หยุดเวลา ณ อะคิตะ สัมผัสรักเมือง 4 ฤดู ของผู้ชายโรแมนติก อู๋ – ธนากร โปษยานนท์
Story by ศุทธวีร์ กาญจนภัคพงค์ / Photo by Akita tourism, ศุทธวีร์, ธนากร โปษยานนท์
เมื่อพูดถึงผู้ชายคนนี้ น้อยคนที่จะไม่รู้จักหนุ่มโรแมนติกและแสนอบอุ่น กับบทบาท “น้าราม” ที่ทุกคนเรียกจนติดปาก โดยเนื้อแท้ของ อู๋ ธนากร โปษยานนท์ โดยส่วนตัวก็มีความน่ารักไม่ยิ่งหย่อนกันเลย ล่าสุดกับการได้รับหน้าที่เป็น “ทูตการท่องเที่ยวอะคิตะ” เชิญชวนนักท่องเที่ยวไทยไปสัมผัสเสน่ห์การท่องเที่ยวจังหวัดอะคิตะ ประเทศญี่ปุ่น ดื่มด่ำกับธรรมชาติ กลิ่นอายแห่งธรรมชาติที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและศิลปวัฒนธรรม
กับจุดเริ่มต้นการเดินทางในเมืองอะคิตะ ผู้ชายโรแมนติกอย่าง คุณอู๋ ธนากร โปษยานนท์ มักสร้างเซอร์ไพรส์อย่างเสมอ “ในส่วนของเมืองอะคิตะ ผมมองหาสุนัขพันธุ์อะคิตะก่อนเลยครับ ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง ‘ฮาชิ’ (แปลว่า 8) หนังเรื่องนี้จะเกี่ยวกับ ความซื่อสัตย์ของสุนัขพันธุ์ ‘อะคิตะ’ 秋田犬 หรือ Akita inu
ผมประทับใจมาก ดูแล้วรู้สึกชอบกับสุนัขพันธุ์นี้ ถึงแม้ลักษณะนิสัยของสุนัขพันธุ์นี้ จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง บวกกับนิสัยที่ฉลาด จึงทำให้ไม่ค่อยจะฟังใครแม้กระทั่งเจ้าของ แต่ก็เป็นสุนัขที่มีความกตัญญูมาก จนได้มาสัมผัสกับเมืองอะคิตะ ไม่ได้หลงรักแค่ชื่อที่คุ้นชินเพียงแค่จากภาพยนตร์ ผมถึงกับหลงรักเสน่ห์เมือง อะคิตะไปด้วยครับ”
พร้อมกับเสน่ห์ของจังหวัดอะคิตะ ที่หาไม่ได้จากเมืองอื่นๆ ในมุมมองของ อู๋ ธนากร
“เสน่ห์ของอะคิตะสำหรับผมคือ ธรรมชาติ และอาหาร ที่ผมไปญี่ปุ่นแรกๆ เราจะอยู่ในเมือง อยู่ในความเจริญ ความทันสมัย ซึ่งเราไม่ค่อยได้ออกไปสัมผัสกับธรรมชาติสักเท่าไร สำหรับช่วงนั้นสิ่งที่เราตื่นตาตื่นใจมากที่สุดก็คือ การที่เราได้ไปอยู่บนภูเขาสูงแล้วเห็นใบไม้สีแดง สีส้ม เห็นสีต่างๆ สวยงามมาก หรือแม้กระทั่งระหว่างการนั่งรถยนต์เดินทางจะเห็นสีสันต่างๆ สองข้างทางยิ่งประทับใจมาก กับครั้งแรกที่ไปสัมผัสธรรมชาติในวันที่ observe ไปในช่วงปลายฤดูของดอกซากุระบาน จะเหลือเพียงซากุระป่าไม่มากนักก็ตาม ยังรู้สึกประทับใจไม่ลืม ถ้ามีโอกาสอยากกลับไปอีกครั้ง เพื่อจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในทุกๆ ฤดูกาล รวมถึงเทศกาลต่างๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งในอะคิตะมีเทศกาลต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางชมเสน่ห์ของที่นี่กันครบทุกฤดู”
หากนิยามความรู้สึกแห่งเมือง 4 ฤดู
“ฤดูกาลในจังหวัดอะคิตะก็เหมือนปกติทั่วไปมีทั้งหมด 4 ฤดูกาล ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ส่วนเสน่ห์ของแต่ละฤดูกาลก็จะแตกต่างกันไป อาทิ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะเป็นฤดูที่ใบไม้เปลี่ยนสี หากใครเคยได้ไปสัมผัสกับฤดูนี้จะทราบว่า การที่เราได้ไปยืนอยู่บนเขาที่มีใบไม้สีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีส้ม พอแสงอาทิตย์ลงมาตกกระทบกับใบไม้แทนที่จะเป็นสีเหลือง ก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงบ้าง สีส้มบ้าง ทำให้ภาพที่เห็นจะสวยงามมาก ประทับใจมาก โดยช่วงเวลาของใบไม้เปลี่ยนสีจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 อาทิตย์เท่านั้นเอง
– ส่วนฤดูร้อน เสน่ห์จะอยู่ที่เทศกาลต่างๆ ซึ่งเทศกาลต่างๆ ของอะคิตะถือว่าสุดยอด มากๆ อาทิ เทศกาลโคมไฟคันโตะ หรือ อะคิตะคันโตมัสสึรึ เป็นเทศกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก มีคนแบกโคมไฟสูงประมาณ 6-7 เมตร น้ำหนักประมาณ 50 – 60 กิโลกรัม มาวางอยู่ที่เอวบ้าง ที่ไหล่บ้าง หากคนที่ถือชำนาญหน่อยเขาก็จะใส่รองเท้าเกี๊ยะเท็นงูแบบขาเดียว (Tengu Geta) แล้วเหน็บโคมไฟไว้ที่เอว ซึ่งในอะคิตะถือว่าเป็นวัฒนธรรมสืบต่อกันมา ซึ่งก็จะมีตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่
อีกเทศกาลขึ้นชื่อของอะคิตะนั่นก็คือ “โอมาการิ โนะ ฮานาบิ” การแข่งขันดอกไม้ไฟ ขนาดใหญ่ที่เมืองไดเซ็น ถือว่าเป็นการแข่งขันพลุดอกไม้ไฟที่ดุเดือดที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ผมยอมรับเลยว่า ไม่เคยเห็นพลุที่สวย อลังการขนาดนี้มาก่อน ซึ่งนักท่องเที่ยวมาจากทั่วโลกรวมกับชาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวเทศกาลนี้หลักล้านคนเลยทีเดียวครับ”
– ส่วนของฤดูหนาว กับเทศกาลกระท่อมน้ำแข็ง – โคโยเตะคามาคูระ ที่น่าสนใจ “เทศกาลนามาฮาเกะ เป็นเทศกาลที่จะใส่หน้ากาก ‘นามาฮาเกะ’ ซึ่งหมายถึงปีศาจที่ใส่หน้ากากยักษ์เป็นตัวแทนของเทพแห่งภูเขา จะออกมาคอยตักเตือนและอวยพรปีใหม่ ตามบ้านปีละครั้ง ประเพณีนี้ได้ทำการสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่นมาอย่างยาวนาน ซึ่งคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะคนอะคิตะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก”
รวมถึงอาหารประจำท้องถิ่นของอะคิตะ ที่ห้ามพลาดอีกด้วย
“หากไปที่อะคิตะผมแนะนำให้ไปกิน ‘คิริทันโปะ’ ซึ่งเป็นอาหารประจำท้องถิ่นของอะคิตะ ‘คิริทันโปะ’ คือการนำข้าวสวยที่หุงแล้วมาตำ แล้วนำมาพันกับแท่งไม้ให้แน่นแล้วย่างไฟ สำหรับวิธีกินก็จะใช้ ‘มิโสะ’ มาทาเพื่อเพิ่มรสชาติ หรืออีกวิธีคือ ‘นาเบะ’ หรือ หม้อไฟ จะนำ ‘คิริทันโปะ’ ที่ย่างสุกแล้วมาใส่ลงในหม้อไฟ ก็จะได้อีกรสชาติหนึ่ง อาหารอีกอย่างที่แนะนำคือ ‘จุนไซ’ คือยอดบัวอ่อน จะมีลักษณะเหมือนเจลลี่หุ้มอยู่ อร่อยมากครับ ในจังหวัดอะคิตะจะขึ้นชื่อมากเรื่องน้ำสะอาด ทำให้ข้าว “อะคิตะโคมาชิ” มีรสชาติที่อร่อยและดี มีสาเกที่ติดลำดับ TOP 5 ของประเทศญี่ปุ่น”
สถานที่ประทับใจไปกี่ครั้งก็ไม่ลืมเลือน
“สถานที่ที่ผมต้องกลับไปทุกครั้งก็จะมี ออนเซ็น ในอะคิตะมี ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่นน้ำในทะเลสาบจะใสมาก ในฤดูหนาว ก็จะมี ‘ลานสกี ทาซาวาโกะ’ ซึ่งลานสกีแห่งนี้เป็นลานสกีที่ใช้สำหรับคัดตัวนักกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่น ส่วนสำหรับใครที่ชอบวิ่ง ในอนาคตทางอะคิตะจะจัดวิ่งมาราธอน รอบๆ ทะเลสาบทาซาวะ รวมถึงการใช้รถประจำทางไร้คนขับในอะคิตะ เป็นการเทสต์ระบบขนส่งมวลชนเพื่อรองรับสำหรับ โอลิมปิกปี 2020 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในอีก 2 ปี ด้วยครับ”
เส้นทางแนะนำที่ห้ามพลาดในจังหวัดอะคิตะ
“ผมแนะนำ ถนนแห่งซากุระและเรพซีด เป็นถนนที่มีซากุระผสมกับต้นเรพซีดทอดยาวสุดสายตาประมาณ 10 กิโลเมตร”
สถานที่แนะนำ หรือสถานที่ขึ้นชื่อที่อยากให้ทุกคนได้เดินทางมาเที่ยว
“ออนเซ็นในอะคิตะ นักเดินทาง นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วแบบ One day trip ได้ ซึ่งปัจจุบันจะมีออนเซ็นอยู่ประมาณ 7 แห่ง เราสามารถ ใช้บริการได้ครบทั้ง 7 แห่งได้ใน 1 วัน ทั้งนี้ออนเซ็นในสถานที่แห่งนี้มีมากว่า 300 ปี โดยยุคแรกๆ จะเป็นออนเซ็นสำหรับ ‘ซามุไร’ ให้เข้ามาแช่ออนเซ็นเพื่อผ่อนคลาย การแช่ออนเซ็นที่นี่จะเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูกาล โรแมนติกมาก โดยในฤดูซากุระ ก็จะแช่ออนเซ็นชมวิวซากุระ แช่ออนเซ็นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ก็จะเห็นวิวใบไม้สีแดง สีส้ม สีเขียว หรือแช่ออนเซ็นในช่วงฤดูหนาว ก็จะเห็นหิมะปกคลุมทั้งเขา เป็นต้น ออนเซ็นที่นี่สามารถเข้าไปใช้บริการได้ทั้งปี
กับการเตรียมตัวก่อนเดินทางไปจังหวัดอะคิตะที่แสนพิเศษ
“การเตรียมตัวเป็นพิเศษ ผมว่าน่าจะเป็นการหาข้อมูลให้แน่นอน ช่วงเวลาไหนมีเทศกาลอะไรที่เมืองอะไร รวมถึงที่พัก แต่หากให้แนะนำถ้าอยากไปดูซากุระให้ไปพักที่หมู่บ้านซามุไร ‘คาคุโนะดาเตะ’ อายุประมาณ 300 – 400 ปี ซึ่งจะมีถนนที่มีดอกซากุระแบบห้อยระย้า “ดอกชิดาเระซากุระ” ที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ยาวประมาณ 1.6 กิโลเมตร แต่ถ้าหากอยากสัมผัสชีวิตเกษตรกร ก็สามารถเข้าไปพักฟาร์มสเตย์ แบบเข้าถึงวิถีชุมชนของชาวอะคิตะให้หลงรักแบบลงลึกเข้าไปอีกครับ คนที่ไปญี่ปุ่นบ่อยๆ ผมเชื่อว่าก็จะชอบไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆ อาทิ โตเกียว โอซาก้า ก็จะเห็นวิถีชีวิตแบบคนเมือง ผมอยากจะเชิญชวนให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์มาก ลองนำอะคิตะ เข้ามาเป็น 1 ในสถานที่ที่ต้องมาเยือนดูครับ แล้วคุณจะ ‘รักอะคิตะ’
สำหรับการออกเดินทางท่องเที่ยวของผมแรงบันดาลใจหลักคือ ผมชอบถ่ายรูป ชอบเก็บความประทับใจผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูป รวมถึงผมชอบวัฒนธรรมในแต่ละสถานที่ที่ผมไปสัมผัส ส่วนไลฟ์สไตล์ทางท่องเที่ยวของผมชอบอิสระในการท่องเที่ยว ไม่ไปกับทัวร์ สามารถกำหนดเวลาและเส้นทางการท่องเที่ยวเองได้ หากจะต้องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก ผมชอบไปในประเทศที่ยังมีความเป็นธรรมชาติดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น ทิเบต และแน่นอน ที่นี่ อะคิตะ ที่อยากหยุดเวลาไว้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง