Hola Barcelona บาร์เซโลน่า เมืองที่มีดีมากกว่าทีมฟุตบอล
Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
หากเอ่ยถึง “บาร์เซโลน่า” (Barcelona) หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะเป็นเมืองที่โด่งดังเรื่องทีมฟุตบอลระดับโลกอย่างสโมสรบาร์เซโลน่าที่มีดาวยิงชื่อดังที่คอบอลรู้จักกันดี สำหรับคนที่คลั่งไคล้ในศิลปะโดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรม
เมืองนี้ยังโดดเด่นด้วยสถานที่สวยสะดุดตาและมีเอกลักษณ์หาดูได้ยากจากที่อื่น ด้วยผลงานอันมีชื่อเสียงของอันโตนิโอ เกาดี้ (Antoni Gaudi) สถาปนิกและศิลปินชื่อดังของเมืองนี้ บาร์เซโลน่ายังเป็นเมืองหลวงของ Catanolia ซึ่งเป็นแคว้นปกครองตนเอง และเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากเมืองมาดริด (Madrid) ประเทศสเปนอีกด้วย การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองจึงสะดวกสบายและครบครัน
ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงจากสนามบินมายังศูนย์กลางเมืองในย่าน Placa de Catalunya หลังจากเก็บกระเป๋าเข้าที่พัก ฉันและเพื่อนสนิทก็รีบออกไปตะลุยหาของกินอร่อยๆ เป็นอันดับแรก ที่พักอยู่ไม่ไกลจากย่านมหาวิทยาลัยซึ่งมีคาเฟ่เก๋ๆ และร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ชวนเข้าไปลอง
หลังท้องอิ่มจากข้าวผัดปาเอญ่าและทาปาส ก็ถึงเวลาไปเดินเล่นชมเมือง ซึ่งเราพลาดไปเริ่มต้นกันที่ถนนช้อปปิ้งชื่อดัง Passeig de Gràcia เพื่อนสาวขาช้อปของฉันก็เหมือนตกอยู่ในวังวน แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้เพราะมีแฟชั่นสุดร้อนแรงราคาน่าคบอยู่ทั้งสองฝั่งถนน เราเดินไปต่อกันที่ถนนลารัมบลา (La Rambla) ถนนคนเดินที่มีชีวิตชีวามากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ที่นี่ไม่เคยเงียบเหงา ทั้งนักท่องเที่ยวจากทั่วมุมโลก และชาวเมืองเองต่างชอบมาเดินเตร็ดเตร่ เพราะมีทั้งร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก โรงแรมที่พักตลอดสองข้างทาง
ที่สำคัญตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขตเมืองเก่า Barri Gothic คือย่านเมืองเก่าของบาร์เซโลน่า เริ่มต้นกันที่หนึ่งในมุมมหาชน ตัวอักษร BARCIO ชื่อเดิมของบาร์เซโลน่าที่ตั้งอยู่ด้านหน้ากำแพงโบราณ เรารอคิวเพื่อเก๊กท่าถ่ายภาพกับตัวอักษร BARCIO อยู่นานจนถอดใจ หันไปถ่ายภาพโบสถ์ประจำเมือง Barcelona Cathedral (Placa de La Seu Barcelona) แทน
ได้ยินมาว่าด้านในโบสถ์สวยงามมากด้วยความผสมผสานของศิลปะ Catalan – Gothic น่าเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปชมเพราะกำลังมีงานพิธี แต่เราก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศน่าประทับใจ ทุกเช้าวันอาทิตย์ชาวเมืองจะมารวมตัวกันเต้น Sadrana ของชาวคาตาลันที่จัตุรัสหน้าโบสถ์ ช่วยเติมความกระชุ่มกระชวยให้การเดินทางได้ดีทีเดียว
เดินผ่านกำแพงโรมันมาทางด้านหลังของโบสถ์ก็จะมาเจอ Carrer del Bisebe ที่นำพาเราเข้าสู่เขตโกธิคไปตามตรอกซอกซอยในย่านเมืองเก่าที่บรรยากาศสุดขลัง ก่อนจะเดินออกมาเจอกับถนนลารัมบลาอีกครั้ง
ช่วงบ่ายถนนลารัมบลายิ่งคึกคัก ฉันชอบถนนเส้นนี้มาก เพราะนอกจากสะอาดสะอ้านและมีต้นไม้คอยสร้างความร่มรื่นตลอดทางแล้ว ยังมีร้านรวงให้ผู้มาเยือนได้แวะซื้อของ กิน ดื่ม ทั้งกลางวัน และกลางคืน ราวกับว่าเป็นถนนที่ไม่เคยหลับ ร้านค้าและร้านอาหารต่างๆ ที่นี่จะปิดในช่วงกลางเดือนสิงหาคมไปจนถึงต้นเดือนกันยายน เพราะเป็นช่วงวันหยุดพักผ่อนประจำปีของชาวเมืองบาร์เซโลน่า
สิ่งปลูกสร้างชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอันสวยงามของถนนสายนี้คือ โรงภาพยนตร์ Liceu Theatre
เราแวะเข้าไปในตลาด Mercat de la Boqueria ที่อยู่ริมถนนลารัมบลา ที่นี่มีอาหารให้เลือกซื้อมากมายทั้งเนื้อ แฮม ชีส ถั่ว ผักผลไม้ และอาหารทั่วไป
เมื่อเดินไปสุดตรงท้ายถนนลารัมบลาจะเจอกับท่าเรือสำคัญของเมือง (Port Vell) ที่มีอนุสาวรีย์คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ยืนคอยอยู่ บรรยากาศแถวท่าเรือสดชื่นแจ่มใส ผู้คนออกมาเดินเล่น นั่งพักผ่อน ออกกำลังกาย พวกเราเดินทอดน่องไปตามทางเดินริมทะเลเพื่อไปชมบรรยากาศชายหาด
ที่บาร์เซโลน่ามีชายหาดสวยๆ หลายแห่ง แต่ที่ครองใจนักท่องเที่ยวมากที่สุดคงหนีไม่พ้นชายหาดบาร์เซโลเนตา (Barceloneta) ที่ทอดยาวขนานกับทะเลและตัวเมือง ชาวเมืองบ้างก็ออกมานอนอาบแดดบนหาดหรือไม่ก็ปั่นจักรยานกินลมชมวิว
ในช่วงที่อากาศยังหนาวอยู่เลยไม่ค่อยมีใครใจกล้าลงเล่นน้ำ ถ้าหากมาในช่วงฤดูร้อนบรรยากาศริมทะเลคงคึกคักมากกว่านี้ พวกเราเลือกนั่งพักจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ให้ชื่นใจในร้านอาหารสไตล์เก๋ริมหาดอยู่พักใหญ่ ก่อนเดินกลับไปยังบริเวณท่าเรือเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศนั่งเรือชมวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกันบ้าง
เมื่อมาถึงท่าเรือ เราเลือกซื้อตั๋วเรือแบบที่เป็นพื้นตาข่าย เพราะเราสองคนยังไม่เคยนั่งเรือแบบนี้มาก่อนแถมยังดูสบายน่าเพลิดเพลินแต่ความจริงแล้วช่างแตกต่างกับที่คิดไว้มาก
เราโชคไม่ดีที่พอเรือแล่นออกทะเลปุ๊บ ลมทะเลและคลื่นแรงก็พัดซัดมาต้อนรับเราปั๊บ ทั้งหนาว และชวนมึนหัวยิ่งนัก
ใครที่เมาเรือแนะนำว่าอย่าเลือกนั่งเรือแบบนี้ บางช่วงคลื่นแรงน้ำทะเลจากใต้เรือซัดเข้ามาจนกล้องถ่ายรูปและเสื้อผ้าของพวกเราเปียกปอนไปหมด จากบรรยากาศที่คิดว่าโรแมนติก นักท่องเที่ยวทุกคนบนเรือต่างคว้าผ้าห่มมาคลุมกันหนาว ล้มตัวลงนอนราบแก้เมาแทนการนั่งชมวิวริมฝั่งชิลๆ แทน
ยังดีที่มีคนมาเป่าแซคโซโฟนให้ฟังกล่อมให้พวกเรานอนหลับพับลมทะเลกันไปเป็นเวลาเกือบชั่วโมง คืนนั้นเราต้องออกไปหาอาหารรสจัดๆ รับประทานกันเพื่อแก้เมากันเลย
ตามรอย อันโตนิโอ เกาดี ชมศิลปะแบบอาร์ตนูโว สิ่งที่ตอกย้ำว่าเมืองบาร์เซโลน่าไม่ได้มีชื่อเสียงเฉพาะในเรื่องฟุตบอล ก็คือกลิ่นอายของศิลปะแบบอาร์ตนูโวที่ลอยฟุ้งอยู่ทั่วมุมเมือง ด้วยผลงาน การออกแบบของศิลปินเอกชาวคาตาลัน อันตอนี เกาดี ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยรูปแบบการออกแบบที่ไร้ข้อจำกัดเอาไว้ให้ชาวโลก และคนรุ่นหลังได้ไปชื่นชม
เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปเที่ยวปาร์คเกวย์ (Park Güell) เพราะไม่ได้จองตั๋วไว้ล่วงหน้า เรามาถึงก่อน 8 โมงเช้าเพียงชั่วนาที ซึ่งเป็นเวลาเปิดอย่างเป็นทางการ จึงได้เข้าไปในสวนฟรีๆ โดยที่ไม่รู้มาก่อน ตั้งใจแค่ว่ามาถึงเช้าคิวคงไม่ยาวเกินไป ที่นี่นับเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของเกาดี
ปัจจุบันได้กลายเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่โชว์ผลงานอันโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม ทั้งยังมีนิทรรศการประติมากรรมสวยๆ ให้ได้ชมกันด้วย สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ถูกล้อมรอบด้วยความร่มรื่นของต้นไม้
ทำให้เดินชมความงดงามของศิลปะได้เพลิดเพลินมากขึ้น ตึกทรงเหมือนบ้านขนมปังที่อยู่ตรงทางเข้า
รูปปั้นตัวซาลาแมนเดอร์ และการตกแต่งด้วยกระเบื้องสีที่สวยแปลกตา มีเอกลักษณ์นับเป็นจุดเด่นของที่นี่ ปาร์คเกวย์ตั้งอยู่บนเนินเขา จึงสามารถชมวิวเมืองบาร์เซโลน่าได้ทั่วเมือง แดดอ่อนยามเช้า ส่องให้วิวเมืองดูสวยโรแมนติกขึ้นมาก
ช่วงสายเราไปชมผลงานของเกาดีในตัวเมืองกันต่อ พอมาถึงเราเห็นแถวยาวๆ ด้านหน้าคาซามิลา (Casa Mila) และคาซาบัตโย (Casa Batlló) ก็เริ่มใจเสียเพราะไม่ได้ซื้อตั๋วมาล่วงหน้า ไหนๆ ก็มาถึงถิ่นจะให้พลาดชมมรดกชิ้นมาสเตอร์พีซ ก็คงไม่ได้ พวกเราจึงเลือกต่อคิวเข้าชมคาซาบัตโยเพียงที่เดียว คาซาบัตโยเป็นอพาร์ทเมนท์ที่สร้างในปี ค.ศ. 1875 โดย Josep Batlló Cassanovas ได้ว่าจ้างให้เกาดีที่ในขณะนั้นอยู่ในช่วงมีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุดในสายอาชีพของเขา
ให้ทำการปรับปรุงซ่อมแซมบูรณะที่นี่ให้ไม่เหมือนใครด้วยงบไม่อั้น ซึ่งแน่นอนว่าศิลปินสถาปนิกมือพระกาฬระดับเกาดีไม่ทำให้ผิดหวัง สร้างสรรค์ให้ที่นี่กลายเป็นคฤหาสถ์ ที่โดดเด่นที่สุดบนถนน Passeig de Gràcia ด้านนอกอาคารมีการตกแต่งอย่างสวยงามสไตล์ Modernist ที่มีการวาดลวดลายงดงามด้วยโมเซกหลากสี และรูปแบบของระเบียงที่คล้ายกับปราสาทในเทพนิยาย ชื่อเล่นของคาซาบัตโยคือบ้านกระดูก เสาที่ตกแต่งหน้าบ้านเปรียบเหมือนโครงกระดูกมังกรที่ถูกฆ่าโดย Sant Gorge นักบุญประจำเมืองบาร์เซโลน่า ระเบียงมองให้ดีจะดูเหมือนหัวกะโหลกและป้อมซ้ายมือของหลังคามีหัวเป็นไม้กางเขน เปรียบเสมือนหอกของ Sant George ที่ใช้ฆ่ามังกร หลังคาทำโค้งเหมือนหลังมังกร
กระเบื้องหลังคาเป็นสามเหลี่ยมกรุซ้อนให้ดูเป็นเกล็ดผิวมังกร แต่เมื่อเข้ามาด้านในของอาคารฉันรู้สึกทึ่งไปอีกกับความงดงามเหนือคำบรรยาย ซึ่งฉันชอบที่นี่มากๆ ทั้งแสง สี กระจก กระเบื้องสี และความโค้งเว้าต่างๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ใต้น้ำ ฉันยังชื่นชอบรูปแบบการให้ข้อมูลและที่มาของการออกแบบโดยสื่อที่ใช้อันทันสมัย
นอกจากหูฟังคำบรรยายยังมีอุปกรณ์หน้าตาคล้ายโทรศัพท์มือถือที่เมื่อเราเอาหน้าจอไปจ่อตรงชิ้นงานไหนก็จะกลายเป็นภาพสามมิติ เพื่อเพิ่มความเข้าใจเรื่องการออกแบบได้ดียิ่งขึ้น ดาดฟ้าเป็นอีกจุดเด่นของคาซาบัตโย ปล่องไฟมีลวดลายสีสันสวยงามด้วยเทคนิคการกรุกระเบื้องแตกตามสไตล์ของเกาดี นับเป็นผลงานที่น่าทึ่งมากๆ
ตอนบ่ายเราจองตั๋วเข้าชมโบสถ์ซากราดาฟามีเลีย (Sagrada Família Church) ไว้ล่วงหน้า หนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สวยงามที่สุดของบาร์เซโลน่าซึ่งใช้เวลาสร้างมายาวนานกว่า 100 ปีแล้ว และคาดว่า จะเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2026 ที่สำคัญคือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของเจ้าเก่า อันตอนี เกาดี หากมาเจอสภาพภายนอกที่ยังเต็มไปด้วยเครนมากมายก็อย่าเพิ่งถอดใจหรือตัดสินใจเดินจากไป เพราะด้านในสวยงาม อลังการมาก
เกาดีใช้เวลาสุดท้ายของชีวิตเพื่อออกแบบและคุมการก่อสร้างที่นี่ แทบจะกินนอนอยู่ที่นี่จนถึงแก่กรรม เสาภายในโบสถ์เกาดีออกแบบให้สูงชะลูดแล้วแผ่กิ่งก้านออกไปรับน้ำหนักของเพดาน และเพื่อให้ดูเหมือนต้นไม้ในป่า เขาอยากให้คนที่มาที่นี่รู้สึกเหมือนใกล้ชิดกับพระเจ้าในความสงบกลางป่าลึก ซึ่งงานออกแบบของเกาดีทุกชิ้นมักมีแรงบันดาลใจมากจากธรรมชาติทั้งสิ้น การยืนถ่ายรูปเพดานของโบสถ์ที่นี่เมื่อยคอจริงๆ เพราะต้องแหงนคอ 90 องศา แต่สวยวิจิตรเกินห้ามใจ
ในยามบ่ายแสงแดดส่องสะท้อนหน้าต่างกระจก Stain-glass หลากสีสันเข้ามางดงามมากๆ ชั้นล่างมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโมเดลแบบร่างของเกาดี ชิ้นโมเดลส่วนสีเข้มคือของเดิมที่เกาดีทำไว้ และสีขาวคือส่วนที่ทำเสริมขึ้นหลังจากเกาดีเสียชีวิต ในโบสถ์ชั้นใต้ดินยังมีหลุมศพของเกาดีอยู่ ซึ่งเราสามารถมองเห็นได้แค่บางส่วนผ่านช่องกระจกชั้นบน ที่นี่ยังมีหอคอยของโบสถ์ที่สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองบาร์เซโลน่าได้ แต่เราพลาดเพราะไม่ได้ซื้อตั๋วมาด้วย เราใช้เวลาอิ่มเอมกับงานศิลปะและสถาปัตยกรรมของที่นี่นานพอสมควร ก่อนจะกลับเข้าไปเดินเล่นในตัวเมืองอีกครั้ง
เรานั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Plaza Espanya ซึ่งเราจะเห็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะคาตาลุนย่า (National Art Museum of Catalonia) ตะหง่านอยู่บนเนินเขาตรงหน้า
ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินมี Arenas de Barcelona อดีตสนามสู้วัวกระทิงที่ปัจจุบันเป็นศูนย์การค้า แคว้นคาตาลุนย่ายกเลิก Bullfight ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 แต่ยังคงมี Bull-dodging ที่ไม่มีการฆ่ากระทิง เราเดินมุ่งหน้าไปยังน้ำพุ Font Magica (Magic Fountain of Montjuïc) เพื่อปิดท้ายคืนนี้กันด้วยการแสดงแสงสีเสียงของระบำน้ำพุยามพลบค่ำที่สุดตระการตา
สำหรับฉัน บาร์เซโลน่ามีบุคลิกไม่ค่อยเหมือนเมืองไหนในยุโรป มีเสน่ห์น่าหลงใหลและดึงดูดใจ จึงไม่ค่อยแปลกใจที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอยู่ตลอดเวลา ทั้งบรรยากาศริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองแห่งแฟชั่นหรือกระแสคลั่งไคล้ฟุตบอล
งานนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นคอบอล คนคลั่งไคล้ศิลปะ หรือขาช้อป ก็ไม่ควรพลาดที่จะมาเยือนบาร์เซโลน่าสักครั้ง เพราะเป็นเมืองที่แสนสุนทรีย์และมีชีวิตชีวาที่สุดเมืองหนึ่งของโลก
ข้อมูลเพิ่มเติม
– บาร์เซโลน่าเป็นเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยวแต่ละจุดจะอยู่ไกลกัน การเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินจึงสะดวกที่สุด แนะนำให้ใช้ Barcelona Card ซึ่งสามารถใช้บริการรถสาธารณะทุกอย่าง รวมถึงฟรีค่าเข้าชมสถานที่บางแห่ง มีทั้งแบบ วัน 2 ราคา 24 ยูโร และ 5 วัน ราคา 34 ยูโร หรือซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินแบบเหมารอบละ 10 เที่ยว (T-10) ได้ในราคาแค่ 9.95 ยูโร
– จองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าเพื่อเข้าชมโบสถ์ซากราดาฟามีเลีย www.sagradafamilia.org/en/tickets/