The Colorful Island : Burano
การหลบหนีผู้คนที่พลุกพล่าน ไปยังสถานที่ที่เงียบสงบกว่า อาจจะทำให้ชีวิตขาดรสชาติสีสันไปบ้าง เพราะไม่ได้เห็นภาพสีสันเสื้อผ้าและผู้คน ประโยคนี้อาจจะใช้ได้กับที่อื่นๆ แต่ไม่ใช่กับที่นี่ เกาะบูราโน่ (Burano Archipelago) เกาะที่ผู้คนไม่ได้มากมายและกลับมีสีสันจัดเต็มทั่วทั้งเกาะ ทำให้รู้สึกสดชื่น ตื่นตา ตื่นใจทันทีที่ได้มาสัมผัส
เกาะบูราโน่นั้น เป็นเกาะที่ไม่ไกลจากราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก (Queen of the Adriatic) อย่างเมืองเวนิส (Venice) ที่มีชื่อเสียงมากนัก อยู่ห่างไปทางตอนเหนือของเมืองเวนิสประมาณ 7 กิโลเมตรเท่านั้นเองและถือว่ายังอยู่เขตทะเลสาบเวนิส (Venetian lagoon)
ที่เกาะแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องงานหัตถกรรมถักลูกไม้ที่มีชื่อเสียงมานับ 500 ปี สังเกตได้จากพอขึ้นเกาะมา นอกจากสีสันของตึกรามบ้านช่องที่เด่นสะดุดตาแล้ว ก็มีร้านค้าขายลูกไม้จำนวนมากกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งเมือง ลูกไม้ของที่นี่มีทั้งแบบดั้งเดิม พื้นบ้านธรรมดา จนกระทั่งแบบที่มีลวดลายปักสวยงามวิจิตรตระการตา
ในตำนานเล่ากันมาว่า ลูกไม้ของบูราโน่ ได้มาจากการเสกสรรของไซเรนหรือพรายทะเลของคนยุโรปที่มอบให้กับหนุ่มชาวประมงบูราโน่ที่มั่นในรัก ไม่หลงไปกับเสียงเพลงของเธอ ชายหนุ่มดังกล่าวได้รับของกำนัลแห่งความซื่อสัตย์เป็นชุดแต่งงานลูกไม้สวยงามกลับมาให้เจ้าสาวของเขา เมื่อชาวบ้านเห็นก็ชื่นชอบและเลียนแบบลวดลายเหล่านี้ขึ้นเพื่อให้ได้มีชุดสวยงามใส่บ้าง ต่อมามีการพัฒนาลวดลายให้วิจิตรยิ่งขึ้น
แม้ตำนานเล่าขานออกมาอย่างโรแมนติกเช่นนี้ แต่ในพื้นฐานความเป็นจริงแล้ว แม่บ้านชาวบูราโน่นั้นได้เย็บปักลูกไม้มาเนิ่นนานแล้วหลังจากที่สามีออกไปหาปลาในทะเล พวกเธอก็หันมาถักร้อยลูกไม้โดยใช้เข็ม และส่งไปขายทางไซปรัส ต่อมาผ้าลูกไม้ก็เริ่มบูม ได้รับความนิยมในยุโรปขึ้นมา ก็เนื่องจากประมาณปี ค.ศ. 1481 ลีโอนาร์โด ดาวินชี ศิลปินชื่อดัง ที่วาดภาพโมนาลิซา ได้นำผ้าลูกไม้ดังกล่าวไปใช้ที่แท่นบูชาของวิหารในมิลาน ผ้าลูกไม้จากบูราโน่ก็โด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วยุโรป
ปัจจุบันการเย็บผ้าลูกไม้ด้วยกรรมวิธีแบบโบราณนั้นมีอยู่บ้างแต่ก็น้อยมาก ผ้าลูกไม้ที่เห็นขายตามร้านต่างๆ ที่อยู่บริเวณจัตุรัสกลางเมืองนั้นไม่ใช่ของแท้ไปเสียทุกชิ้น เพราะถ้าของแท้ดั้งเดิมที่เรียกว่า Merlitti นั้นแพงและทำยากมาก ต้องใช้เวลากันเป็นเดือนๆ กว่าจะได้แต่ละชิ้น เพราะต้องใช้เข็มและด้ายค่อยๆ ผูกลาย (Stitches) ไปตามที่ออกแบบไว้ ไม่ได้ใช้กระสวยในการทำเลย งานจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความละเอียด ประณีต งดงามสมความตั้งใจของคนทำเลย ส่วนราคาก็แพงลิ่วตามไปด้วย
คนธรรมดาอย่างฉันจึงได้แค่มองเท่านั้น หากใครสนใจที่จะศึกษาประวัติความเป็นมาของผ้าลูกไม้ สามารถไปดูได้ที่ พิพิธภัณฑ์ลูกไม้ (The Lace Museum of Burano) พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่บริเวณ Burano’s Piazza Galuppi ภายในจะจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวิธีการผลิตผ้าลูกไม้ ตลอดจนจัดแสดงลูกไม้หายากที่สวยจนคุณอยากได้เป็นเจ้าของเลยทีเดียว แม้ผ้าลูกไม้บูราโน่ไม่ได้โด่งดังทั่วยุโรปเหมือนเดิม แต่เสน่ห์เอกลักษณ์ความสวยงามของผ้าลูกไม้บูราโน่ก็ยังมีการเล่าขาน ทำให้ผ้าลูกไม้ที่นี่กลายเป็นของสะสมที่ (ผู้มีทรัพย์) เลือกที่จะซื้อหามาเก็บไว้กัน
นอกจากบูราโน่จะขึ้นชื่อเรื่องผ้าลูกไม้แล้ว สีสันของตึกรามบ้านช่องที่นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดหลักให้หลายคนเดินทางมาเยือนเกาะนี้ คุณสามารถชมเกาะได้โดยลัดเลาะไปตามซอกซอยต่างๆ ที่ขนานไปกับคลองที่ตัดผ่านทั่วตัวเมือง อย่างบริเวณถนนสายหลักมุ่งสู่จัตุรัสกลางเมือง ก็จะเห็นร้านขายขนม ของที่ระลึก ร้านอาหาร บาร์สำหรับนั่งผ่อนคลายอยู่เต็มไปหมด สำหรับบ้านที่ไม่เปิดเป็นร้านค้าเราก็จะเห็นเรือประมงและอุปกรณ์หาปลาวางเรียงราย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ของที่นี่ทำประมงอยู่
บรรดาอาคารบ้านเรือนที่เห็นว่ามีสีสันหลากตาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าใครจะเลือกทาสีไหนก็ได้ ต้องได้รับการพิจารณาจากทางการก่อน ซึ่งจะมีการกำหนดให้สีสันไม่ซ้ำกันกับบ้านข้างๆ โดยบ้านแต่ละหลัง จะได้รับเฉดสีที่สืบทอดกันมาเป็นรุ่นสู่รุ่นกันเลยทีเดียว สีสันนี้ถูกคลุมโทนสีไปทั่วทั้งเกาะจนถึงโซนด้านนอกที่เป็นบ้านพักอาศัยจริง หากรู้สึกมึนงงกับสีสันจัดจ้าน ฉันแนะนำให้ไปผ่อนคลายอารมณ์ที่สวนหย่อมสีเขียวด้านหลังเกาะได้ แม้ว่าร้านอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่จะมีไม่มากนัก แต่ถูกกว่าเกาะท่องเที่ยวหลักอย่างเกาะเวนิส ขอบอก แถมอาหารทะเลที่นี่ยังสดมาก แนะนำให้ได้ลองกัน แล้วปิดท้ายด้วยคุกกี้ต้นตำรับของบูราโน่ ตรงบริเวณลาน Burano’s Piazza Galuppi คุกกี้นี้เรียกว่า Bussolà of Burano หรือ Buranelli ทำมาจากแป้งข้าวสาลี ผสมไข่แดง น้ำตาล และเนย มีรูปลักษณะคล้ายตัวเอส (S) บางทีก็จะมีการเติมกลิ่นวานิลลา หรือรัมให้หอมยิ่งขึ้น
ถึงบูราโน่จะเป็นหมู่เกาะที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก เดินผ่านๆ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็สามารถเดินทั่วทั้งเกาะได้ แต่ที่ฉันสังเกตเห็น นอกจากสีสันสวยงามของบ้านแต่ละหลังแล้ว บ้านทุกบ้านจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีให้มีสีที่สดใหม่อยู่เสมอ อีกทั้งชาวเมืองบูราโน่นั้นก็ไม่ได้คะยั้นคะยอให้เราซื้อสินค้าเขาแบบเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ยังดำเนินชีวิตไปอย่างเรียบง่าย เป็นมิตร น่ามาเยือนเป็นอย่างยิ่ง
– บูราโน่ เป็นหมู่เกาะ 4 เกาะที่เชื่อมโยงกันเป็นกลุ่ม ดังนั้น ในภาษาอังกฤษต้องใช้คำว่า Archipelago หรือ island group ไม่ใช่แค่ island
– วิธีไปเกาะบูราโน่ สามารถลงเรือได้ 2 ท่า คือ ที่ San Marco และ Fondamente Nove แต่ F.te Nove ใกล้กว่า ไม่ต้องนั่งเรืออ้อมไกล นั่งเรือจากเวนิสจะใช้เวลาประมาณสัก 40 นาที