แคนนอน เผยโฉม EOS M50 Mark II กล้องมิเรอร์เลสที่เก่งรอบด้านทั้งการถ่ายภาพและวิดีโอ
พัฒนาต่อยอดจากกล้องยอดนิยม EOS M50 เพื่อให้การถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น
แคนนอน เสริมทัพผลิตภัณฑ์กล้องมิเรอร์เลสด้วยการเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ EOS M50 Mark II ที่ออกแบบมาเพื่อนักถ่ายภาพและผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอและการถ่ายทอดสด (live streaming) รวมถึงผู้ที่อยากมีช่อง YouTube เป็นของตัวเอง ถือเป็นกล้องที่ใช้งานง่าย และออกแบบมาเพื่อช่วยสร้างภาพถ่ายและวิดีโอที่น่าดึงดูดใจทั้งถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอได้คมชัดยิ่งขึ้นด้วยเซ็นเซอร์ APS-C CMOS ความละเอียด 24.1 ล้านพิกเซล พร้อมระบบออโต้โฟกัส Dual Pixel CMOS AF ให้การโฟกัสอัตโนมัติที่ฉับไวและแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงได้เปิดตัวแฟลช Speedlite EL-1 และเลนส์ RF ใหม่อีก 2 รุ่น พร้อมอุปกรณ์เสริมครบชุด ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับมืออาชีพ
“EOS M50 Mark II เป็นกล้องที่ใช้งานง่ายและมีความสามารถรอบด้าน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายและวิดีโอ 4K ที่สวยงามได้อย่างง่ายดายในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย พร้อมฟีเจอร์สำหรับการถ่ายทอดสด (live streaming) และการถ่ายวิดีโอที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอยู่ภายในตัวกล้อง ผู้ใช้จึงสามารถอัปโหลดวิดีโอเพื่อแชร์ในโซเชียลมีเดียได้อย่างรวดเร็วแม้ในขณะเดินทาง”
ถ่ายภาพบุคคลและการเคลื่อนไหวได้อย่างสวยงามและมีชีวิตชีวา
EOS M50 Mark II มีระบบออโต้โฟกัสตรวจจับดวงตา (Eye Detection AF) ที่สามารถตรวจจับและโฟกัสดวงตาของตัวแบบได้เสมอแม้จะอยู่ไกลจากกล้อง ใช้ได้ทั้งในการถ่ายภาพครึ่งตัวและเต็มตัว อีกทั้งยังจับภาพได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำเมื่อตัวแบบเดินเข้ามาจากระยะไกล จึงเหมาะสำหรับการถ่ายภาพทีเผลอ (candid) เช่นเดียวกัน
ระบบออโต้โฟกัสตรวจจับดวงตา (Eye Detection AF) สามารถทำงานร่วมกับระบบออโต้โฟกัสแบบติดตามวัตถุ (Servo AF) ในการถ่ายภาพนิ่ง และแบบติดตามวัตถุในการถ่ายวิดีโอ (Movie Servo AF) ผู้ใช้จึงสามารถถ่ายภาพที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวแบบได้แม้ตัวแบบกำลังเคลื่อนไหว
EOS M50 Mark II ถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุด 7.4 ภาพต่อวินาทีเมื่อใช้ระบบออโต้โฟกัสแบบServo AF จึงสามารถใช้ในการถ่ายภาพตัวแบบที่เคลื่อนไหว เช่น เด็กและสัตว์เลี้ยง ส่วนช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) ของกล้องช่วยในการดูภาพขณะถ่ายได้สะดวกแม้ถ่ายภาพกลางแจ้งที่มีแสงจ้า กรอบแสดงโฟกัสในช่องมองภาพ (EVF) และจอแอลซีดียังได้รับการปรับปรุงให้มีความเร็วในการแสดงภาพสูงขึ้นและติดตามตัวแบบได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ผู้ใช้จึงทราบได้ทันทีว่าจุดโฟกัสอยู่ส่วนใดในภาพโดยที่จอภาพไม่มีอาการหน่วง
EOS M50 Mark II เป็นกล้องตระกูล EOS รุ่นแรกที่มีฟีเจอร์การออโต้โฟกัสแบบแตะ (Tap AF) ที่ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนจุดโฟกัสจากบุคคลหนึ่งในภาพไปยังอีกคนหนึ่งด้วยการแตะเลือกบนจอแอลซีดี เหมาะสำหรับการถ่ายภาพหมู่ นอกจากนี้ยังมีการออโต้โฟกัสแบบแตะและลาก (Touch & Drag AF) ที่ใช้ในการเลื่อนกรอบการโฟกัสโดยวาดนิ้วไปบนจอแอลซีดีขณะถ่ายภาพโดยใช้ช่องมองภาพ
มอบประสบการณ์การถ่ายวิดีโอที่สะดวกยิ่งขึ้น
ระบบออโต้โฟกัสที่รวดเร็วและแม่นยำเป็นสิ่งสำคัญในการถ่ายวิดีโอที่ตัวแบบมีการเคลื่อนไหว ซึ่งกล้อง EOS M50 Mark II มีระบบออโต้โฟกัสตรวจจับดวงตา (Eye Detection AF) ที่ทำงานร่วมกับ Movie Servo AF ในการติดตามตัวแบบที่อยู่ในกรอบภาพได้อย่างราบรื่น ผู้ใช้จึงมุ่งความสนใจไปที่การจัดองค์ประกอบภาพได้โดยปล่อยให้การติดตามตัวแบบเป็นหน้าที่ของกล้อง
ชุดคำสั่งในระบบออโตโฟกัสจากความเปรียบต่างของแสง (contrast AF algorithm) ที่ปรับปรุงใหม่เพิ่มความแม่นยำของการโฟกัสอัตโนมัติระหว่างการถ่ายวิดีโอ 4K โดยใช้เลนส์ตระกูล EF-M จึงถ่ายวิดีโอได้อย่างราบรื่นมากขึ้นและมีการสั่นน้อยลง นอกจากนี้ EOS M50 Mark II รองรับการซูมดิจิทัลสำหรับวิดีโอ (ประมาณ 3-10 เท่า) ที่บริเวณกลางจอภาพระหว่างการถ่ายทำ และสามารถใช้ร่วมกับการซูมออปติคัลของเลนส์ในการถ่ายวิดีโอในระยะใกล้ได้
สำหรับกล้องในปัจจุบัน
เมื่อนำวิดีโอแนวตั้งที่ถ่ายด้วยกล้องถ่ายภาพมาเล่นซ้ำในแนวนอนด้วยอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์
ภาพมักจะมีขนาดเล็กลง แต่ EOS M50 Mark II มีตัวเลือก “เพิ่มข้อมูลการหมุน – add rotate info” ที่ช่วยให้สามารถเล่นวิดีโอเป็นแนวตั้งโดยอัตโนมัติในสมาร์ทดีไวซ์
คอมพิวเตอร์ และโซเชียลมีเดียที่รองรับ จึงให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าในการรับชม
รวมถึงเหล่า Vlogger ยังสามารถใช้กล้องรุ่นนี้ในการไลฟ์สดไปยัง YouTube[1]โดยเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สตรีมมิ่งโดยเฉพาะ
EOS M50 Mark II ยังรองรับแพลตฟอร์มคลาวด์ image.canon ซึ่งผู้ใช้ที่
[1]บริการถ่ายทอดสด (live streaming) ของผลิตภัณฑ์นี้รองรับการถ่ายทอดสดตามกำหนดเวลาผ่าน YouTube เท่านั้น โดยต้องลงทะเบียนใน image.canonล่วงหน้าและใช้เฟิร์มแวร์ล่าสุด ทั้งนี้ตามข้อกำหนดในการถ่ายทอดสดของ YouTube ผู้ใช้ที่สามารถถ่ายทอดสดผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ต้องมีผู้ติดตาม (subscriber) ช่องของตนอย่างน้อย 1,000 ราย
ลงทะเบียนแล้วสามารถอัปโหลด ดาวน์โหลด เก็บ และถ่ายโอนภาพระหว่างอุปกรณ์หลายชิ้นได้อย่างราบรื่น
กล้องรุ่นนี้มาพร้อมจอแอลซีดีปรับหมุนได้ รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น สั่งถ่ายวิดีโอผ่านหน้าจอระบบสัมผัส ตั้งเวลาถ่ายวิดีโอ และช่องต่อไมโครโฟนภายนอก ทำให้การถ่ายวิดีโอและถ่ายทอดสดเป็นเรื่องง่ายและสะดวก
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมสำหรับผู้ใช้งานสาย vlog ได้แก่ ขาตั้งกล้องแบบมือจับพร้อมรีโมทคอนโทรล Canon Tripod Grip HG-100 TBR (ราคา 3,900 บาท) ที่สามารถหมุนได้ 360 องศา เปลี่ยนเป็นขาตั้งกล้อง 3 ขาได้
รองรับการติดตั้งกล้องในแนวตั้ง รวมถึงการติดตั้งไมโครโฟนภายนอกเพื่อเพิ่มคุณภาพการบันทึกเสียง และไมโครโฟนสเตอริโอชนิดติดกล้อง Canon Stereo Microphone DM-E100 (ราคา 3,800 บาท) ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ปรับองศาการรับเสียงได้ 120 องศา ความไวเสียงสูง มาพร้อมอุปกรณ์คลุมหัวไมค์แบบขน ช่วยกรองเสียงรบกวนเพื่อคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยม
ควบคุมแสงได้อย่างเหนือชั้นด้วย Speedlite EL-1
Speedlite EL-1 แฟลชรุ่นเรือธงใหม่จากแคนนอน และเป็นแฟลชรุ่นแรกที่มีเส้นขอบสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความทนทานที่เป็นเลิศ ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ มาพร้อมหลอดซีนอนใหม่ที่ให้ความเสถียรสูงในการปล่อยกระแสไฟฟ้าและมีความทนทาน
แฟลชรุ่นนี้ให้ความยืดหยุ่นสูงในการใช้งาน โดยสามารถปรับระดับพลังงานด้วยตัวเองได้ถึง 14 สต็อป ต่ำสุดที่ 1/8192 เมื่อใช้ร่วมกับการตั้งค่า ISO สูงในกล้องจะได้ภาพที่คงสีสันและสภาพแวดล้อมอย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงให้แสงแก่ตัวแบบที่เป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน
ผู้ใช้สามารถควบคุมแฟลชแบบไร้สายพร้อมกันได้สูงสุดถึง 15 ตัว โดยใช้สัญญาณวิทยุ เพิ่มความสะดวกในการควบคุมแสงเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน
Speedlite EL-1 ใช้แบตเตอรีลิเธียมไอออนที่ออกแบบวงจรชาร์จใหม่ จึงชาร์จพลังงานได้ด้วยความเร็วสูงและยิงแฟลชได้อย่างฉับไวสำหรับการถ่ายภาพสิ่งที่เคลื่อนไหว ความเร็วในการชาร์จจะไม่ลดลงแม้แบตเตอรีมีพลังงานต่ำ และสามารถยิงแฟลชต่อเนื่องได้ไม่ต่ำกว่า 160 ครั้ง[1] เพราะมีระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพและหลอดซีนอนที่ทนทาน
แบตเตอรี LP-EL ที่ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้นทำให้ Speedlite EL-1 ยิงแฟลชได้ถึง 335 ครั้งที่กำลังแฟลช 1/1 ซึ่งมากกว่าแฟลชรุ่น Speedlite 600EX II-RT ถึง 3.4 เท่า อีกทั้งยังมีหลอดไฟนำ LED แบบสีถึง 2 หลอด ช่วยในการคาดการณ์สีสันและทิศทางของแสงก่อนการถ่ายภาพ
Speedlite EL-1 ได้รับการซีลป้องกันฝุ่นและหยดน้ำเช่นเดียวกับกล้อง EOS-1DX Mark III รวมถึงชุดหน้าจอแสดงผลปรับปรุงใหม่และปุ่มควบคุมมัลติคอนโทรลเลอร์ ช่วยให้การเข้าถึงเมนูและปรับตั้งค่าทำได้สะดวกยิ่งขึ้น
ยกระดับทุกการถ่ายภาพบุคคล กีฬาและสัตว์ป่า ด้วย RF50mm f/1.8 STM และ RF70-200mm f/4L IS USM ในขนาดพกพา
พร้อมกันนี้แคนนอนยังได้เปิดตัวเลนส์ RF ใหม่ในระบบ EOS R System 2 รุ่น ได้แก่ RF70-200mm f/4L IS USM เลนส์ซูมเทเลโฟโต้ที่สั้นและเบาที่สุดในโลก[2] ในเลนส์ถอดเปลี่ยนได้ในทางยาวโฟกัส 70-200 มม. f/4 และ RF50mm f/1.8 STM เลนส์ไพรม์รุ่นล่าสุดในทางยาวโฟกัส 50 มม.ที่ทำงานฉับไวและราคาจับต้องได้ เพื่อใช้งานกับกล้องมิเรอร์เลสในตระกูล EOS R Series ได้แก่ EOS R5, EOS R6, EOS Ra, EOS R และ EOS RP
RF70-200mm f/4L IS USM มีน้ำหนักเพียง 695 กรัม และยาวเพียง 119 มม. สั้นกว่าเลนส์เทเลโฟโต้ระยะเดียวกันถึง 32% และยาวกว่าเลนส์ RF24-105mm f4L IS USM เพียงเล็กน้อย จึงพกพาและเก็บใส่กระเป๋าพร้อมกล้องได้สะดวก ให้ภาพถ่ายคุณภาพสูงตลอดทั้งช่วงซูม การจัดเรียงชิ้นเลนส์ช่วยลดการเกิดขอบดำในภาพ (vignetting) ความคลาดของสี (chromatic aberration) และภาพหลอก (ghosting) แม้ถ่ายภาพโดยใช้ทางยาวโฟกัส 200 มม. รูรับแสงแบบกลมพร้อมม่าน 9 กลีบช่วยเพิ่มโบเก้ได้ถึงขอบภาพ ช่วยให้ได้ภาพที่มีฉากหลังเบลอดูนุ่มนวล
เลนส์รุ่นนี้มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว (image stabilizer) ในตัวเลนส์ สูงสุด 5 สต็อป และสามารถขยายได้เป็น 7.5 สต็อปเมื่อใช้ร่วมกับกล้อง EOS R5 และ EOS R6 จึงสามารถถ่ายภาพได้คมชัดแม้ถือกล้องถ่ายในที่มืดโดยใช้ทางยาวโฟกัส 200 มม. มอเตอร์เลนส์ Nano USM ช่วยในการโฟกัสอย่างฉับไวและแม่นยำตลอดช่วงทางยาวโฟกัส ทั้งยังทำงานเงียบ ไม่กระตุก และลดการเกิดโฟกัสไหล จึงใช้ถ่ายวิดีโอได้อย่างราบรื่น
RF70-200mm f/4L IS USM มีระยะโฟกัสต่ำสุดเพียง 0.6 เมตร (เทียบกับเลนส์ระดับเดียวกันที่มักมีระยะโฟกัสต่ำสุดประมาณ 1 เมตร) และกำลังขยายสูงสุด 0.28 เท่า โครงสร้างเลนส์ป้องกันฝุ่นและหยดน้ำ ทนต่อการกระแทก และเคลือบสารป้องกันความร้อน พื้นผิวของชิ้นเลนส์หน้าสุดยังเคลือบด้วยสารฟลูออรีนเพื่อป้องกันการเกาะตัวของความมันและหยดน้ำ
สำหรับเลนส์ไพรม์ RF50mm f/1.8 STM มาพร้อมทางยาวโฟกัส 50 มม. ที่นักถ่ายภาพนิยมใช้ รวมถึงมีค่ารูรับแสง f/1.8 สำหรับการใช้งานในที่แสงน้อยและการถ่ายภาพบุคคลให้มีฉากหลังดูนุ่มนวล ตัวเลนส์มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ให้มุมมองภาพใกล้เคียงกับดวงตามนุษย์ จึงใช้ถ่ายภาพได้หลากหลายตั้งแต่การถ่ายภาพทั่วไปและแนวสตรีท ไปจนถึงการถ่ายภาพบุคคล ทิวทัศน์ และอาหาร ระยะโฟกัสต่ำสุดเพียง 30 ซม. จึงถ่ายภาพในระยะใกล้ได้สะดวก การผสมผสานของคุณสมบัติเด่นทั้งรูรับแสงกว้าง ออกแบบมาเพื่อกล้องมิเรอร์เลส (short back focus) ที่เป็นจุดเด่นของเมาท์ RF และการใช้เลนส์แอสเฟอริคัล PMo ช่วยลดการเกิดแสงจ้า (flaring) ภาพหลอก (ghosting) และความคลาดแสงแบบดาวหาง (coma aberration) พร้อมทั้งให้ภาพถ่ายที่คมชัดมีคุณภาพสูง
สามารถติดตามรายละเอียด การประกาศราคาและวันจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของกล้องมิเรอร์เลส Canon EOS M50 Mark II เลนส์ RF70-200mm f/4L IS USM และ RF50mm f/1.8 STM รวมถึงแฟลช Speedlite EL-1 ได้ที่ https://th.canon/th/consumer
คุณสมบัติผลิตภัณฑ์
รุ่นกล้อง | EOS M50 Mark II |
ชิปประมวลผลภาพ | DIGIC 8 |
เซ็นเซอร์ภาพ Camera Effective Pixels (total pixels) | APS-C size CMOS ประมาณ 24.1 ล้านพิกเซล (ประมาณ 25.8 ล้านพิกเซล) |
เซ็นเซอร์วัดแสง | 384 zone (24 × 16) วัดโดยใช้เซ็นเซอร์ภาพ |
ระบบโฟกัส | Dual Pixel CMOS AF (มี Contrast Detection สำหรับการถ่ายวิดีโอ 4K) |
ระบบออโต้โฟกัส | ติดตามใบหน้า (Face+Tracking), แบบโซน (Zone AF)*, แบบจุดเดียว (1-point AF)*, แบบจุด (Spot AF)* *ไม่สามารถใช้ได้กับวิดีโอ 4K |
จำนวนจุดออโต้โฟกัส |
ภาพนิ่ง: สูงสุด 3975 จุด วิดีโอ: สูงสุด 3375 จุด (full HD) |
พื้นที่จุดออโต้โฟกัส เมื่อเลือกแบบอัตโนมัติ |
ภาพนิ่ง: สูงสุด 143 จุด วิดีโอ: สูงสุด 117 จุด |
ระบบออโต้โฟกัสแบบติดตามใบหน้า | รองรับ (เมื่อตั้งค่าเป็นติดตามใบหน้า – Face+Tracking) |
การโฟกัสแบบแตะและลาก (Touch & Drag AF) | รองรับ (เมื่อปิดการใช้งาน [แตะเลือกเพื่อเลือกวัตถุ – Tap to select subject]) |
แตะเลือกเพื่อเลือกวัตถุ | รองรับ |
ISO ปกติสำหรับภาพนิ่ง | 100 – 25,600 ขยายได้เป็น H (ISO 51,200) |
ISO ปกติสำหรับวิดีโอ | Full HD/HD: 100 – 12,800 ขยายได้เป็น H (ISO 25,600) 4K: 100 – 6400 |
ถ่ายภาพต่อเนื่อง |
สูงสุด 10 ภาพต่อวินาที (One-Shot AF) สูงสุด 7.4 ภาพต่อวินาที (Servo AF) |
ความเร็วชัตเตอร์สูงสุด | 1/4000 วินาที |
จอ LCD | กว้าง 3.0 นิ้ว ความละเอียด 1.04 ล้านจุด ปรับหมุนได้ |
การถ่ายวิดีโอ |
4K UHD
(3840 × 2160) : 25.00p/23.98p Full HD (1920 x 1080) : 59.94p/50.00p/29.97p/25.00p/23.98p HD (1280 x 720): 59.94p/50.00p Hybrid Auto Full HD (1920 x 1080) : 59.94p/50.00p/29.97p/25.00p/23.98p Hybrid Auto HD (1280 x 720): 59.94p/50.00p Video Snapshot / Miniature effect movie Full HD (1920 x 1080) : 29.97p/25.00p/23.98p High Frame rate movie HD (1280 x 720): 119.88p/100p Time-lapse movies 4K UHD (3840 × 2160) & Full HD (1920 x 1080): 29.97p/25.00p |
ซูมดิจิทัลสำหรับวิดีโอ | มี (กำลังขยาย 3-10 เท่า) |
ขนาด | 116.3 × 88.1 × 58.7 มม. |
น้ำหนัก | สีดำ: 387กรัม (รวมแบตเตอรีและการ์ดความจำ) สีขาว: 388 กรัม (รวมแบตเตอรีและการ์ดความจำ) |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi /Bluetooth Low Energy Technology |
รุ่นแฟลช | Speedlite EL-1 |
Guide Number (ISO100 ใน เมตร / ฟุต): | 60/196.9 |
ช่วงซูม: | 24-200 มม. |
กำลังแฟลช: | 1/8192 – 1/1 |
องศาแฟลชครอบคลุม: | 14มม.* ถึง200มม.(*กับแผ่นwide panel) |
องศาของการสะท้อนแสง: | 120 องศาขึ้นไป, 7 องศาลงไปและ180 องศาในแนวนอน(ซ้ายและนอน) |
ฟังก์ชันแฟลชแบบไร้สาย: | สัญญาณออปติคอลและสัญญาณวิทยุ |
จำนวนการยิงแฟลชสูงสุด: | 335 -2345 ครั้ง ด้วยแบตเตอรี LP-EL ชาร์จเต็ม |
แหล่งพลังงาน: | แบตเตอรีลิเธียมไอออน LP-EL |
RF70-200mm f/4L IS USM | RF50mm f/1.8 STM | |
ทางยาวโฟกัส | 70 – 200 มม. | 50 มม. |
ค่ารูรับแสงสูงสุด | f/4 | f/1.8 |
ระยะโฟกัสต่ำสุด |
0.6 เมตร (ตลอดทั้งช่วงซูม) | 0.30 เมตร |
กำลังขยายสูงสุด | 0.28 เท่า (ทางยาวโฟกัส 200 มม.) | 0.25 เท่า |
โครงสร้างเลนส์ | 16 ชิ้น จัดเป็น 11 กลุ่ม | 6 ชิ้น จัดเป็น 5 กลุ่ม |
Special Low Dispersion Glass | เลนส์ UD 4 ชิ้น | – |
เส้นผ่านศูนย์กลางฟิลเตอร์ | ø77 มม. | ø43 มม. |
ม่านรูรับแสง | 9 กลีบ | 7 กลีบ |
ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (CIPA Standard Correction Effect) | มี (5 สต็อป) | – |
เส้นผ่านศูนย์กลางและความยาวเลนส์สูงสุด | 83.5 มม. x119 มม. | 69.2 มม. x 40.5 มม. |
น้ำหนัก | 695 กรัม | 160 กรัม |
[1]จำนวนครั้งของการยิงแฟลชต่อเนื่องจนมีการเตือนอุณภูมิระดับ 1 (การยิงแฟลชแต่ละครั้งห่างกัน 8 วินาที) ที่กำลังแฟลช 1/1 (ยิงแฟลชด้วยตนเอง)
[2] จากการวิจัยของแคนนอน ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2020