Happiness City :Copenhagen โคเปนเฮเกน เมืองแห่งความสุข

ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกันยายน ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปเที่ยวประเทศเดนมาร์ก เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย เดนมาร์กเป็นประเทศที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกจากผลสำรวจของสหประชาชาติ(World Happiness Report) ทั้งในปี 2022 และ2023 นอกจากนี้เมืองหลวงและเมืองใหญ่อย่างโคเปนเฮเกนก็ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก (Most Liveable city) ปี 2022

ปัจจุบันมีสายการบินที่บินตรงจากประเทศไทยไปยังสนามบินโคเปนเฮเกน (Copenhagen Airport)หรือชื่อทางการคือท่าอากาศยานนานาชาติโคเปนเฮเกน(Copenhagen Kastrup International Airport) ซึ่งมีชื่อเรียกภาษาเดนมาร์กคือ คาสต์รัพ (Københavns Lufthavn)ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองโคเปนเฮเกนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 13 กิโลเมตร นอกจากนั้นก็มีสายการบินอีกหลายสายการบินที่เดินทางไปโคเปนเฮเกนทั้งที่แวะต่อเครื่องเพียง1 ชั่วโมงครึ่งอย่างสายการบินฟินแอร์ (Finnair) หรือที่มีช่วงเวลาต่อเครื่องมากกว่านั้น สามารถเลือกเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย

เมืองโคเปนเฮเกน

โคเปนเฮเกนที่ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันออกของเกาะซีแลนด์เป็นทั้งเมืองหลวงและและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเดนมาร์ก รวมถึงประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ก่อตั้งมาราวๆคริสต์ศตวรรษที่ 10 เมืองนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางการบริหารประเทศ รัฐสภา รัฐบาลและเป็นที่ตั้งพระราชวังหลวง เป็นที่ประทับของสมาชิกพระราชวงศ์ของเดนมาร์ก เป็นเมืองท่าของการขนส่งสินค้า รวมถึงการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย

รูปปั้นเงือกน้อย หรือเดอะ ลิตเติ้ล เมอร์เมด (The Little Mermaid)

รูปปั้นเงือกน้อย หรือเจ้าหญิงเงือกแอเรียล เจ้าของเทพนิยาย ลิตเติ้ล เมอร์เมด (The Little Mermaid) ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ใครมาแล้วไม่มาแวะเจอเธอคงไม่ได้ รูปปั้นนี้ที่อยู่บนหินบริเวณท่าเรือหลักของเมืองเกิดขึ้นจากคาร์ล จาค็อบเซน (Carl Jacobsen) บุตรชายของผู้ก่อตั้งเบียร์คาร์ลสเบิร์ก (Carlsberg) ได้ไปชมการแสดงบัลเล่ต์เรื่อง The Little Mermaid ที่เขียนขึ้นโดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) แล้วรู้สึกประทับใจ จึงจ้างศิลปินฝีมือดีอย่างเอ็ดวาร์ด อีริกเซน (Edvard Eriksen) ให้ปั้นรูปเงือกน้อยโดยใช้ใบหน้าของนักเต้นบัลเลต์และนักแสดงหญิงชื่อเอลเลน ไพรซ์ (Ellen Price) มาเป็นแบบ และส่วนที่เป็นเรือนร่างนั้นมีแบบมาจากเรือนร่างของภรรยาเขาเองสำหรับฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ผู้แต่งนิทานเรื่อง เงือกน้อยที่โด่งดังแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่หลายคนรู้จักไม่ว่าจะเป็น พระราชากับชุดล่องหน, เจ้าหญิงหิมะ, ลูกเป็ดขี้เหร่ ฯลฯ อีกทั้งฮันส์ คริสเตียนแอนเดอร์เซน ยังเป็นชาวเดนมาร์กทำให้รูปปั้นเงือกน้อย จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมือง ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงจินตนาการของแอนเดอร์สันไปในตัวอีกด้วยเป็นจุดถ่ายภาพยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่มาโคเปนเฮเกน โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมรูปปั้นนางเงือกน้อยแห่งนี้มากกว่า 1 ล้านคน

น้ำพุแห่งราชินีเกฟิออน(Gefion Fountain)

ไม่ไกลจากรูปปั้นเงือกน้อยมากนัก เราเดินทางไปชม น้ำพุเกฟิออน (Gefion Fountain)หรือน้ำพุแห่งราชินีเกฟิออน น้ำพุขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตา มองเผินๆ คล้ายธารน้ำตกจำลองแห่งนี้คือหนึ่งในอนุสรณ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเดนมาร์ก สร้างขึ้นโดยได้รับเงินบริจาคมาจากมูลนิธิคาร์ลส์เบิร์ก (Carlsberg Foundation) ซึ่งสร้างเพื่อมอบแก่เมืองโคเปนเฮเกนในโอกาสที่โรงผลิตเบียร์คาร์ลส์เบิร์กอายุครบ 50 ปี ในปี ค.ศ. 1897 น้ำพุเกฟิออนตั้งอยู่ด้านหลังของโบสถ์เซนต์อัลบัน(St. Alban’s Anglican Church) ใกล้ๆ กับป้อม Kastellet น้ำพุแห่งนี้สร้างขึ้นตามตำนานโบราณของนอร์ส (Norse Mythology) ความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าและการสร้างประเทศเดนมาร์ก เล่ากันว่าเทพเจ้า ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ดลบันดาลให้ราชินีเกฟิออน กอบกู้ชาติ โดยพระนางแปลงร่างลูกชายทั้ง 4 คนให้กลายเป็นโค เพื่อที่จะได้ช่วยไถพื้นดินขึ้นมาจากใต้น้ำ ให้เกิดเป็นประเทศเดนมาร์กทุกวันนี้

ดังนั้นรูปปั้นสตรีที่เห็นคือแทนราชินีเกฟิออนและวัวขนาดยักษ์ 4 ตัว คือตัวแทนของลูกชายทั้ง 4 คนนั่นเองนอกจากความสวยงามแล้วน้ำพุแห่งนี้ยังเป็นบ่อศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมไปโยนเหรียญอธิษฐานขอพรให้สมหวังบริเวณพื้นที่รอบๆ ยังเป็นสวนสาธารณะให้นั่งพักผ่อนชิลๆ ด้วย ใกล้กันยังมีโบสถ์ติดกันด้านหลังของลานน้ำพุจะมีโบสถ์แบบกอทิกที่ชื่อว่า St. Alban’s Church

พระราชวังอะมาเลียนบอร์ก(Amalienborg Palace)

พระราชวังหลักๆ ของโคเปนเฮเกน นอกจากจะมีพระราชวังคริสเตียนสบอร์กและพระราชวังโรเซนเบิร์กแล้ว ยังมีอีกหนึ่งพระราชวังคือ พระราชวังอมาเลียนบอร์กที่เพื่อนๆ ไม่ควรพลาดไป และกิจกรรมที่นิยมมาชมเวลาแวะท่องเที่ยวพระราชวังของยุโรปคือ การชมการเปลี่ยนเวรทหารที่เลื่องชื่อ สำหรับพระราชวังอะมาเลียนบอร์กจะมีการเปลี่ยนทหารยามหน้าวังทุกวัน

โดยพิธีจะเริ่มขึ้นในเวลา 11.27 น. ขบวนทหารจะเริ่มต้นที่โรงทหาร Life Guard Barrack ใกล้ๆ กับพระราชวังโรเซนเบิร์ก จากนั้นจะเดินขบวนมาจนถึงพระราชวังอะมาเลียนบอร์กและทำการเปลี่ยนเวรยามกัน เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเสด็จประทับอยู่ที่นี่พระราชวังแห่งนี้เป็นพระราชวังฤดูหนาวของราชวงศ์เดนมาร์กตั้งอยู่ริมน้ำทางเหนือของตัวเมืองโคเปนเฮเกน สร้างขึ้นเมื่อกลางศตวรรษที่ 18 เพื่อเฉลิมฉลองวาระการครบรอบ 300 ปีของราชวงศ์โอลเดนบวร์ก และใช้เป็นที่พำนักของเหล่าราชวงศ์ 4 ครอบครัว มีการตกแต่งสถาปัตยกรรมแบบร็อคโคโค ประกอบด้วยอาคาร 4 หลังล้อมรอบรูปปั้นของพระเจ้าเฟรเดริกที่ 5 ส่วนปีกด้านหนึ่งของพระราชวัง

จตุรัสศาลาว่าการเมืองโคเปนเฮเกน(Copenhagen City Hall Square)

จุดถ่ายรูปสวยงามประจำเมืองที่ที่เราสามารถสัมผัสบรรยากาศครึกครื้นใจกลางเมืองและความสวยงามของสถาปัตยกรรมสไตล์นอร์ดิกได้ ที่นี่คือ จตุรัสศาลาว่าการเมืองโคเปนเฮเกนเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่งดงามหลายแห่งที่รายล้อมจัตุรัสแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวศาลาว่าการเมืองที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของสภาเทศบาลเมืองและสำนักนายกเทศมนตรี อาคารหลังนี้เริ่มก่อสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1892 – 1905 มีอายุมากกว่า 100 ปีและมีหอคอยที่สูงถึง 105.6 เมตร สถาปนิกผู้ออกแบบอาคารแห่งนี้คือ มาร์ติน ไนรอป(Martin Nyrop) ได้รับอิทธิพลมาจากศาลาว่าการเมืองซีนา (Siena City Hall) ประเทศอิตาลี (Italy) ด้านหน้าอาคารมีน้ำพุมังกร(Dragon Fountain) โดดเด่นด้วยประติมากรรมวัวต่อสู้กับมังกรภายในศาลาว่าการเมืองด้านในโอ่อ่าอลังการ มีหลังคาเป็นกระเบื้องใสให้แสงลอดเข้ามาได้ สิ่งน่าสนใจมากคือนาฬิกาโลก (The World Clock) นาฬิกาที่ล้ำยุคที่สุดในโลกซึ่งออกแบบโดย Jens Olsen เป็นนาฬิกาที่แตกต่างกัน 13 แบบซึ่งแสดงเวลาที่แน่นอนจากทั่วทุกมุมโลกและตำแหน่งที่แม่นยำของดาวเคราะห์ทุกดวง นอกจกากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่สำหรับจัดงานแต่งงานที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ และเป็นสถานที่ถ่ายทำละครทีวียอดนิยมของเดนมาร์กด้วยที่เที่ยวใกล้ๆ เช่น หลักกิโลเมตรที่ศูนย์(Zero Kilometer Stone) และรูปปั้นของHans Christian Andersen นักเขียนชื่อดังชาวเดนมาร์กที่ตั้งอยู่ข้างอาคารตรงข้ามกับสวน Tivoli

ท่าเรือนูฮาวน์ (Nyhavn)

ท่าเรือนูฮาวน์คือต้นกำเนิดของเมืองหลวงโคเปนเฮเกน ท่าเรือแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 5 แห่งเดนมาร์ก โดยทรงรับสั่งให้สร้างท่าเรือใกล้ๆ ตัวเมืองหลวงเพื่อเพื่อใช้เป็นท่าเรือพาณิชย์ที่ไว้สำหรับรับเรือจากทั่วทุกมุมโลกมาเทียบท่าและขนส่งสินค้านูฮาวน์ (Nyhavn) แปลว่า ท่าเรือใหม่ เมื่อความมั่งคั่งทำให้เมืองขยาย โคเปนเฮเกนก็ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นเมืองหลวง ในที่สุดปัจจุบันท่าเรือนูฮาวน์กลายเป็นสถานที่ที่มีความครึกครื้นมากโดดเด่นด้วยอาคารบ้านเรือนโบราณสีสันสดใสสะดุดตาในสไตล์เดนิช ถือเป็นไฮไลต์ของการเที่ยวเดนมาร์กเลยก็ว่าได้ บ้านหลายหลังได้รับการปรับปรุงขึ้นมาเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก หลังที่เก่าแก่ที่สุดในย่านนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1681 และบริเวณนี้ยังเคยเป็นที่ตั้งของบ้านซึ่งนักเขียนเทพนิยายชื่อดังอย่าง ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน(Hans Christian Andersen)มีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเดนมาร์กได้ขอสงวนพื้นที่บางส่วนไว้เป็นท่าจอดเรือเก่าแก่ มีสมอเรือขนาดใหญ่ที่เคยนำไปใช้กับเรือรบในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งเป็นอนุสรณ์อยู่ที่นี่เพื่อระลึกถึงกลุ่มชาวทหารและลูกเรือที่เสียสละกว่า 1,700 ราย เป็นที่สำหรับล่องเรือชมวิวและสถานที่ต่างๆ รอบกรุงโคเปนเฮเกน หรือจะล่องเรือชมวิวก็ได้ เป็นกิจกรรมที่นิยมเมื่อมาเที่ยวเดนมาร์ก โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการล่องเรือ ได้ชมความงดงามสองข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังคริสเตียนสบอร์ก (Christiansborg Palace) โบสถ์พระผู้ไถ่ (Church of Our Saviour) รูปปั้นนางเงือกน้อย (The Little Mermaid) ฯลฯสิ่งสุดท้ายห้ามพลาด คือการมาคล้องกุญแจคู่รักบนสะพานข้ามท่าเรือนูฮาวน์ (Nyhavn) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของรักที่อมตะยืนยาวเหมือนกับอายุของท่าเรือและสะพานแห่งนี้ที่มีมากว่า 300 กว่าปี

ช้อปปิ้งสินค้าย่านถนนสตรอยเยท (Stroget)

ถนนสายช้อปปิ้งที่มีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ของชาวเดนมาร์กแห่งนี้ถูกยกให้เป็นถนนคนเดินที่ยาวที่สุดในยุโรปคำว่า “สตรอยก์ (Strøget)” แปลว่า “การเดินเล่น” ในภาษาเดนมาร์ก ตลอดระยะทางยาวกว่า 1.8 กม. โดยเริ่มจากศาลาว่าการเมืองไปสิ้นสุดที่ Kongens Nytorv สองข้างทางเต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง อาทิ Hermes, Louis Vuitton, Gucci,Prada, Emporio Armani, Bang & Olufsen, Tommy Hilfiger,Burberry, Marimekko ไปจนถึง Zara ฯลฯ และสิ่งที่นักช้อปปิ้งชื่นชอบ คือ เดนมาร์ก Tax Refund ได้ 18-19% ของราคาสินค้าที่ซื้อ (แต่ต้องซื้ออย่างน้อย 300 DKK ภายในวันเดียวกันและร้านเดียวกัน) ของราคาสินค้า

สวนสนุกทิโวลี (Tivoli Gardens)

สวนสนุกทิโวลี่ สวนสนุกที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1843 โดยชื่อทิโวลีนั้นมาจากชื่อของสวนพร้อมน้ำพุสวยงามที่อยู่ใกล้กับกรุงโรม ประเทศอิตาลี สวนสนุกเก่าแก่อายุกว่า 200 ปีแห่งนี้คือสถานที่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่สวนสนุกอีกหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงดิสนิย์เวิลด์ (Disney World)ที่ผู้ก่อตั้งก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสวนสนุกแห่งนี้เช่นกันสวนสนุกอยู่ไม่ไกลจากสถานีโคเปนเฮเกนเซนทรัล (Copenhagen
Central Station) และศาลาว่าการเมือง เนื้อที่ 30 ไร่กลางเมืองโคเปนเฮเกน ภายในเต็มไปด้วยเครื่องเล่นต่างๆ มากมาย รวมถึงเครื่องเล่นชวนหวาดเสียวอย่าง เดอะเวอร์ติโก (The Vertigo) ที่พุ่งทะยานกลับหัวด้วยความเร็วถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และรถไฟเหาะตีลังกาไม้ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1914 ที่เรียกได้ว่าเก่าแก่และได้รับความนิยมที่สุดของที่นี่ รวมถึงอาคารบ้านเรือนที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ บางครั้งนักท่องเที่ยวเดินทางมาก็เพื่อต้องการสัมผัสกับบรรยากาศเก่าๆ และยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟสวนดอกไม้นานาชนิด

สวนสนุกมีความสวยงามทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน ในยามกลางคืนแสงไฟกว่า 100,000 ดวงที่ประดับไว้ตามทางเดินและต้นไม้พร้อมใจกันส่องสว่าง สร้างบรรยากาศให้สวยงามตระการตาและอบอุ่นราวกับดินแดนในเทพนิยาย ค่าเข้า อายุ 8 ปีขึ้นไป 155
โครนเดนมาร์ก และ 169 โครนเดนมาร์ก สำหรับตั๋วรวมกิจกรรม

ปราสาทโรเซนเบิร์ก(Rosenborg Palace)

ปราสาทโรเซนเบิร์กหรือพระราชวังโรเซนเบิร์กเป็นพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์เดนมาร์ก สร้างในสมัยพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองโคเปนเฮเกน ทุกส่วนถูกตกแต่งอย่างสวยงาม หรูหราด้วยสถาปัตยกรรมแบบดัตช์เรอเนสซองส์ภายในปราสาทถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆได้แก่ พื้นที่บริเวณปราสาทที่เปิดให้รับชมทั้งหมด3 ชั้น ที่ประกอบไปด้วยห้องที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามสุดตระการตา ที่มีไฮไลต์อยู่ที่ห้องโถงยาวบนชั้นสามของปราสาทที่มีการจัดแสดง “บัลลังค์”ของกษัตริย์เดนมาร์กและที่ห้องใต้ดินเป็นคลังมหาสมบัติเก็บรวบรวมเครื่องเพชร มหามงกุฎ ซึ่งชิ้นที่สำคัญได้แก่ “Crown Jewels” มงกุฎจริงของกษัตริย์แห่งราชวงศ์เดนมาร์ก

ส่วนด้านนอกปราสาทก็ยังมีสวนขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The King’s Garden ที่ร่มรื่นสวยงามที่ผู้คนนิยมมาพักผ่อน ปิกนิก และทำกิจกรรมต่างๆ กัน ทั้งนี้หากมาแต่เช้า นักท่องเที่ยวจะมีโอกาสได้ชมการเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาพระองค์ที่จะเดินขบวนจาก ปราสาทโรเซนเบิร์กไปยัง พระราชวังอะมาเลียนบอร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเดนมาร์ก

พระราชวังคริสเตียนสบอร์ก (Christiansborg Palace)

เดนมาร์กได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งปราสาทพระราชวัง อีกหนึ่งพระราชวังที่อยากแนะนำก็คือ พระราชวังคริสเตียนสบอร์ก ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะสลอตส์ฮอลมัน (Slotsholmen ใจกลางกรุงโคเปนเฮเกนพระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบดัตช์เรเนซองส์ (Dutch Renaissance) ปัจจุบันได้รับการดัดแปลงเป็นที่ทำการ รัฐสภาแห่งประเทศเดนมาร์ก (The Danish Parliament)มีความพิเศษมากเพราะเป็นแห่งเดียวในโลกที่มี 3 หน่วยงานราชการหลัก ทั้งอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการตั้งอยู่ในที่เดียวกันพื้นที่ที่สามารถเข้าชมได้ทั้งหมด 5 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ 1. ห้องรับรองหลวง (The Royal Reception Rooms) 2. ห้องเครื่องหลวง (The Royal Kitchen) 3. ซากปรักหักพัง (The Ruins) 4. คอกม้าหลวง (The Royal Stables) 5. โบสถ์ประจำพระราชวัง (The Palace Chapel)หนึ่งในห้องที่ยิ่งใหญ่และอลังการที่สุดในพระราชวังคริสเตียนบอร์กคือ เดอะเกรตฮอลล์ (The Great Hall) เป็นสถานที่จัดงานกาล่าดินเนอร์ที่งดงาม

ห้องโถงนี้มีความยาว 40 เมตร กว้าง 14 เมตร และสูง 10 เมตรสามารถรองรับแขกสำหรับงานเลี้ยงได้มากถึง 400 คน ซึ่ง The Great Hall นี้เป็นห้องที่จะบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์กว่า 1,000 ปี ของประเทศเดนมาร์กผ่านพรมแขวนผนังอันงดงามของสมเด็จพระราชินีพระราชวังคริสเตียนสบอร์กเป็นพระราชวังที่มีความสำคัญต่อราชวงศ์เดนมาร์กเป็นอย่างมาก เพราะในอดีตเคยเป็นที่ประทับของราชวงศ์แต่เนื่องจากเกิดไฟไหม้เมื่อปี ค.ศ. 1794 ราชวงศ์จึงย้ายไปประทับที่พระราชวังอมาเลียนบอร์ก แต่ในปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่บางส่วนที่ราชวงศ์จะแวะเวียนมาใช้ในการจัดงานราชพิธีของราชวงศ์เดนมาร์กเช่น ห้องรับแขกของราชวงศ์ เป็นต้น
การเที่ยวชมส่วนต่างๆ ภายในพระราชวังคริสเตียนบอร์ก สามารถซื้อบัตรเข้าชมเฉพาะส่วนได้ ทั้งนี้หากซื้อบัตรแบบเหมาสำหรับการเข้าชมได้ทุกส่วนจะมีราคาที่ถูกกว่า

พระราชวังเฟรเดอริกส์บอร์ก (Frederiksborg Palace)

ปราสาทสวยงามตามสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์(Renaissance) ประเทศเดนมาร์กแห่งนี้ ตั้งอยู่เมืองฮิลเลอรอด (Hillerød) ซึ่งห่างจากกรุงโคเปนเฮเกน(Copenhagen) ประมาณ 40 กิโลเมตร สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1560 โดยพระเจ้าเฟรเดอริก ที่ 2 ซึ่งใช้เป็นที่พักสำหรับล่าสัตว์ของ พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 ต่อมาได้รับการต่อเติมเพื่อเป็นที่ประทับของราชวงศ์ในช่วงสมัยของพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ในราวศตวรรษ ที่ 17 เป็นปราสาทยุคเรอเนซองส์ที่ใหญ่ที่สุดในสแกนดิเนเวีย และรวมเอาสถาปัตยกรรมและงานฝีมือยุคเรอเนสซองส์ที่ดีที่สุดไว้
ด้วยกัน ตลอดศตวรรษที่ 17 ปราสาทมักจะถูกใช้เป็นที่ประทับของราชวงศ์ตลอดจนประกอบพิธีทางศาสนาและพิธีสำคัญอื่นๆ ของราชวงศ์เดนมาร์กภายในนั้นมีห้องเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้กว่า 70 ห้อง ที่เต็มไปด้วยการประดับประดาอย่างหรูหราและอลังการของภาพเขียน เฟอร์นิเจอร์ และการตกแต่งสไตล์เก่าแก่ ดูโอ่อ่ามาก มีแท่นบูชาทองคำ เงิน และไม้มะเกลือที่น่าประทับใจนี้สร้างขึ้นโดยช่างทองฮัมบูร์ก ชื่อ Jacob Mores ในปี 1606
หอศิลป์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของออร์แกน Compenius อันเก่าแก่ ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1610 โดย Esajas Compenius ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 13.30 น. มีการแสดงดนตรี Compenius การบรรยายฟรีส􀄞ำหรับผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นอกจากนั้นภายนอกของพระราชวังยังสวยงามมากเพราะปราสาทตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบและล้อมรอบด้วยสวนอีกด้วยเนื่องจากการบำรุงรักษาที่ไม่เหมาะสม จึงเกิดไฟไหม้ขึ้นในปี 1859 และพื้นที่ส่วนใหญ่ภายในปราสาทถูกท􀄞ำลาย ไฟไหม้เป็นภัยพิบัติ โชคดีที่ปราสาทถูกสร้างขึ้นใหม่โดย J. C. Jacobsen เจ้าของโรงเบียร์ Carlsbergโบสถ์ในปราสาทรอดพ้นจากเหตุเพลิงไหม้และปัจจุบันนี้ตั้งตระหง่านเหมือนสมัยพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 จนถึงทุกวันนี้ กษัตริย์และราชินีของเดนมาร์กได้รับการเจิมในโบสถ์ที่ปราสาท Frederiksborg

เรียกได้ว่าโคเปนเฮเกนเป็นหนึ่งในเมืองที่เต็มไปด้วยปราสาท พระราชวังก็ว่าได้ และหากมาเดนมาร์กแล้วอย่าลืมลองทานอาหารเดนมาร์กแบบต้นตำรับที่โด่งดังที่สุด อย่างแซนด์วิชแบบเปิดหน้าสไตล์เดนมาร์ก (Danish open sandwich) หรือที่เรียกว่า Smorrebrod ซึ่งมีหน้าให้เลือกเป็นร้อยชนิดหลากหลาย,

มีทบอลทอด หรือ Karbonader โดยทั่วไปทำจากเนื้อวัวหรือเนื้อลูกวัวซึ่งนำมาบดหยาบแล้วนำไปทอด นิยมเสิร์ฟพร้อมกับ มะเขือเทศและน้ำเกรวี่ ที่ให้รสชาติหอม มัน อร่อย เหมาะสำหรับเป็นของว่างฟรีคาเด็ลเลอ (Frikadeller – DanishMeatballs) มีลักษณะคล้ายกับมีทบอล แต่มีลักษณะเป็นเนื้อหมูสับปนกับเนื้อวัวแล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆนำไปทอดหรือย่าง จานนี้พบได้ทั่วไปในเดนมาร์กแถบสแกนดิเนเวียอื่นๆ ด้วยโดยมักรับประทานเป็นมื้อกลางวันพร้อมกับขนมปังข้าวไรย์ หรือนำไปราสซอสเสริ์ฟพร้อมผัก เช่น มันฝรั่งแดงต้มสุก และกะหล่ำปลีเปรี้ยวหวาน ทำเป็นแซนวิสหน้าเปิดและเป็นอาหารจานหลักสำหรับมื้อค่ำ

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0