Autumn in Slovakia
Story & Photo by Kanjana Hongthong
นอกจากเทศกาลจะเปลี่ยนเมืองที่เคยเงียบเหงาให้คึกคักได้ ฤดูกาลยังเป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่เนรมิตบรรยากาศของเมืองให้เปลี่ยนไปได้เช่นกัน ก็คงเหมือนกับเมืองหลวงของสโลวาเกีย (Slovakia) อย่างบราติสลาวา (Bratislava) เที่ยวนี้
ฉันมาตรงกับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีพอดิบพอดี เลยวาดหวังว่า นอกจากจะได้เห็นเมืองเก่าอันแสนคลาสสิกแล้ว คงจะได้เห็นคืนวันอันฉูดฉาดในบราติสลาวาด้วยเช่นกัน และไม่ว่าใครจะยึดเวียนนาหรือบูดาเปสต์เป็นต้นทาง ก็มาถึงสโลวาเกียได้เหมือนกัน
ครั้งแรกในการมาเยือนบราติสลาวาของฉัน เคยใช้บูดาเปสต์เป็นต้นทาง ครั้งถัดมา ลองใช้เวียนนาเป็นต้นทางดูบ้าง แล้วก็พบว่า ไม่ว่าจะมาจากทางไหน ก็มาถึงนครหลวงของสโลวาเกียได้ทั้งสิ้น แถมสะดวกสบายซะอีกเมื่อได้รถไฟยุโรปช่วยกระเตงพามาส่ง จากเวียนนามาถึงบราติสลาวาแค่ประมาณ 50 กิโลเมตรเท่านั้น ชั่วโมงการนั่งรถไฟจึงสั้นแค่ราวๆ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
ยิ่งเดี๋ยวนี้สโลวาเกีย เปิดไฟเขียวให้คนมีวีซ่าเชงเก้นเข้านอกออกในได้ตามสะดวก เลยกลายเป็นว่านักท่องเที่ยวเยอะเข้าไปใหญ่ เพราะคนมาเวียนนา ไม่มีใครไม่อยากเห็นสโลวาเกีย สโลวาเกียอาจจะเข้าเป็นสมาชิกยุโรปแต่ถ้าเทียบมาตรฐานค่าครองชีพกับประเทศอื่นในยุโรป จัดว่ายังไม่ค่อยแพงเท่าไหร่
ที่จริงฉันเองก็ค่อนข้างแปลกใจกับสโลวาเกียเล็กน้อย เพราะประเทศที่หลบอยู่ใต้ร่มเงาของระบบคอมมิวนิสต์มานาน เราก็คิดว่า น่าจะอึมครึมพอประมาณ แต่พอม่านเหล็กถูกคลี่ออกเท่านั้นแหละ ทุกคนก็พบว่าประเทศเล็กๆ อย่างสโลวาเกียน่ารักน่ามองเหลือเกิน
พูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ของสโลวาเกีย แต่ก่อนนี้ฉันค่อนข้างสับสนระหว่างสโลวีเนียกับสโลวาเกียมาก เพิ่งมาแตกฉานตอนก่อนมาเที่ยวนี่เอง ว่าสโลวีเนียแยกมาจากยูโกสลาเวีย ส่วนสโลวาเกียแตกมาจากเชกโกสโลวาเกีย
ช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เชกโกสโลวาเกียถูกตั้งขึ้นเป็นประเทศใหม่ ภายใต้การแผ่อิทธิพลของสหภาพโซเวียต แต่เมื่อระบบคอมมิวนิสต์ล่มสลายลง เชกโกสโลวาเกีย ก็ถูกแบ่งประเทศออกเป็นเช็กและสโลวาเกียอย่างทุกวันนี้
เรียกว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่แยกตัวออกจากกันมาได้ 10 กว่าปีแล้ว ก่อนที่สโลวาเกียจะเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปเมื่อเดือนพ.ค. ปี 2004 และเพิ่งเปลี่ยนจากเงินโครูนามาใช้เงินยูโรเมื่อต้นปี 2009 ที่ผ่านมานี้เอง
จะว่าไป สโลวาเกียเป็นประเทศไซส์เอส เล็กแค่นิดเดียว แต่บรรจุความน่าสนใจเอาไว้ทุกอณู อย่างบราติสลาวามีทั้งโซนเมืองเก่า เมืองใหม่ แต่มุมที่ทำให้คนอยู่ด้วยแล้วสบายตาสบายใจก็เห็นจะเป็นแถวริมแม่น้ำดานูบ
แต่ถ้าเป็นแบบฉบับของนักเดินทางทั่วไป ส่วนใหญ่เมื่อมาถึงบราติสลาวาก็จะมุ่งหน้าไปปราสาทบราติสลาวากันก่อน ปราสาทที่ทอดตัวอยู่บนเนินเขาคาร์เบเธียนเหนือลุ่มน้ำดานูบ ยืดอกรับแขกต่างถิ่นอย่างสง่าผ่าเผย ปราสาทแห่งกรุงบราติสลาวาที่ทอดตัวอยู่บนเนินเขาเหนือลุ่มน้ำดานูบ ราวกับคนแก่ที่เอามือยืนไพล่หลังกวาดสายตามองทุกความเคลื่อนไหวในเมืองหลวง
ที่นี่เป็นสิ่งปลูกสร้างในยุคเริ่มก่อร่างสร้างเมืองในปลายยุคหินตามประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าเคยเป็นที่มั่นของพวกชนเผ่าต่างๆ มาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคที่ชาวโมราเวียเข้ามาเป็นผู้ปกครอง ก่อนที่จะมาร่วมกับพวกโบฮีเมีย กลายเป็นประเทศเชกโกสโลวาเกีย ตัวปราสาทมีหอคอยสูง 80 เมตร ทั้ง 4 ด้าน ผสมผสานคละเคล้าไปด้วยศิลปะแบบโกธิค เรอเนซองส์ และบาร็อค
เห็นสวยๆ แบบนี้ ที่จริงผ่านการโมดิฟายมาหลายครั้งเพื่อให้ถูกอกถูกใจผู้ปกครองในแต่ละยุคแต่ละสมัย มีอยู่ช่วงหนึ่งราวๆ ต้นศตวรรษที่ 19 ต้องบูรณปฏิสังขรณ์กันชุดใหญ่ใช้เวลาถึง 100 กว่าปี เพราะตอนนั้นปราสาทถูกไฟไหม้จนเสียหายยับเยิน
ทีแรกมองจากมุมไกล ก็ชักเห็นด้วยที่เขาว่าปราสาทบราติสลาวาคล้ายเตียงที่หงายท้องขึ้น โดยมีขาเตียงเป็นหอคอยสี่มุม แต่พอกระเถิบเข้าใกล้ก็เห็นด้วยอีกครั้งที่เขาร่ำลือกันว่าที่นี่คือปราสาทสุดคลาสสิกในย่านยุโรปตอนกลาง คนที่ขึ้นมาบนนี้ ได้ของสมนาคุณเป็นวิวห้าดาวกันทุกคน เพราะเมื่อยืนบนนี้จะมองเห็นแม่น้ำดานูบทอดยาวขนานตัวเมืองไปอย่างงดงาม นี่ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนเขาจะมีทัวร์พาล่องแม่น้ำดานูบด้วย
เป็นไปอย่างที่คาดหวัง มาเที่ยวนี้นอกจากได้ชมปราสาทแล้ว ยังได้ดื่มด่ำกับสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีอย่างฉ่ำปอด โดยเฉพาะแถวริมแม่น้ำดานูบ ใบไม้เปลี่ยนสี สะบัดสีเหลือง แดง ส้ม น้ำตาลได้อย่างงดงาม ก่อนจะบอกลาปราสาทบราติสลาวา ใครเริ่มคันไม้คันมืออยากจะช้อป ตรงตีนปราสาทก็มีช็อปเล็กๆ ให้ระบายเงินยูโรกันด้วย
แต่ความที่ฉันเป็นคนมีใจให้ย่านเมืองเก่าเป็นทุนเดิม พอลงจากปราสาทฉันเลี้ยวซ้ายเดินลงไปหาเมืองเก่าอย่างไม่ลังเล ภายในเมืองเก่ามีทั้งอาคารบ้านเรือนเก่าแก่
และยังมีวังเก่า ร้านขายยาโบราณ โรงละคร พิพิธภัณฑ์ โบสถ์ ศาลาว่าการ และจัตุรัสกลางเมืองที่แม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็มีความสวยงามอยู่ในตัว
คุณสมบัติของเมืองเก่า โดยมากมักจะซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากมาย ตึกและอาคารบางแห่งหน้าตาดูธรรมดา บางแห่งถูกดัดแปลงเป็นคาเฟ่และร้านอาหาร แต่กลับมากมายไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องราว ทุกซอกซอยของเมืองเก่ามากมายไปด้วยเรื่องเล่า แม้แต่ศาลาว่าการประจำเมืองที่มีรอยกระสุนฝังอยู่ที่ผนังตึก นั่นก็คือแผลเป็นที่กองทัพนโปเลียนฝากไว้ให้ชาวบราติสลาวาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
แต่ถึงยังไง ในรั้วรอบขอบชิดของเมืองเก่า แน่นขนัดไปด้วยบ้านเรือนเก่าแก่หลากสีสันในแบบอาร์ตนูโว แต่เท้าทุกคู่มุ่งหน้าไปหาจัตุรัสศาลาว่าการประจำเมือง ที่ลานกว้างแห่งนี้มักจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ที่ต่างเดินทางมาเพื่อชื่นชมความงดงามในสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างเรเนซองส์และโกธิคของสถานที่แห่งนี้
บ้างก็มานั่งชิลตามคาเฟ่ บ้างก็นั่งดูน้ำพุแมกซิมิเลียนที่อยู่กลางจัตุรัส พวยพุ่งสายน้ำขึ้นอย่างเบิกบาน
ฟังเสียงเพลงอันรื่นหูที่ลอยละล่องมาจากนักดนตรีเร่
ทั้งจัตุรัสเนี่ยเห็นจะมีอยู่มุมหนึ่งที่เนื้อหอมสุดๆ นักท่องเที่ยวมะรุมมะตุ้มจนไม่เคยว่าง นั่นก็คือเก้าอี้ริมทางที่มีรูปปั้นของนโปเลียนยืนเท้าเก้าอี้ชะโงกหน้ามาหาคนนั่ง ชวนให้คนเห็นผลิยิ้ม
เพราะในความเป็นจริงนโปเลียนอาจไม่มีอารมณ์มายืนชิลแบบนี้ แต่นี่เป็นการทำรูปปั้นขึ้นแบบล้อเลียน นโปเลียนที่เคยนำทัพมาโจมตีบราติสลาวา
ในเมืองเก่ายังมีโบสถ์ฟรานซิสกันและพระราชวังไพร์มเมทที่ตั้งอยู่ในจัตุรัสเล็กๆ ใกล้กับศาลาว่าการ ที่นี่เป็นวังของอาร์คบิชอปที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13
ฉันค่อยๆ ซอกแซกไปเมืองเก่าอย่างไม่รีบเร่ง เตร็ดเตร่ไปแบบช้าๆ สโลว์ๆ ค่อยๆ ทำความรู้จักกับบราติสลาวาทีละนิด แล้วก็พบว่านครหลวงแห่งสโลวาเกียน่าเที่ยวไม่แพ้เมืองไหนในยุโรปเชียวละ และยิ่งเป็นช่วงที่บราติสลาฉ่ำไปด้วยสีสัน
มองไปทางไหนจึงไม่ได้เห็นแค่สีสันอันแสนงดงาม แต่ฉันว่ามีความโรแมนติกแทรกตัวอยู่บางๆ ในทุกอณูเมือง อาจไม่เบิกบานเท่าซัมเมอร์ ไม่สดใสเท่าช่วงสปริง แต่ช่วงออทั่มก็ทำให้บราติสลาวามีเสน่ห์อย่างประหลาด หนาวๆ เคล้าโรแมนซ์ แล้วความทรงจำของฉันก็เปรอะเปื้อนไปด้วยสีสัน
– จากกรุงเทพฯ ไปบราติสลาวาไปตั้งหลักที่เวียนนาก่อน มีเที่ยวบินไปเวียนนาทุกวัน
– บราติสลาวามีที่พักให้เลือกหลากหลายระดับและหลายโซน
– สโลวาเกียใช้วีซ่าเชงเก้นเข้าได้ ซึ่งถ้าเข้าออสเตรียก่อน ก็ขอวีซ่าได้ที่สถานทูตออสเตรียในไทย เอกสารเหมือนยื่นขอวีซ่าเชงเก้นทั่วไป
– เดินทางจากเวียนนาไปบราติสลาวาด้วยรถไฟยุโรปสะดวกสุด คลิกเข้าไปดูรายละเอียดของรถไฟได้ที่ www.raileurope.co.th