Hakodate ตามเก็บดาวมาให้เธอ
Story & Photo by Cold River
เมืองสวยที่อยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะอย่างเมืองฮาโกดาเตะ ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเกาะ รองจากซับโปโรและ Asahikawa จุดเด่นของเมืองคือการเป็นเมืองริมทะเล และสภาพตัวเมืองที่เต็มไปด้วยภูเขา รวมถึงเนินเตี้ยๆ สลับไปมาทั่วเมือง จึงสร้างสรรค์เมืองนี้ให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นและน่าสนใจ โดยมีหนึ่งในไฮไลต์อยู่ที่ยอดเขาฮาโกดาเตะ ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างตัวเมืองที่สามารถมองลงมาเห็นเมืองทั้งเมืองจนได้ชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่ว่ากันว่าสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
ส่วนความเป็นมาของเมืองเริ่มตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1854 ที่นี่เคยเป็นเมืองท่าเมืองแรกที่ญี่ปุ่นเปิดทำการค้าขายกับชาติตะวันตก หลังจากปิดประเทศก่อนหน้านั้นมายาวนาน สิ่งที่ตามมานอกจากความเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วแล้ว ศิลปวัฒนธรรมจากตะวันก็ได้แทรกซึมเข้ามาท่วมท้น ที่เห็นเด่นชัดและตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้คือด้านสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้าง อาคารรัฐบาล โบสถ์หรือแม้แต่บ้านเรือนทั่วไป ล้วนแต่มีกลิ่นอายของความเป็น “ฝรั่ง” มากกว่าพื้นที่ใดๆ ในประเทศญี่ปุ่น
เพื่อเติมความรักให้ครบรส ควรควงคู่ไปเริ่มต้นเที่ยวเมืองนี้ด้วยการเดินตลาดเช้าที่เป็นแหล่งรวมอาหารสดจากทะเลนานาชนิด ให้ได้เลือกซื้อเลือกชมละลานตา กุ้งหอยปูปลามีให้เลือกหากันได้ครบ ที่สำคัญรับประกันความสดแน่ๆ เพราะขายกันในตู้ที่ยังมีชีวิตกันเลยทีเดียว ส่วนพระเอกสำคัญประจำตลาดคือปูยักษ์ที่ตัวใหญ่อลังการมากจริงๆ และหากหิวก็มีร้านอาหารตั้งเรียงรายอยู่บริเวณตลาด โดยเฉพาะข้าวหน้าปลาดิบที่เป็นอาหารที่ควรลิ้มลองเมื่อมาถึงเมืองริมทะเลแห่งนี้
จากนั้นนั่งรถรางไปไม่ไกลเพื่อขึ้นไปชมหอคอยสูงอันเป็น 1 ใน 2 จุดชมวิวขึ้นชื่อของเมืองคือหอคอยเพื่อชมป้อมห้าแฉก ด้านล่างสุดจะเป็นร้านค้าขายของต่างๆ โดยเฉพาะของที่ระลึก ก่อนจะซื้อบัตรขึ้นลิฟต์ของหอคอยที่ลักษณะรูปทรง 5 เหลี่ยม สูง 90 เมตร ว่ากันว่าสามารถมองเห็นป้อม 5 แฉกที่อยู่ด้านล่างได้อย่างชัดเจนมากที่สุด และรอบด้านเป็นกระจกทั้งหมดจึงสามารถมองเห็นวิวทั้งเมือง ทะเล ภูเขาฮาโกดาเตะ ได้แบบ 360 องศา และไฮไลต์ของที่นี่คือการชมภาพป้อมดาว 5 แฉก ที่มีรูปร่างตามชื่อ ถือเป็นป้อมที่สร้างสไตล์ตะวันตกแห่งเดียวของญี่ปุ่นโดยสร้างขึ้นสมัยโชกุนโตกุกาว่าเรืองอำนาจ ให้เป็นที่มั่นทางด้านเหนือและกลายเป็นที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มผู้นิยมโชกุนในช่วงสงครามโบชินที่ต่อสู้กับอีกกลุ่มที่ต้องการคืนอำนาจให้องค์จักพรรดิ์ ก่อนจะพ่ายแพ้ไปในปี ค.ศ. 1869
แม้ประวัติความเป็นมาอาจไม่โรแมนติกเท่าไหร่ แต่การได้ยืนกุมมือมองดาวสีขาวข้างล่าง พร้อมส่งรอยยิ้มแห่งความรักให้กัน เท่านั้นบรรยากาศโดยรอบตัวก็จะอบอวลไปด้วยความรักขึ้นมาทันที หลังจากชมวิวด้านบนแล้วลองออกแรงลุยหิมะท่วมๆ และที่โปรยปรายจากฟ้า ตรงเข้าไปยังภายในป้อมห้าแฉก แม้ว่าตัวป้อมเดิมแทบไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ นอกจากกำแพงที่คงสภาพพื้นที่เป็นรูปดาว 5 แฉกเท่านั้น แต่ทางการก็เห็นคุณค่าและปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามและใกล้เคียงกับของเดิมไว้มากที่สุดจนที่นี่กลายเป็นสวนสาธารณะแสนสวยประจำเมือง โดยมีบริเวณกึ่งกลางของสวนนี้ แต่เดิมเคยถูกทำเป็นที่ทำการของฝ่ายสาธารณรัฐในช่วงสงครามกลางเมือง แต่ถูกรื้อทิ้งในเวลาต่อมาจนหมด ก่อนที่ปี ค.ศ. 2012 จึงมีการสร้างใหม่ที่ยังคงรูปแบบเดิมและใช้เป็นพื้นที่แสดงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของเมือง
ชมป้อมกันแล้ว แวะชิมขนมหวานเลื่องชื่อของเมืองฮาโกดาเตะกัน Snaffle เป็นชีสเค้กเนื้อนุ่ม กลิ่นชีส และนมคุณภาพชั้นเลิศของเกาะฮอกไกโด ความหวานละมุนละไมและความหอมของเค้กสีเหลืองอ่อน อันนี้น่าประทับใจ ถ้ายิ่งมีจิบชาร้อนๆ ที่แสนเข้ากันด้วยแล้ว คงทำให้ทั้งคู่ ได้รับทั้งความอร่อย หวานมัน สดชื่นกลมกล่อมไม่แพ้ความรักแน่นอน
ปิดท้ายการเที่ยวชมเมืองฮาโกดาเตะด้วยการขึ้นเขาไปชมวิวพันล้านอันมีชื่อเสียง โดยต้องขึ้นกระเช้าที่ค่อยๆ เคลื่อนไปด้านบนพร้อมกับมองลงมาชมวิวที่เห็นมุมกว้างขึ้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงร้านอาหารด้านบนที่สร้างเป็นอาคารอย่างดีและสวยงาม เต็มไปด้วยร้านอาหาร มุมนั่งเล่น ร้านขายของที่ระลึก ขึ้นบันไดต่อไปอีกหน่อยยังชั้นบนสุดอันเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของที่นี่ แม้อาจจะต้องแลกกับลมหนาวที่พัดมาตลอดเวลาแต่แสนคุ้มกับวิวแสนงามของเมืองฮาโกดาเตะ ณ จุดที่สูงสุดของเมือง โดยสูงประมาณ 334 เมตร ที่กลายเป็นจุดชมวิวที่ถูกขนานนามว่า “วิวพันล้าน” และว่ากันว่าเป็น 1 ใน 3 ของจุดชมวิวยามค่ำคืนที่สวยงามมากที่สุด จนบางคนกล่าวว่าสวย 1 ใน 3 ของโลกร่วมกับฮ่องกง และเมืองเนเปิลของอิตาลี
เพราะรูปร่างของเมืองที่เหมือนเป็นแหลมยื่นและขนาบข้างสองฝั่งด้วยทะเล จึงดูสวยงามเป็นพิเศษ ลักษณะเฉพาะของหน้าหนาวคือตัวเมืองทั่วทั้งหมดกลายเป็นสีขาวสว่างไสว จึงควรไปชมก่อนกระอาทิตย์ตกดิน และรอจนกระทั่งด้านล่างค่อยๆ เปิดไฟ แสงไฟหลากสีที่ระยิบระยับมันช่างงดงามเหนือคำบรรยาย และน่าจะเก็บเป็นความทรงจำดีๆ ให้กับทุกคู่รักที่ได้มีโอกาสมายืนมองร่วมกัน
เรื่องน่ารู้ก่อนไป
• การเดินทางสู่ฮอกไกโดจากกรุงเทพฯ ที่สะดวกที่สุดคือลงที่สนามบิน Chitose ของเมืองซับโปโร หากบินตรงจากกรุงเทพฯ มีบริการโดยสายการบินการบินไทย แต่นอกจากนั้นมีอีกหลายสายการบินแต่ต้องมีการเปลี่ยนเครื่องตามเมืองแต่ละสายการบิน
• ช่วงฤดูหนาวมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 5 – 7 องศาเซลเซียส (อาจมีบางคราวอุณหภมิอาจติดลบได้) ส่วนใหญ่มักมีหิมะตกหนักเบาแล้วแต่ช่วงเวลา
• หากวางแผนการเดินทางด้วยรถไฟ มีตั๋วสุดคุ้ม JR Hokkaido Rail Pass นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั่งได้ไม่จำกัดเที่ยว สำหรับ 3 วัน 15,430 เยน / 5 วัน 20,060 เยน / 7 วัน 22,630 เยน และ 4 วัน (ไม่ต้องติดต่อกัน) ราคา 20,060 เยน
• การเดินทางที่สะดวกไป Toyako ที่สุดคือโดยสารรถไฟสายสีน้ำเงิน Sapporo – Hagashi – Muroran – Hakodate ซึ่งใช้เวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที จาก Sapporo / 1 ชั่วโมง จากสนามบินชิโตเสะ / 1 ชั่วโมง 30 นาที จากฮาโกดาเตะ
• หากจองที่พักไว้ที่ริมทะเลสาบ Toya ต้องต่อบัสหรือแท็กซี่ไปยังทะเลสาบ แต่กรณี มีรถของโรงแรมมารับจำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าทางอีเมลให้เรียบร้อยก่อนการเดินทาง
• การเดินทางไปฮาโกดาเตะหากเริ่มต้นจาก Sapporo ใช้รถไฟ JR สะดวกที่สุด ด้วยเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
• วิวพันล้าน ชื่อนี้ได้พราะสวยจริง ยืนยันได้ด้วยเสียงหนักแน่นตั้งแต่กระเช้าไต่ระดับสูงขึ้น มองลงมายังเบื้องล่าง เห็นภาพเมืองฮาโกดาเตะทั้งเมืองที่มีรูปร่างพิเศษไม่เหมือนใคร
• สิ่งที่คู่กับเมืองฮาโกดาเตะมานานอย่างหนึ่งคือ รถราง ที่หน้าตาอาจย้อนยุคนิดๆ แต่ตอนขึ้นนี่มันได้บรรยากาศจริงๆ
• เมลชีส ขนมที่ได้ยินกิตติศัพท์ความอร่อยตั้งแต่ก่อนไป สามารถหาซื้อง่ายและสะดวกที่สุดที่สถานีรถไฟ JR ฮาโกดาเตะ
• การเดินทางจาก Sapporo ไปโอตารุ ระยะทางไม่ถึง 50 กิโลมตร และใช้เวลาเดินทางจากซับโปโรด้วยรถไฟประมาณ 40 นาที จึงเป็นเมืองที่สามารถเดินทางไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับได้อย่างสบายๆ แนะนำให้ซื้อ Otaru Welcome Pass ในราคา 1500 เยน สามารถใช้เดินทางจาก Sapporo ได้ไม่จำกัดเที่ยว และแถมบัตรรถไฟใต้ดินใน Sapporo อีก 1 วันเต็ม