Buenos Aires & Valparaiso สองเมืองสีสันแห่งอเมริกาใต้

เรื่องและภาพโดย…เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง

ว่ากันว่าสีสันสดใสไม่ว่าจากอะไรก็ตามมักทำให้เรารู้สึกสดชื่น แจ่มใส และร่าเริงขึ้น ความสดใสมีผลต่อจิตใจไม่น้อย จึงไม่แปลกที่เวลาไปเที่ยวตามสถานที่ที่มีสีสัน เราจะรู้สึกมีความสุขสนุกสนาน การเดินทางไปเยือนอเมริกาใต้ครั้งที่ผ่านมา ฉันได้พบกับสองเมืองสวยสุดสีสัน ที่เพิ่มความตื่นตาตื่นใจให้กับการเดินทางครั้งนั้น ได้มากเลยทีเดียว

LaBoca_235

บัวโนสไอเรส ดินแดนต้นกำเนิดแทงโก้: Buenos Aires, The City of Tango

อย่างที่ทราบกันดี บัวโนสไอเรส (Buenos Aires) เป็นเมืองหลวงของประเทศอาร์เจนติน่า เมืองที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศส จนได้รับขนามนามว่า “ปารีสแห่งทวีปอเมริกาใต้” หลอมรวมศิลปวัฒนธรรมและเสน่ห์วิถีชีวิตจัดจ้านเหมือนสีสันฉากหลังของเมือง ในตัวเมืองบัวโนสไอเรสมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง

LaBoca_200

ไม่ว่าจะเป็น Plaza de Mayo ซึ่งเป็นจัตุรัสกลางที่สำคัญที่สุดของเมือง เพราะเป็นที่ตั้งของ Casa Rosada หรือทำเนียบประธานาธิบดี ตึกสีชมพูนี้โดดเด่นและเคยโด่งดังมากในสมัยที่ เอวิตา เปรอน (Evita Peron) อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งภริยาของอดีตประธานาธิบดี ฮวน เปรอน ทั้งคู่เคยออกมาปราศรัยตรงระเบียง

BA_010

เอวิตา ถือเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในยุคหนึ่งของอา์เจนติน่า จนมีการนำเรื่องราวชีวิตของเธอมาทำเป็นภาพยนตร์ ฉากในภาพยนตร์ที่มาดอนน่าแสดงและออกมาร้องเพลง “Don’t cry for me Argentina” ที่ระเบียง

LaBoca_133

เป็นภาพประทับใจที่ฉันอยากมาเห็น Casa Rosada ด้วยตาสักครั้งหนึ่ง ที่ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งนี้ยังเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมด้านในฟรีในวันเสาร์และวันอาทิตย์อีกด้วย

LaBoca_165

Buenos Aires แปลว่าอากาศดี วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสอากาศดีสมชื่อ บรรยากาศชวนให้เดินเล่นชมโบสถ์วิหารและอาคารรอบๆ เนื่องจาก Plaza de Mayo เป็นจัตุรัสที่สำคัญ เมื่อมีงานเทศกาลหรือมีการประท้วงผู้คนก็จะแห่แหนกันมาที่นี่

LaBoca_045

วันนั้นมีพาเรดขบวนเล็กๆ ประท้วงรัฐบาลกระจัดกระจายอยู่รอบจัตุรัส เลยได้แต่เฝ้าสังเกตุสถานการณ์อยู่ห่างๆ หลังจากเดินเล่นชมตึกรามอาคารเก่าแก่ในย่าน Plaza de Mayo พอหอมปากหอมคอ

ไม่ไกลจากตรงนั้นยังมีสถานที่สำคัญอีกแห่ง นั่นก็คือ Cafe Tortoni คาเฟ่ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงบัวโนสไอเรสที่ใครๆ ก็แนะนำว่าไม่ควรพลาดหาโอกาสไปนั่งจิบชากาแฟชมบรรยากาศแสนคลาสสิค ด้านในตกแต่งสไตล์ฝรั่งเศส ในช่วงมื้ออาหารเย็นจะมีการแสดงเต้นแทงโก้ด้วย แต่เราขอแค่มานั่งจิบชาชิมขนมหวานชมบรรยากาศแล้วออกไปเดินเล่นชมเมืองกันต่อ

LaBoca_020

บัวโนสไอเรส นอกจากจะมีชื่อเสียงด้านสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีย่านหนึ่งที่กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ นั่นก็คือย่าน ลา โบกา (La Boca) ซึ่งมีอาคารบ้านเรือนที่ถูกแต่งแต้มหลากสี ดั่งเป็นหมู่บ้านสายรุ้งและถนนศิลปะ ช่วยสร้างสีสันและความแปลกใหม่ให้กับเมืองหลวงแห่งนี้ ที่นี่มีประวัติที่น่าสนใจ

LaBoca_078

เดิมหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอู่ต่อเรือที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Riachuelo ย้อนไปในคริสศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มผู้อพยพชนชั้นแรงงานได้มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ด้วยฐานะยากจน พวกเขาจึงต้องใช้ซากเรือและวัสดุเรือที่เหลือ เช่น แผ่นโลหะ กระดาษลูกฟูก มาสร้างเป็นบ้าน และยังนำสีที่เป็นของเหลือเท่าที่หาได้มาทาตกแต่งบ้านเรือน ซึ่งแต่ละสีมีจำนวนไม่มากพอที่จะทาทั้งหลัง ทำให้บ้านแต่ละหลังมีความหลากหลายสีนั่นเอง

LaBoca_098

หมู่บ้านนี้เกิดความเสื่อมโทรม แต่ได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งในปี 1950 เมื่อ Quinquela Martin ศิลปินท้องถิ่นที่ทำการระบายสีและสร้างสรรค์งานศิลปะบนผนังบ้านทั้งหลายให้ดูสดใสขึ้น สร้างเวทีเล็กๆ เพื่อจัดการแสดงต่างๆ และยังมีร้านค้าขายผลงานด้านศิลปะและสินค้าที่ระลึกเป็นถนนคนเดินที่น่าเพลิดเพลินใจ เปลี่ยนชุมชนเก่าที่เคยเสื่อมโทรมจนเกือบร้างให้กลับกลายมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ประจำเมืองที่โด่งดังมากในปัจจุบัน

LaBoca_035

แม้ ลา โบกา จะมีเพียงถนนคนเดินสายสั้นๆ El Caminto ซึ่งได้ชื่อมาจากบทเพลงแทงโก้ที่มีชื่อเสียงเพลงหนึ่ง แต่เป็นถนนที่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเดินเล่นถ่ายภาพ เดินชมงานศิลปะ หรือนั่งรับประทานอาหาร ชมนักเต้นรำที่แต่งองค์ทรงเครื่องมาเต้นโชว์ลีลาจังหวะแทงโก้ นอกจากนี้แฟนกีฬาไม่ควรพลาดไปเยี่ยมชมสนามกีฬา La Bombonera หรือถิ่นของทีมโบค่า จูเนียร์ (Football Club Boca Juniors) ที่นี่ถือเป็นจุดกำเนิดของตำนานแห่งวงการฟุตบอลอย่างมาราโดนาและเตเบซ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก หากเริ่มเบื่อความคึกคักของนักท่องเที่ยว ลองเดินออกมาจากถนน El Caminto ออกมาชมบ้านเรือนรอบๆแถวนั้น ก็ยังคงเห็นความมีสีสันและได้เห็นวิถีชีวิตของชาวอาร์เจนติน่าได้ดีอีกด้วย

LaBoca_185

ข้อมูลเพิ่มเติม
ย่าน ลา โบกาตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมืองบัวโนสไอเรส สามารถเดินทางจากย่าน Plaza de Mayo ด้วยการนั่งรถแท๊กซี่หรือรถบัสนักท่องเที่ยวมายัง El Caminto หรือสนามกีฬา La Bombonera

บัลปาราอีโซ อัญมณีแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก: Valparaíso, The Jewel of the Pacific

เมื่อพูดถึงประเทศชิลี คนส่วนใหญ่อาจจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างดินแดนปาตาโกเนีย หรือเกาะอีสเตอร์อันไกลโพ้น หรือบางคนอาจจะจดจำภาพประวัติศาสตร์ด้านการเมืองช่วงทศวรรษ 1970 ที่ไม่ค่อยสวยหรูนัก แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ชิลีเป็นอีกประเทศหนึ่งที่โด่งดังเรื่องสตรีทอาร์ต (Street Art) วัฒนธรรมการเขียดเขียนระบายสีลงบนผนังได้เดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกามาถึงทวีปอเมริกาใต้ แล้วค่อยๆพัฒนาโดยศิลปินท้องถิ่นจนกลายมาเป็นสตรีทอาร์ตแบบชิลีที่เห็นในปัจจุบัน

Valparaiso_117

บัลปาราอีโซ (Valparaíso) เป็นเมืองท่าที่สำคัญและเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศชิลี อยู่ห่างจากกรุงซานติอาโก (Santiago) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 120 กิโลเมตร เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดในอเมริกาใต้ เป็นจุดพักระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกกับแปซิฟิกที่เรือสินค้าทุกลำต้องผ่านและแวะที่นี่ก่อนเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกา แต่ต่อมาเมื่อมีการขุดคลองปานามาขึ้น การเดินทางอ้อมทวีปอเมริกาใต้จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป

Valparaiso_067

ความสำคัญของเมืองนี้ก็ลดลง แต่ตอนนี้บัลปาราอีโซกลับมาเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางอีกครั้ง เนื่องจากกลิ่นไอศิลปะ  วัฒนธรรมสตรีทอาร์ต ทัศนียภาพที่งดงาม และสถาปัตยกรรมยุคล่าอาณานิคมที่มีเสน่ห์จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก (UNESCO World Heritage) ในปี 2003 เปล่งประกายส่องสว่างจนได้รับฉายาว่าเป็น อัญมณีแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก (The Jewel of the Pacific)

Valparaiso_144

แรกพบสบตา หากยืนมองเมืองบัลปาราอีโซจากระยะไกล จะเห็นว่าเมืองนี้ประกอบขึ้นจากเนินเล็กๆ หลายๆ เนินเรียงติดกัน บ้านเรือนกระจายอยู่บนเนินเขา เมื่อขยับเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นความแตกต่างของสรรพสีที่ถูกทาลงบนบ้านแต่ละหลัง กลายเป็นสีสันสดใสและจุดขายของเมือง

Valparaiso_121

ในเมืองจะมีเขตที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่าง Cerro Bellavista, Cerro Concepción และ Cerro Alegro ซึ่งเป็นจุดหมายหลักในการเดินเล่นดูงานศิลปะบนผนัง แถวนี้มีพื้นที่ที่ไม่ถูกครอบคลุมด้วยงานศิลปะน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นการขีดเขียนธรรมดา ภาพวาดสีฉูดฉาด กระเบื้องโมเสก ไปจนถึงการใช้หิน ต้นไม้ และวัสดุต่างๆ ประกอบให้เป็นรูปภาพขึ้นมา งานศิลปะโชว์ตัวอยู่แทบทุกผนัง บันได และทุกมุมตึก

Valparaiso_100

เรียกได้ว่า ที่นี่เป็นสวรรค์ของผู้คลั่งไคล้ศิลปะและการถ่ายภาพอย่างแท้จริง เพื่อนชาวชิลีเล่าว่า สตรีทอาร์ตที่นี่เริ่มต้นขึ้นหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1980 (ซึ่งโดยสถิติแล้วที่นี่มีเหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นถี่จนน่าตกใจ ขณะที่ฉันเดินทางอยู่ที่ชิลีก็มีเหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นทางตอนเหนือของประเทศด้วย)

Valparaiso_144

และในขณะที่ชาวเมืองกำลังช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมเมืองนั้น ปาโบล เนรูดา (Pablo Neruda) กวีชื่อดังของชิลีได้ชักชวนเพื่อนศิลปินจากหลายประเทศให้มาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานฝาผนังที่นี่ เพื่อเพิ่มขวัญและกำลังใจให้ชาวบ้าน

Valparaiso_056

จนปัจจุบันงานกราฟิตี้ (Graffiti) กลายเป็นที่นิยมและถูกกฎหมาย ในย่านมรดกโลกนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึกและที่พักเก๋ๆ และจุดชมวิวมุมสูงเพื่อชมทัศนียภาพที่งดงามของทะเลและตัวเมือง น่าเสียดายที่วันนั้นท้องฟ้าค่อนข้างครึ้มมีเมฆปกคลุมเลยไม่สามารถมองเห็นวิวท่าเรือและทะเลได้ชัดเจนนัก

Valparaiso_216

หากมีโอกาสเดินทางมาเที่ยวชิลี ลองให้เวลากับ บัลปาราอีโซ เมืองสุดสีสันบนเนินเขาแห่งนี้ รับรองไม่ผิดหวังกดชัตเตอร์กันเพลิดเพลิน ได้ภาพถ่ายสวยๆ เต็มเมโมรี่การ์ดแน่นอน

Valparaiso_206

ข้อมูลเพิ่มเติม
การเดินทางไปเมืองบัลปาราอีโซ สามารถเดินทางด้วยตัวเองแบบ Day trip โดยรถบัสจากซาติอาโกที่ท่ารถ Pajaritos (สถานีรถไฟใต้ดิน Universidad de Santiago) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือซื้อทัวร์จากซานติอาโกก็ได้ หากมีเวลาจะค้างคืนที่บัลปาราอีโซก็ไม่ผิดกติกาเพราะมีที่พักสวยๆเก๋ๆให้เลือกเพียบเลย

Valparaiso_204

หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ถ่ายรูปกับต้นไม้ ทะเล หรือภูเขาแล้ว การไปชมสถาปัตยกรรม ถ่ายรูปอาคารบ้านเรือนในแต่ละประเทศนั้นก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ “เก๋” ไม่แพ้กัน ออกไปพบมุมมองใหม่ๆ เติมความสดใสให้กับชีวิตกันเถอะ

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0