมาเป็นระยะ ฉากการแปลงร่างของนางสุนัขจิ้งจอก หรือฉากจบที่แสนประทับใจจนอยากแนะนำให้ไปดูกัน
เช้าวันใหม่เราแวะที่สะพานกระจก (Zhangjiajie Glass Bridge) ที่เพิ่งเปิดใหม่อุทยานแกรนด์แคนยอนจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie Grand Canyon) กันก่อน
สะพานนี้อยู่ในอุทยานวู่หลิงหยวน มีความกว้าง 6 เมตร ยาว 430 เมตร ข้ามจากภูเขาลูกหนึ่ง ไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง ความพิเศษของสะพานนี้คือ พื้นสะพานทำด้วยกระจกหนา 99 ชั้น
นอกจากจะมองเห็นพื้นดินที่สูงกว่า 300 เมตรแล้วรถยนต์สามารถขึ้นมาวิ่งได้ 1 คัน ไม่พอด้านข้างก็เป็นกระจกโปร่งใส ทำให้เราสามารถชมวิวได้รอบทิศทางโดยไม่มีอะไรขวางสายตา เพราะมีความน่าสนใจเช่นนี้จึงมีผู้คนมาเที่ยวชมความสวยงามกันมากมาย นักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวต่างชาติหลั่งไหลกันมาที่นี่
การเข้าชมต้องซื้อบัตรผ่านเข้าอุทยานและบัตรเข้าชม แนะนำให้ซื้อผ่านทางเอเจนซี่ดีกว่าจะได้ราคาย่อมเยากว่า จากนั้นเดินทางต่อกันไปที่อุทยานจางเจียเจี้ย
ทำใจอยู่แล้วเมื่อเห็นว่าฝนยังคงตกอยู่อย่างต่อเนื่อง ว่าคงไม่เห็นแท่งภูเขาหินทรายที่พุ่งทะยานสูงขึ้นฟ้ากว่า 3,000 ยอด
หนึ่งในสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภูเขาลอยฟ้าบนดาวแพนดอร่า จากภาพยนตร์เรื่องอวตาร (Avatar) ที่ออกฉาย เมื่อปี พ.ศ. 2552
พอได้มาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็เรียกได้ว่าอัศจรรย์ใจอย่างมาก อย่างแรกคือ ลิฟต์แก้วไป่หลง (Bailong Elevator) ที่สร้างเพื่อพาเราขึ้นไปสู่บนยอดเขาเทียนจื่นซาน หรือภูเขายอดฟ้า ลิฟต์นี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ลิฟต์ร้อยมังกร เป็นลิฟต์แก้วสูงที่สุดในโลกและเร็วที่สุด ด้วยสถิติความสูงถึง 330 เมตร และความเร็วในการไต่หน้าผาขึ้นไปใช้เวลาเพียง 1 นาที ด้วยสถิตินี้ได้รับการบันทึกลง Guinness world Records ในด้านเป็นลิฟต์แก้ว แบบ outdoor ที่สูงที่สุดในโลก (World’s tallest full-exposure outdoor elevator) และเร็วที่สุดในโลกเลยทีเดียว
ตอนขึ้นลิฟต์เร็วจนแทบจะไม่รู้สึกเสียวสักนิด อาจเพราะมัวตะลึงกับวิวด้านนอกด้วยก็เป็นได้ ด้านบนจะเห็นภาพยอดเขานับร้อย นับพันลูก ขณะหมอกหนามากเช่นวันนี้ เรายังเห็นยอดเขาบางลูกสูงทะยานเบียดสายหมอกขึ้นมาให้เราได้ชมกัน งดงามมาก ก่อนกลับเข้าเมืองฉางซา เราแวะชมจิตรกรรมภาพวาดทราย หรือจวินเซิงฮวาเยี้ยนของศิลปินหลี่วินเซิง ซึ่งเป็นผู้ที่ริเริ่มศิลปะแบบใหม่ที่เรียกกันว่า จิตรกรรมภาพเม็ดทราย
โดยผลงานของเขาจะไม่ใช้สีแบบปกติในการรังสรรค์ แต่จะใช้วัสดุธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นกรวด หิน ดิน ทราย กิ่งไม้ หรือสิ่งของต่างๆ มาจัดตกแต่งเป็นภาพวิวทิวทัศน์เมืองจางเจียเจี้ยสวยงามมาก
ส่งท้ายการเดินทางครั้งนี้ด้วยการจับจ่ายใช้สอยเงินหยวนกันที่ ถนนคนเดินหวงซิง (Huangxing Road Walking Street) ที่เมืองฉางซา บรรยากาศของถนนคนเดินแห่งนี้เหมือนเอาสยามสแควร์ แพลตินัมและสยามพารากอนมารวมกัน เพราะมีสินค้ามากมายหลายอย่างมาก ทั้งของฝาก ของที่ระลึก เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอางแบรนด์เนมดังๆ หรือแบรนด์ชั้นนำของจีน จนกระทั่งของกิน ขนมหรือ เครื่องดื่ม เรียกได้ว่าตลอดความยาวกว่า 1 กิโลเมตรบนถนนสายนี้ ต้องมีการเสียเงินอุดหนุนกันบ้างไม่ร้านใดก็ร้านหนึ่งอย่างแน่นอน
แม้ว่าการเดินทางในครั้งนี้จะมีสายฝนโปรยปรายตลอดการเดินทาง แต่ความสวยงามและยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้นั้นก็สามารถสร้างความประทับใจให้เราได้ไม่น้อย และสัญญากับตัวเองว่าจะเดินทางกลับไปแก้ตัวที่ฉางซาและจางเจียเจี้ยอีกครั้งอย่างแน่นอน
ขอขอบคุณ สายการบินไทยสมายล์