Up to the Sky : Cappadocia
Story by Editorial Staff
ว่ากันว่า ยิ่งสูงก็จะยิ่งหนาว แต่ถ้ามาลองขึ้นบอลลูนที่แคปพาโดเชีย (Cappadocia) กันดู คุณจะรู้ว่านอกจากจะยิ่งสูงยิ่งหนาว แล้วยังยิ่งรู้สึกโคตรฟิน แบบที่วัยรุ่นชอบพูดกันอีกด้วย
มุดใต้ดิน ลุย (บ้าน) จอมปลวก ไปเป็นมนุษย์ถ้ำ
ผมใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง นั่งเครื่องบินภายในประเทศของตุรกี จากอิสตันบูล (Istanbul) มาลงที่สนามบิน Nevsehir Kapadokya Airport เมืองเนฟเชฮีร์ (Nevsehir) ที่แคปพาโดเชียมีสองสนามบินนอกจากที่เมืองเนฟเชฮีร์แล้ว อีกแห่งคือสนามบินเมืองเคเซอรี่ (Kayseri) แต่จะอยู่ห่างจากเมืองมากกว่า แต่ถ้านั่งรถบัสจะใช้เวลาประมาณ 8 – 9 ชั่วโมง ออกจากอิสตันบูลช่วงค่ำ มาถึงแคปพาโดเชียช่วงเช้า สำหรับผมแก่ละ บอกตรงๆ นั่งรถนานไม่ไหว เลือกใช้บริการเครื่องบิน แล้วมาต่อรถบัส บริการจากสนามบิน มานอนชิลๆ อยู่ในที่พักคล้ายถ้ำ (จำลอง) ในเมืองเกอเรเม่ (Goreme) หนึ่งในสามเมืองจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (อีกสองเมืองคือ อุชิซาร์ – Uchisar และอูกูป – Urgup) สะดวกสบายกว่า
ระหว่างทางเดินทางเข้าเมืองสิ่งที่ผมเห็นคือ ภาพธรรมชาติที่แปลกตาที่เกิดจากอดีตเมื่อ 30 ล้านปีก่อน ตอนที่ภูเขาไฟเออซิเยส (Erciyes) และภูเขาไฟฮาซาน (Hasan) เกิดการปะทุครั้งใหญ่ พ่นเถ้าถ่านลงทับถมเป็นชั้นหนากว่า 100 เมตร พอชั้นหินเริ่มเย็นตัว ภูเขาไฟก็ระเบิด ทำให้ลาวาไหลคลุมทับชั้นหินจากเถ้าถ่านเดิม จนในที่สุดกลายเป็นแผ่นดินใหม่ขึ้นมา
พอเวลาผ่านไป กระแสลม พายุฝน และหิมะกัดกร่อนจนกำเนิดเป็นร่องของหุบเขา รวมถึงแท่งหินรูปร่างประหลาดตา คล้ายปล่องไฟของนางฟ้าที่อาศัยอยู่ใต้ดิน (fairy chimney) ส่วนตัวผมออกแนวตลกบริโภค มองยังไงก็เหมือนเห็ด และด้วยความแปลก เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกเช่นนี้ ยูเนสโกจึงได้ขึ้นทะเบียนแคปพาโดเชีย เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม แห่งแรกของประเทศตุรกี ในปี ค.ศ.1985
ที่ท่องเที่ยวหลักของเมืองเกอเรเม่ คงหนีไม่พ้นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เกอเรเม่ (Goreme Open air museum) ในอดีตเมืองเกอเรเม่ เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 9 ที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง มีการขุดเป็นเหมือนเมืองใต้ดินโดยขุดลงไปใต้ดิน 7 – 8 ชั้น ภายในมีแบ่งเป็นห้องต่างๆ มากมาย ทั้งห้องครัว ห้องนอน ห้องเก็บของ ห้องนั่งเล่น แม้จะอยู่ใต้ดินแต่ก็มีระบบระบายอากาศที่ดี มีการปิดทางเข้าออกแน่นหนาปลอดภัย ต่อมาชาวคริสต์ซึ่งหลบหนีการข่มเหงจากพวกโรมันได้เข้ามาอาศัย และพัฒนาเมืองใต้ดินต่อโดยการสร้างโบสถ์หลายแห่งภายในเมืองจอมปลวกใต้ดินเหล่านี้ มากกว่า 30 แห่ง ปัจจุบันทางรัฐบาลของตุรกีได้เข้ามาบูรณะจัดการจนเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งเกอเรเม่ขึ้น จนกระทั่งในปี ค.ศ.2006 ยูเนสโกลงมติให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นมรดกโลกอีกหนึ่งแห่งของประเทศตุรกี
ในบรรดาโบสถ์ที่เรียงรายกันอยู่ โบสถ์เด่นๆ ในสายตาผมคงเป็นโบสถ์เซนต์เอลมาลิ (Elmali Kilise) หรือที่รู้จักกันคือโบสถ์แอปเปิ้ล (Apple Church) เรียกชื่อตามต้นแอปเปิ้ลที่ปลูกไว้ด้านหน้าโบสถ์ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1050
โดยมีเสาขนาดไม่เท่ากันจำนวน 4 เสา รับน้ำหนักโดมตรงกลาง ด้านในมีภาพเขียนสีเฟรสโกในศตวรรษที่ 11 วาดเป็นรูปพระเยซู และพระแม่มารี ผนังเจาะเป็นรูปไม้กางเขน มีการเจาะหน้าต่างให้แสงส่องสว่างเข้ามาข้างใน ในขณะที่โบสถ์มืด (Dark Church) ซึ่งด้านในมี 2 ชั้น ให้ความรู้สึกที่มืด แคบและเล็กกว่าเพราะมีแสงสว่างเข้าน้อย แต่ภาพเขียนสีก็สมบูรณ์กว่า เห็นความสดใสงดงามของโทนสีน้ำตาลและแดง ทั้งหมดมีหลายโบสถ์อยู่ในบริเวณเดียวกัน ทั้งโบสถ์ยีลันลี (Yılanlı Kilise) หรือ โบสถ์มังกร (Snake Church) ตั้งชื่อตามภาพวาดอัลเฟรสโกที่เป็นรูปนักบุญธีโอดอร์และนักบุญจอร์จบนหลังม้ากำลังต่อสู้กับมังกร สื่อสัญลักษณ์ถึงการต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายซึ่งบนภาพวาดมีลักษณะคล้ายงู ส่วนโบสถ์แห่งเซนต์บาร์บารา (Azize Barbara Kilisesi) หรือ Church of Saint Barbara ภายในเจาะเป็นโพรงเพดานโค้ง
มีรูปของนักบุญบาร์บาราซึ่งมีตำนานเล่าว่าถูกพ่อของตัวเองคุมขังไว้เนื่องจากไม่อยากให้ไปยุ่งเกี่ยวกับศาสนจักร แต่เธอก็ยังหาวิธีอุทิศตน เข้าสู่ศาสนาคริสต์ได้ สุดท้ายจึงถูกพ่อทรมานและฆ่าอย่างน่าเวทนา นอกจากนั้นก็ยังมีภาพพระเยซูอีกด้วย โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ยุคแรก สีจึงออกเป็นโทนแดง ที่เกิดจากช่างนำยางมาจากเปลือกไม้มาเขียนลงบนผนังหรือเพดานถ้ำ ก่อนจะฉาบทับบางๆ ด้วยปูน อันที่จริงมีโบสถ์อีกมากมาย และจุดที่น่าสนใจหลายจุด สามารถเดินทางชมได้เรื่อยๆ เพราะมีเส้นทางสำหรับเดินไปเข้าชมแต่ละถ้ำ (หรือโบสถ์) ที่เรียบร้อยสะอาดสวยงาม แม้ทางขึ้นจะแคบไปหน่อยแต่มีการจัดการในการเข้าชมที่ค่อนข้างดีทีเดียว
จากนั้นผมเดินทางต่อไปยังเมืองอุชิซาร์ (Uchisar) ความแปลกตาของที่นี่คงเป็นภูเขาขนาดใหญ่มีรูพรุนเหมือนรวงผึ้ง รายล้อมด้วยบ้านเรือนที่เหมือนจอมปลวกน้อยใหญ่ตั้งกระจายอยู่ บ้านเหล่านี้มีคนอาศัยอยู่จริงๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ โดยการเจาะเข้าไปภายในหินปรับพื้นที่ให้ราบเรียบ ให้เป็นที่อยู่อาศัยได้ เห็นปราสาทอุชิซาร์ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ เราสามารถมองวิวจากด้านบนลงมาเห็นหมู่บ้านจอมปลวกด้านล่าง
บ้านบางหลัง (บางจอมปลวก) ก็ปรับเปลี่ยนเป็นเหมือนร้านกาแฟ ให้นักท่องเที่ยวไปนั่งพัก หรือเปิดขายของที่ระลึก บางหลังใจดีถึงกับให้เข้าไปเยี่ยมชมด้านใน เพื่อดูการอยู่อาศัยของพวกเขาอีกด้วย บางหลังมีการประดับธงชาติของตุรกี บางหลังเห็นเสาอากาศหรือจานดาวเทียมโผล่ออกมาแต่กลับไม่รู้สึกขัดตา แต่รู้สึกถึงความเจริญที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้อย่างแปลกประหลาด
ผมปิดท้ายวันแรกของการเดินทางด้วยที่พักแบบถ้ำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพักผ่อนที่เป็นที่นิยมหากคุณมาที่แคปพาโดเชีย ที่พักแบบนี้กระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ ทั้งเกอเรเม่เอง หรืออุชิซาร์ที่ผมเพิ่งแวะมา บางแห่งอยู่ในที่สูง มีสระว่ายน้ำ ที่สามารถมองเห็นวิวเมืองได้อย่างชัด ภายในห้องพักแบบถ้ำ อุณหภูมิค่อนข้างจะเย็นสบายตลอดปี
แม้ว่าจะมีการเจาะเพดานสูงเกือบเหมือนห้องปกติก็ตาม แต่ก็รู้สึกเหมือนแคบด้วยรู้สึกว่าเหมือนโดนหินบีบ และช่องระบายอากาศมีเพียงแค่ประตูกับหน้าต่างบานเล็กเท่านั้น จึงทำให้รู้สึกอึดอัดบ้างสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย ผมเองก็รู้สึกไม่คุ้นในคราแรกที่เข้าไปเช่นกันเพราะรู้สึกถึงความชื้นของหินอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและความสบายที่ผมคาดไม่ถึง คืนแรกของผมก็ผ่านไปพร้อมเสียงกรน (ไม่) เบาๆ
I believe I can fly
มีหลายบริษัทที่จะพาคุณเหินฟ้าขึ้นเหนือแคปพาโดเชีย ผมใช้บริการบริษัทที่รวมการขึ้นบอลลูนกับวันเดย์ทัวร์เข้าด้วยกัน ราคาไม่สูงมากนัก เริ่มต้นกันตั้งแต่ ตี 4 กว่า ไปขึ้นบอลลูน กลับมากินข้าวเช้าที่โรงแรม ก่อนที่รถของบริษัททัวร์จะกลับมารับอีกครั้งตอนประมาณ 9 โมงครึ่งแล้วก็เริ่มเดินทางตระเวนกันทั้งวันก่อนจะกลับมาส่งที่โรงแรมตอนประมาณ 5 โมงเย็น พอเช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น ดวงตะวันยังไม่ได้พ้นขอบฟ้า หัวใจผมก็เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ แรงกว่าปกติจากวันอื่น ผลจากความคาดหวังที่จะโบยบินเหนือฟากฟ้า มันเต้นระริกอยู่ทั่วร่างกายของผม
การขึ้นบอลลูนไม่ใช่ว่ามีเงินจะขึ้นได้นะ ต้องอาศัยโชคชะตาและดินฟ้าอากาศด้วย เพื่อนร่วมเดินทาง ของผม เดินทางมาแคปพาโดเชียสองครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม สองครั้งแรกไม่ได้ขึ้นเพราะดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ มาวันนี้จึงมีความลุ้นระทึกไม่ต่างจากผม เวลาผ่านไปทีละนิด หลังจากมีสัญญาณจากทีมงานว่าวันนี้ท้องฟ้าโปร่งใส อากาศดี ลมไม่แรงมากนัก บรรดารถตู้ของบริษัทบอลลูน ก็เริ่มทยอยมารับนักท่องเที่ยวไปยังจุดบริเวณปล่อยบอลลูนในทันที ราคาในการขึ้นบอลลูน มีหลายราคาขึ้นอยู่กับปริมาณของคนบนกระเช้า ยิ่งคนเยอะ ก็มีคนหารมากต่อคนก็ราคาไม่สูงมากนักเริ่มต้นตั้งแต่ 6 คนไปถึง 25 คน ราคาตั้งแต่ 100 ยูโรไปถึง 250 ยูโรบางบริษัทอาจจะรวมค่าบริการเที่ยว 1 วันเข้าไปด้วยราคาก็จะย่อมเยาลงไปอีก
หลังจากเจ้าหน้าที่เรียกผู้โดยสารขึ้นไปบนกระเช้าที่สูงประมาณ 1 เมตรเรียบร้อย กัปตันส่งสัญญาณ เสียงฟู่ของลมที่เป่าออกมากำลังทำให้บอลลูนที่นอนฟีบอยู่ค่อยๆ พองตัวอ้วนอิ่มขึ้น และเมื่อตระเตรียมความพร้อมเรียบร้อย บอลลูนยักษ์ก็ค่อยๆ ลอยตัวออกจากพื้น วินาทีแรกความกลัวอาจเข้าครอบงำคุณอยู่ ไม่อยากจะขยับกระดิกตัวไปไหน กลั้นหายใจเป็นพักๆ พอรู้ตัวอีกทีบอลลูนลอยสูงขึ้นไปอยู่เหนือฟากฟ้าแล้ว ทอดสายตามองออกไปเห็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงาม แปลกตา ด้านล่างของแถบแคปพาโดเชีย วินาทีนั้นคุณจะรู้เลยว่า…คุ้มค่ามากที่ได้ลองสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ ช่วงเวลานี้เองที่หลายคนเริ่มที่จะดื่มด่ำกับความสุขที่อยู่รอบตัว
เสียงกดชัตเตอร์ดังระรัว รอยยิ้มระบายอยู่ทั่วใบหน้าของผู้ร่วมทางที่อยู่บนกระเช้าเดียวกัน และคิดว่าผู้ร่วมทางของบอลลูนอื่นๆ ที่ลอยละล่องประดับท้องฟ้าของเมืองเกอเรเม่ก็คงรู้สึกเช่นกัน ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงกว่าที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า บอลลูนของแต่ละบริษัทก็จะมีการบังคับให้ขึ้นลงสลับกันไปมาให้เห็นทุกบอลลูนได้สัมผัสวิวทิวทัศน์มุมสูงและเห็นบอลลูนอื่นอยู่ด้านล่างเป็นระยะ เส้นทางที่ลอยไปก็จะผ่านเมืองต่างๆ เช่นเมืองอุชิซาร์ ที่ผมแวะไป ปิดท้ายร่อนลงอย่างนิ่ม และเป็นธรรมเนียมทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการเตรียมแชมเปญมาฉลองพร้อมมอบประกาศนียบัตรให้กับทุกคน ว่าคุณได้ผ่านประสบการณ์สุดยอดเยี่ยมแบบนี้มาด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นช่วงเช้าที่สดใส
ก่อนกลับมากินอาหารเช้าที่โรงแรม ผึ่งพุงได้สักแป๊บ รถของบริษัททัวร์ก็แวะมารับไปเที่ยวกันต่อ เส้นทางที่ลอยไปก็จะผ่านเมืองต่างๆ เช่นเมืองอุชิซาร์ ที่ผมแวะไป ปิดท้ายร่อนลงอย่างนิ่ม และเป็นธรรมเนียมทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการเตรียมแชมเปญมาฉลองพร้อมมอบประกาศนียบัตรให้กับทุกคน ว่าคุณได้ผ่านประสบการณ์สุดยอดเยี่ยมแบบนี้มาด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นช่วงเช้าที่สดใส ก่อนกลับมากินอาหารเช้าที่โรงแรม ผึ่งพุงได้สักแป๊บ รถของบริษัททัวร์ก็แวะมารับไปเที่ยวกันต่อ
การท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริป มีหลากหลายเส้นทางให้เลือก อย่างบริษัทที่ผมเลือกใช้บริการมีถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ Red Tour, Blue Tour, Green Tour ซึ่งแต่ละแบบก็เดินทางไปในแต่ละเส้นทางที่แตกต่างกันไปแต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก อย่าง Red Tour ก็จะวิ่งไปโซนทางเหนือของแคปพาโดเชีย หรือ Green Tour ก็จะวิ่งไปทางใต้ สำหรับผมเลือก Green Tour เริ่มจากการขึ้นชมเมืองเกอเรเม่ในมุมสูง และมองแบบพานอราม่า เห็นวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาที่คุณต้องรู้สึกเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่งได้อย่างเต็มตา ถ้าคุณเลือกแบบอื่น เขาก็จะแวะในช่วงเย็น ซึ่งผมบอกเลยว่าสวยงามไม่แพ้กันเลย
เมืองใต้พิภพเดอรินกูยู (Derinkuyu Underground City) เป็นสถานที่ต่อไปที่ผมแวะ ถือเป็นความมหัศจรรย์และน่าทึ่งอย่างมาก ที่เห็นเมืองที่ถูกเจาะลึกลงไปใต้ดิน กว่า 60 เมตร และแบ่งเป็นชั้นๆ กว่า 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความกว้างและสูงพอที่เราจะยืนได้ ที่สำคัญที่นี่ยังมีอายุกว่าพันปีมาแล้วโดยแต่ละห้อง มีขนาด และวัตถุประสงค์การใช้งานต่างกัน ชั้นบนจะเป็นที่เลี้ยงสัตว์ เป็นคอกม้า และส่วนทำอาหาร ถัดลงไปก็เป็นห้องเก็บของ บ่มไวน์ ตลอดจนที่พักอาศัย ห้องนอนจะอยู่ชั้นล่างห่างจากพื้นดินเพื่อความปลอดภัย ป้องกันศัตรูมาถึงตัวง่ายๆ มีห้องโถงสำหรับใช้ประชุม มีบ่อน้ำ ที่สำคัญระบบระบายอากาศที่ยอดเยี่ยมมาก แม้จะลงไปลึกถึงชั้นล่างสุด (ชั้น 7) ยังรู้สึกเย็นสบาย ทางเดินอาจจะแคบไปบ้างแต่ไม่ถึงกับหลีกหลบกันไม่ได้ เมืองใต้ดินแห่งนี้ว่ากันว่ามีคนพักอาศัยกว่า 20,000 คนทีเดียว นอกจากที่นี่แล้วยังมีนครใต้ดินอีกจุดคือ เมืองใต้ดินเคย์มากลิ (Underground City of Kaymakli) ถ้าคุณเลือกอยู่ทัวร์อีกแบบจะพาไปที่เมืองนี้
จากเมืองใต้ดิน ผมเดินทางต่อไปอีก 1 ชั่วโมงไปยัง หุบเขาอิห์ลารา (Ihlara Valley) เปรียบเสมือนแกรนด์แคนยอนของ แคปพาโดเชียก็ว่าได้ อีกหนึ่งภูมิประเทศที่แปลกตา ผลพวงจากแผ่นดินไหวทำให้เกิดรอยแตก เป็นช่อง และเกิดธารน้ำขนาดใหญ่ไหลผ่านยาวกว่าหลายกิโลเมตร อยู่เบื้องล่างของหุบเขาที่ล้อมรอบ พอมีแหล่งน้ำ ก็เกิดต้นไม้สีเขียวร่มรื่นมาก การมากับทัวร์อย่างหนึ่งที่ต้องควบคุมคือ เวลา เราไม่สามารถที่จะเอ้อระเหยลอยชาย ถ่ายรูปได้มากนัก เพราะถูกต้อนด้วยคนนำทัวร์ที่ต้องรักษาเวลา หลังจากเดินกันไปตามทาง เราก็ไปรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนที่จะไปแวะสถานที่ท่องเที่ยวอีกจุดก่อนกลับที่พัก
อารามเซลิม (Selime Monastery) อารามแห่งนี้สร้างโดยนักบวชชาวคริสต์ตั้งเเต่สมัยศตวรรษที่ 13 จากหินรูปกรวยคว่ำ ถูกเจาะเป็นโบสถ์ วิหาร โรงเรียนและห้องต่างๆ อีกมากมาย มีทั้งส่วนของที่เป็นห้องครัว ที่อยู่ของบาทหลวง สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา มองลงไปด้านล่างบริเวณของหมู่บ้านเราจะเห็นความสวยงามราวกับภาพวาด แต่ (อีกครั้ง) ด้วยเวลาอันจำกัดของการเดินทางมากับทัวร์ ผมมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ยังไม่ทันได้ทอดอารมณ์ชมบรรยากาศมากนัก ผู้คุมเวลาก็เรียกให้เดินทางกลับเสียแล้ว ผมแนะนำว่าหากใครเดินทางมาเป็นกลุ่ม หรือได้มีโอกาสขับรถมาเอง ใช้เวลาให้คุ้ม ดื่มด่ำบรรยากาศให้เต็มที่ แล้วคุณจะรู้ว่าไม่ว่าคุณจะอยู่บนฟ้า บนพื้นดิน หรือลงไปด้านล่างใต้พิภพ คุณก็สามารถมีความสุขได้เสมอ
– Cappadocia หรือ แคปพาโดเชีย แปลว่าม้าอันสง่างาม แผลงมาจากคำในภาษากรีก “Καππαδοκία” (Kappadokía) อยู่ทางตะวันออกของอานาโตเลีย (Anatolia) ในบริเวณตอนกลางของประเทศตุรกีปัจจุบัน ประกอบด้วยหลายเมืองด้วยกัน เมืองหลวงของเขตนี้คือเมืองเนฟเชฮีร์ โดยมีเมืองเกอเรเม่ ที่ไม่ไกลมากนักเป็นเมืองศูนย์กลางของการท่องเที่ยว
– ของฝากของที่ระลึกของแคปพาโดเชีย ที่มีชื่อเสียงคือเครื่องปั้นดินเผา เซรามิก และอีกอย่าง คือ ดวงตาปิศาจ (Evil eye) หรือ ชาวตุรกีเรียกว่า นาซาร์ บองชุก (Nazar Boncugu) ที่เป็นเสมือนเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้าย ส่วนมากจะใช้แขวนไว้ตามประตูเข้าบ้าน หลังๆ ใช้พกไว้เป็นเหมือนเครื่องประดับ พร้อมป้องกันอันตรายไปในตัว