Magical of Georgia มหัศจรรย์ จอร์เจีย
วิวยุโรป แต่ค่าใช้จ่ายเหมือนเอเชีย
เต็มไปด้วยที่เที่ยวทางธรรมชาติ และสถาปัตยกรรม
คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้ถึง 365 วัน
ค่าครองชีพถูกเหมือนอยู่เมืองไทย
สามารถไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับคนที่มีหลักฐาน และใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่สำคัญไวน์ที่จอร์เจียอร่อยและถูกมาก
เอาแค่เหตุผลไม่กี่ข้อนี้ แม้จะไม่มีเที่ยวบินบินตรงจากเมืองไทยไปจอร์เจีย แต่เชื่อว่าก็พอทำให้หลายคนเก็บกระเป๋าเดินทางไปจอร์เจียหรือสาธารณรัฐจอร์เจีย กันแล้วในอดีตจอร์เจียเคยเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียต ก่อนจะแยกออกมาเป็น สาธารณรัฐจอร์เจีย เช่นปัจจุบัน ทางเหนือจะติดกับรัสเซีย โดยมีเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus) เป็นตัวแบ่งพรมแดนระหว่างทวีปยุโรป และทวีปเอเชีย ทางใต้ติดกับประเทศตุรกีและอาร์มีเนีย ทิศตะวันตกติดชายฝั่งทะเลดำทิศตะวันออกจรดพรมแดนอาเซอร์ไบจาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลายคนที่พอมีเวลา จะมีการวางแผนการเดินทางเป็น ตุรกี จอร์เจีย หรือจอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน
จอร์เจียสามารถเที่ยวได้ทุกฤดู มีฤดูกาลคล้ายยุโรป แม้จอร์เจียจะไม่มีสายการบินที่มีเที่ยวบินตรง คุณสามารถเลือกสายการบินที่ต่อเครื่องแล้วมาลงที่สนามบินนานาชาติทบิลิซี (Tbilisi International Airport) เป็นสนามบินหลักของประเทศได้ ใช้เวลาตั้งแต่ 11-12 ชั่วโมงเป็นต้นไป ทั้งสายการบินเอมิเรตส์แอร์ไลน์ (Emirates Airlines) กัลฟ์แอร์ (Gulf Air) แอร์แอสตาน่า (Air Astana) ลุฟท์ฮันซา (Lufthansa) กาตาร์ แอร์เวย์ส (Qatar Airways) เตอร์กีซแอร์ไลน์ (Turkish Airlines) ฯลฯ
สำหรับการเดินทาง หากอยู่ในเมืองหลวง สามารถนั่งรถบัสหรือรถไฟใต้ดินได้อย่างสะดวก หรือใช้บริการ app BOLT แอปพลิเคชันสัญชาติเอสโตเนียใช้เรียกรถเหมือน Grab บ้านเลย แต่หากใครต้องการออกไปเที่ยวนอกเมือง สามารถใช้บริการทัวร์แบบone day หารค่ารถกับนักท่องเที่ยวท่านอื่น ขับรถเที่ยวเองค่าเช่าต่อวันประมาณ 2,000 บาท หรือจะใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับ 1 วันไปตามที่ต่างๆ ก็ย่อมได้ เวลาท้องถิ่นของจอร์เจยี ช้ากว่าประเทศไทย 3 ชั่วโมง เมื่อเดินทางไปถึงเท่ากับคุณได้กำไร 3 ชั่วโมง จากสนามบินมาตัวเมืองใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
ที่ท่องเที่ยวของเมืองหลวงทบิลิซี (Tbilisi) มีทั้งส่วนของเมืองเก่า โบสถ์และปราสาทยอดนิยมหลายแห่ง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคูรา (Kura) หรือเรียกว่า แม่น้ำมตควารี (Mtkvari) ในภาษาท้องถิ่น ทบิลิซิ มีเนื้อที่ประมาณ 372 ตร.กม. และมีประชากร 1,093,000 คน เมืองนี้สร้างโดย วาคตัง จอร์กาซาลี (Vakhtang Gorgasali) กษัตริย์จอร์เจีย แห่งคาร์ตลี (ไอบีเรีย) ในคริสตศตวรรษที่ 4 เมืองทบิลิซิเป็นศูนย์กลางการทำอุตสาหกรรม สังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาคคอเคซัส ในประวัติศาสตร์เมืองนี้อยู่ในสายทางหนึ่งของเส้นทางสายไหม ปัจจุบันยังมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการขนส่งและการค้า เนื่องจากความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์
เมืองทบิลิซี (Tbilisi)
จากท่าอากาศยานทบิลิซีให้นั่งรถไฟขบวน 6608 ไปลงที่สถานีรถไฟทบิลิซี (Tbilisi Station) ค่าโดยสารประมาณ 2 – 9 ลารีจอร์เจีย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ถึงกลางเมืองการท่องเที่ยวก็เริ่มจากย่านอะวลาบารี (Avlabari) เป็นย่านของเมืองเก่าบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำคูรา
โบสถ์ทรินิตี้แห่งเมืองทบิลิซี (Holy Trinity Cathedral of Tbilisi) หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า อารามซามีบา (Sameba) มีความหมายว่า โบสถ์พระตรีเอกานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ก่อสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1995-2004 เป็นมหาวิหารอีสเทิร์นออร์โธดอกซ์ (Eastern Orthodox) ที่สูงที่สุดอันดับที่ 3 ของโบสถ์อีสเทิร์นออร์โธดอกซ์ของโลก และเป็นหนึ่งในอาคารทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของจอร์เจีย
ด้วยความใหญ่โตของมหาวิหารทำให้สามารถมองเห็นจากหลากหลายจุดของเมืองทบิลิซี สามารถขึ้นกระเช้าลอยฟ้า (Aerial Tramway) จากสถานีที่ใกล้กับจตุรัสยุโรป (Europe Square) ไปยังป้อมนาริคาล่า (Narikala Fortress) ที่อยู่บนเนินเขาได้
ที่นี่จะมองเห็นความงามของแม่น้ำมตควารี (Mtkvari) ที่พาดผ่าน 3 ประเทศ คือ จอร์เจีย ตุรกี และอาเซอร์ไบจานความยาว 1.515 กิโลเมตร มองเห็นทัศนียภาพของเมืองได้แบบพานอรามา เห็นตึกรามบ้านช่องสวยงามเรียงราย ยิ่งในช่วงเวลากลางคืน จะเห็นแสงสีเหลืองทองของโบสถ์ทรินิตี้แห่งเมืองทบิลิซีสวยงามมาก
กลับมาที่ป้อมนาริคาล่า เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กของเมืองหลวงก็ว่าได้ป้อมโบราณแห่งนี้ถูกสร้างในราวศตวรรษที่ 4 ในรูปแบบของชูริส ทซิเคหมายถึงรูปแบบที่ไม่มีความสม่ำเสมอกัน ในราวศตวรรษที่ 7 สมัยของราชวงศ์อูมัยยาดได้มีการก่อสร้างต่อขยายออกไปอีก และต่อมาในสมัยของกษัตริย์เดวิด (ปี ค.ศ. 1089 – 1125) ได้มีการสร้างเพิ่มเติมขึ้นอีก
เมื่อพวกมองโกลได้เข้ามายึดครอง ก็ได้เรียกชื่อป้อมแห่งนี้ว่า นาริน กาลา (Narin Qala) ซึ่งมีความหมายว่า ป้อมอันเล็ก (Little Fortress) บางส่วนได้พังทลายลงเพราะเกิดแผ่นดินไหวและบางส่วนได้ถูกรื้อทำลาย
จากป้อมเดินไปอีกประมาณ 500 เมตรก็จะมองเห็น มารดาแห่งจอร์เจีย (Mother of Georgia) หรืออีกชื่อคือ มารดาคาร์ทลิส และคาร์ทลิส เดดา (Kartlis Deda) อยู่ที่ยอดเขาโซโลลากี (Sololaki Hill) เป็นรูปปั้นเทพธิดาพิทักษ์เมือง ออกแบบโดยประติมากรชาวจอร์เจียที่มีชื่อเสียง Elguja Amashukeli สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1958 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 1,500 ปี เมืองทบิลิซี เดิมสร้างจากไม้ ต่อมาต้องการสร้างอนุสาวรีย์อย่างถาวรจึงเปลี่ยนเป็นหุ่นอะลูมิเนียมสูงกว่า 20 เมตร ในรูปแบบของสุภาพสตรีสวมใส่ชุดประจำชาติของจอร์เจีย ในมือขวาถือดาบ มือซ้ายถือแก้วไวน์ เป็นนัยว่าถ้าเป็นศัตรูก็พร้อมสู้รบ แต่ถ้าเป็นมิตรก็พร้อมต้อนรับขับสู้อย่างดี
บนยอดเขาจะมองเห็นสะพาน The Bridge Of Peace สะพานแห่งสันติภาพที่มีระยะทางประมาณ 150 เมตร ทอดยาวข้ามแม่น้ำคูรา (Kura) เพื่อเชื่อมเมืองเก่ากับใหม่เข้าด้วยกัน สร้างโดยศาลาว่าการของเมือง Tbilisi ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน
เมืองบาทูมี่ (Batumi)
ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลดำทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 แม้จะมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แต่เป็นเมืองที่ทันสมัยที่สุดของจอร์เจีย นั่งรถไฟขบวน 802, 804, 806, 808 จากสถานีรถไฟทบิลิซี (Tbilisi Station) ไปลงสถานีบาทูมิ (Batumi Station) ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ค่าโดยสารประมาณ 14 – 22 ลารีจอร์เจีย
เนื่องจากเป็นเมืองติดทะเล ดังนั้นคนนิยมมาท่องเที่ยวตากอากาศกันเป็นจำนวนมากบริษัททัวร์มักจะมีบริการขายทัวร์ท่องเที่ยวทะเลดำ หรือพามาเที่ยวชมชายหาดสวยๆท่ามกลางบรรยากาศของตึกสูงรูปทรงเก๋ๆ เช่น ป้อมปราการเก่าแก่โกนิโอ (Gonio Fortress) ภายในเมืองจะมีการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมและสมัยใหม่ไว้อย่างลงตัว บางคนมาเพื่อชมรูปปั้นคริสตัลคิส (Cystal Kiss) หรือ อาลี และ นิโน (Ali and Nino)
ความพิเศษของรูปปั้นทำจากเหล็ก มีความสูงถึง 8 เมตร นี่คือ ทั้งคู่สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยรูปปั้นนี้จะค่อยๆ เคลื่อนที่ทีละนิดจนมาบรรจบกัน เสมือนว่าทั้งคู่กำลังจูบกันอยู่แล้วก็เลื่อนผ่านไป และถอยห่างกันพลัดพรากจากกันไปตลอดกาลในที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวโศกนาฏกรรมของความรักที่ได้แรงบันดาลใจจากนวนิยายชื่อดังเรื่อง Kurban ที่เนื้อเรื่องเล่าถึง ความรักที่แสนอาภัพของ Ali ชายหนุ่มชาวมุสลิม และ Nino หญิงสาวชาวจอร์เจีย ที่เป็นคริสเตียนซึ่งทั้งคู่ได้พลัดพรากจากกันเนื่องจากการรุกรานของโซเวียต ผลงานนี้เป็นของศิลปินที่ชื่อว่า Tamara Kvesitadze
เมืองคูไตซี หรือ คูทายสิ (Kutaisi)
จากเมืองชายทะเลมุ่งหน้าไปเมืองคูไตซี หรือ คูทายสิ (Kutaisi) ที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของอาณาจักรโคลซิสหรืออาณาจอร์เจียนโบราณ เมื่อสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 ทางภาคตะวันตกของจอร์เจีย เพื่อชมมหาวิหารบากราติ (Bagrati Cathedral)
โบสถ์ที่สวยงามตั้งอยู่บนเนินเขาอุเคเมริโอนี (Ukimerioni) อยู่ในตัวเมือง การเดินทางสะดวกชนิดที่บางคนที่พักในตัวเมือง สามารถเดินไปกลับจากที่พักได้เลย วิหารแห่งนี้สร้างในต้นศตวรรษที่ 11 โดยกษัตริย์บากรัตที่ 3 (Bagrat III) ผู้สามารถรวบรวมดินแดนจอร์เจียเป็นหนึ่งเดียวได้ ซึ่งชื่อ Bagrati ก็มาจากชื่อผู้สร้างนั่นเอง ทำให้โบสถ์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผืนแผ่นเดียวกันของประเทศจอร์เจีย หลังจากที่มีการพังทลายของกำแพงด้านตะวันออกและโดม ในช่วงที่กองทัพออตโตมันบุกเข้ามาในปี ค.ศ. 2010 สถาปนิกชาวอิตาลีชื่อ Andrea Bruno ก็ได้เข้ามาบูรณะโบสถ์แห่งนี้ให้มีสภาพที่ดีขึ้น
ไม่ไกลกันยังมีแหล่งมรดกโลกด้านวัฒนธรรมของจอร์เจียแห่งแรก ที่เรียกว่า กลุ่มศาสนสถานเกอลาติ (Gelati Complex) ซึ่งมีอารามหลวงที่ถูกค้นพบในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ซึ่งทางองค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1994 ภายในบริเวณอารามแบ่งเป็นสองส่วนคือโบสถ์เซนต์นิโค ลาส (St. Nicholas) และโบสถ์เซนต์ จอร์จ (St. George) ในโบสถ์มีภาพเขียนสีเฟรสโก บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาที่สวยงาม และยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้วิทยาศาตร์ และสถานศึกษาสำคัญที่สุดของจอร์เจียโบราณสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งของเมืองนี้คือ ถ้ำโพรมีเทียส (Prometheus Cave) ถ้ำโพรเมอุสอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 30 นาที เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ถูกค้นพบในปี 1984 ความยาวกว่า 20 กิโลเมตร แต่เปิดให้เข้าชมเพียง 1.6 กิโลเมตร ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ อากาศค่อนข้างเย็น มีการประดับไฟ แสงสีเสียง ส่องไปตามจุดต่างๆ เช่น บริเวณ Hall of Love สวยงามเหมือนอยู่ในโลกนิยาย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมด้วยการเดินเท้าหรือใช้บริการล่องเรือลอดถ้ำก็ได้
เมืองกอรี (Gori)
ถ้ามาจากสถานีรถไฟทบิลิซี (Tbilisi Station) สามารถนั่งรถไฟขบวน 654, 870, 872, 844 หรือ12 ไปลงสถานีโกริ (Gori Station) ได้ สำหรับที่เที่ยวหลัก คือ เมืองอัพลีสสิค (Uplistsikhe) จากสถานีรถไฟโกริสามารถต่อรถแท็กซี่ไปอัพลีสสิคใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสารประมาณ 17 – 27 ลารีจอร์เจีย จะพักค้างคืนที่เมืองกอรีก่อนจะไปเที่ยวต่อก็ได้ แต่ถ้ามาตามเส้นทางของเมืองอัพลีสลิคห่างจากเมืองคูไตซีหรือคูทายสิ (Kutaisi) ประมาณ 3 ชั่วโมง
อัพลีสสิค ภาษาถิ่นแปลว่าป้อมปราการของขุนนาง อาณาจักรแห่งหุบเขา ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีขุดและเจาะชั้นหินเข้าไปในถ้ำเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยยุคเหล็ก (1,206-1,150 ปีก่อนคริสตกาล) ถึงปลายยุคกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ 5-15) เป็นจุดศูนย์กลางการค้าระหว่างเอเชีย และยุโรปในสมัยโบราณ ค่าเข้าชมคนละ 7 ลารีจอร์เจีย ปัจจุบันที่เหลืออยู่ให้ได้รับชมนั้นเป็นส่วนเมืองข้างใน (Inner City) ที่ถูกค้นพบโดยเหล่านักโบราณคดีเมื่อปี 1957 จะเห็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ชาวเพเก้น (Pagan) ใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมซึ่งเป็นลัทธิบูชาไฟของคนในแถบนี้
ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามา ยังมีห้องต่างๆ ซึ่งคาดว่าเป็นโบสถ์เก่าแก่ของชาวคริสต์ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ด้วยสถาปัตยกรรมการสร้างโดยตัดหินและเจาะลึกเข้าไปเป็นที่อยู่อาศัยนอกจากนี้ที่เมืองกอรี
ยังมีพิพิธภัณฑ์โจเซฟสตาลิน (Stalin Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ในเมืองกอรี ที่อุทิศให้กับชีวิตของโจเซฟสตาลิน อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตในยุค ค.ศ. 1920-1950 เหตุที่มีพิพิธภัณฑ์ที่นี่ เนื่องจากที่นี่เป็นบ้านเกิดของโจเซฟสตาลินนั่นเอง
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวชีวประวัติและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ของสตาลินตั้งแต่สถานที่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต รวมไปถึงบ้านหลังจริงที่สตาลินเกิดและใช้ชีวิตในวัยเด็ก ค่าเข้าชมคนละ 10 ลารีจอร์เจียเท่านั้น และหากใครจะขึ้นรถไฟขบวนรถไฟของสตาลินที่ดั้งเดิมเป็นของซาร์นิโคลัสที่ 2 จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งเป็นทั้งห้องทำงานและห้องนอนของสตาลินก็ต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ 5 ลารีจอร์เจีย
เมืองดุเชติ (Dusheti)
จากเมืองกอรี ก็เตรียมย้อนกลับไปเมืองหลวงตัวเมืองเมืองทบิลิซี ผ่านทางเมืองดุเชติ ใช้เวลา 1-1.30 ชั่วโมง ก็จะถึงป้อมอนานูรี (Anauri Fortress) และอ่างเก็บน้ำซินวาลี (Zhinvali Reservoir) ป้อมแห่งนี้สร้างโดย Duke of Aragvi ช่วงศตวรรษที่ 16-17 เพื่อเป็นป้อมปราการไว้หลบภัยสงคราม
ภายในมีโบสถ์ 2 หลังที่ถูกสร้างไว้อย่างงดงาม มีหอคอยที่สูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่สองหอคอยหอคอยที่สูงกว่ามีชื่อว่า เชอโปวารี (Sheupovari) สร้างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมและยังคงอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์แบบ ส่วนหอคอยที่เตี้ยกว่านั้นเป็นหอคอยทรงกลม มีสภาพเป็นซากปรักหักพัง แทบไม่เหลือเค้าเดิมในอดีตอันรุ่งเรือง บนป้อมจะมองเห็นภาพทิวทัศน์อันสวยงามด้านล่าง ซึ่งก็คืออ่างเก็บน้ำซินวาลี และยังมีเขื่อนซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญสำหรับนั้นนำที่เก็บไว้ส่งต่อไปยังเมืองหลวงพร้อมผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย
เมืองคาซเบกี้ (Kazbegi)
ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ถึงเมืองคาซเบกี้ เมืองที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 5,047 กิโลเมตร มีภูเขาคาซเบกี้ถือเป็นภูเขาที่สูงที่สุดเป็นลำดับ 3 ของประเทศตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจีย คาซเบกี้เป็นชื่อเมืองดั้งเดิม ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นสเตพานท์สมินด้า (Stepantsminda) จากเมืองหลวงจะมีรถมินิบัสมาที่นี่ จากสถานีทบิลิซี ดิดูด (Tbilisi Didude) ไปลงที่สถานีกูเดาริ (Gudauri) แล้วต่อแท็กซี่ไปที่คาซเบกิค่าโดยสารประมาณ 49-59 ลารีจอร์เจีย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง
ที่นี่มีโบสถ์เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง โบสถ์เกอร์เกตี้ (Gergeti Trinity Church) ตัวโบสถ์ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 14 หรืออีกชื่อเรียกกันว่า ทสมิน ดา ซามีบา (Tsminda Sameba) เป็นชื่อที่นิยมเรียกกัน โบสถ์ตั้งอยู่บนหน้าผาฝั่งขวาริมแม่น้ำเชเครี (Chkheri) บนเทือกเขาของคาซเบกี้ ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบหุบเขามีฉากหลังเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนสวยงามและยิ่งใหญ่ การขึ้นไปเที่ยวชมโบสถ์จะต้องนั่งรถโฟล์วีลขึ้นไป หน้าร้อนจะขับรถขึ้นไปได้ ส่วนหน้าหนาวถ้าหิมะไม่ท่วมสูงมากจะเดินขึ้นไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติใช้เวลาราวๆ 1-2 ชั่วโมง
เมืองกุดาอุรี (Gudauri)
เมืองกุดาอุรี ห่างจากโบสถ์เกอร์เกตี้ เพียง 1 ชั่วโมง มีที่เที่ยวหลักคืออนุสรณ์สถานรัสเซีย – จอร์เจีย (Russia–Georgia Friendship Monument หรือ Treaty of Georgievsk Monument) สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่อยู่ระหว่างทางข้ามเทือกเขาคอเคซัส เป็นอนุสรณ์สถานหินโค้งขนาดใหญ่บนเนินเขา
สร้างขึ้นในปี 1983 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปี ของสนธิสัญญาจอร์จีเอฟสกี และความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพโซเวียตและจอร์เจีย จุดชมวิวนี้ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์เจียเมืองกุดาอุรี เป็นเมืองสกีรีสอร์ตที่มีชื่อของจอร์เจีย เป็นเมืองพักผ่อนช่วงฤดูหนาวของชาวจอร์เจียที่จะนิยมมาเล่นในเดือนธันวาคมจนถึงเดือนเมษายน ตั้งอยู่ในเเนวเทือกเขาคอเคซัส ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะลถึง 2,000 – 3,200 เมตร ช่วงฤดูหนาวที่นี่จะเป็นจุดหมายปลายทางหลักๆ ของนักท่องเที่ยวเพราะกุดาอุรีจะกลายสภาพเป็นภูเขาหิมะขนาดใหญ่ ยิ่งใหญ่และสวยงามไม่แพ้เทือกเขาแอลป์ทางฝั่งยุโรปเลยทีเดียวเหมาะไว้เล่นสกีและกีฬาฤดูหนาวทุกรูปแบบ เช่น ฮอกกี้เลื่อนหิมะ และสโนว์บอร์ด รวมไปถึงการมาเล่น Paragliding ราคาประมาณ 250-300 ลารีจอร์เจีย
เมืองมิทสเคต้า (Mtskheta)
ปิดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงกันที่เมืองมิทสเคต้า เมืองหลวงเก่าของประเทศจอร์เจียก่อนเปลี่ยนเป็นเมืองทบิลิซี มิชเคทาล้อมรอบด้วยเทือกเขาคอเคซัสเป็นจุดตัดของแม่น้ำอักราวิ (Aragvi) และแม่น้ำมิกวาริ (Mtkvari) ความโดดเด่นของเมืองนี้คือภูมิประเทศที่สวยงามและอาคารบ้านเรือนที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมแบบยุคกลางไว้ได้เป็นอย่างดี
มิชเคทาเป็นสถานที่ตั้งของมรดกโลก 2 ที่คือ วิหารจวารี (Jvari Monastery) และวิหารสเวติสโคเวลี (Svetitskhoveli Cathedral) เมืองนี้นับว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศ เมืองแห่งศูนย์กลางศาสนา มีอายุ 3,000 กว่าปี และในปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการปกครองของแคว้นมคสเคต้า มเตียเนติ (Mtskheta-Mtianeti) มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 คน เนื่องจากมีโบราณสถานทางด้านประวัติศาสตร์มากมายหลายแห่งจึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1994 จากเมืองกุดาอุรีใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง
วิหารจวารี (Jvari Monastery) เป็นวิหารในรูปแบบของคริสต์ศาสนาออร์โธดอกซ์ที่ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 6 วิหารแห่งนี้ตั้งอย่บู นภูเขาที่มองเห็นแม่นำ้สองสายไหลมาบรรจบกันคือแม่น้ำมิควารี (Mtkvari) และแม่น้ำอรักวี (Aragv) และถ้ามองออกไปข้ามเมืองมิทสเคต้าไปยังบริเวณที่กว้างใหญ่ ในอดีตเคยเป็นอาณาจักรของไอบีเรีย (Kingdom of Iberia) ซึ่งเคยปกครองดินแดนในบริเวณนี้ตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 5
ส่วนวิหารสเวติสโคเวลี (Svetitskhoveli Cathedral) เป็นโบสถ์อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ในเมืองนี้มีรูปแบบของจอร์เจียออร์โธดอกซ์ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 11 โบสถ์แห่งนี้มีอายุกว่า 900 ปี ถือเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของจอร์เจีย เป็นโบสถ์หลวงสถาปัตยกรรมยุคกลางที่เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกและเป็นสุสานหลวงของราชวงศ์จอร์เจีย สร้างขึ้นโดยสถาปนิกชาวจอร์เจีย ชื่อ Arsukisdze มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศอีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางที่ทำให้ชาวจอร์เจียเปลี่ยนความเชื่อและหันมานับถือศาสนาคริสต์ และให้ศาสนาคริสต์มาเป็นศาสนาประจำชาติของจอร์เจียเมื่อปี ค.ศ. 337 และถือเป็นสิ่งก่อสร้างยุคโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจอร์เจีย ภายในมีภาพเขียนสีเฟรสโก้อย่างงดงาม ถ้ามาจากสถานีรถไฟทบิลิซี (Tbilisi Station) นั่งรถไฟขบวน 602 ไปลงสถานีคาสพิ (Kaspi Station) แล้วต่อรถแท็กซี่ไปมิชเคทา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ค่าโดยสารประมาณ 94– 124 ลารีจอร์เจีย ถ้าขับรถประมาณ 1 ชั่วโมง
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของจอร์เจีย ซึ่งจริงๆ มีเมืองที่น่าสนใจอีกมากเช่น เมืองบอร์โจมิ (Borjomi) เมืองตากอากาศเล็กๆ ในเขตซัมซเค-จาวาเคตี (Samtskhe-Javakheti) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับแหล่งน้ำแร่ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของจอร์เจีย เพราะมีแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ดีที่สุด เมืองซิกนาลี (Sighnaghi)เป็นเมืองเล็กๆ บนภูเขาที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาคอเคซัส ได้รับฉายาว่าเป็นทัสคันแห่งจอร์เจีย จากเมืองหลวงนั่งแท็กซี่ไปเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ
จอร์เจียมีฤดูกาลคล้ายยุโรป คือ ช่วงปลายปีถึงต้นปีใหม่ ธันวาคม – กุมภาพันธ์เป็นฤดูหนาวเหมาะที่จะไปชมความสวยงามอลังการของเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus Mountains) ที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนหรือใครที่ชื่นชอบการเล่นสกี ฮอกกี้ เลื่อนหิมะและสโนว์บอร์ด เป็นช่วงเวลาและตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง
ถัดมามีนาคม – พฤษภาคมเป็นฤดูใบไม้ผลิ ไม่ต้องบอกว่าไปจุดไหนก็สวยงามดอกไม้ผลิบาน อากาศกำลังดี เหมาะกับการท่องเที่ยวมาก
ถ้ามาช่วงเดือนมิถุนายน– สิงหาคม จะเป็นฤดูร้อน แต่ด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 16-31 องศาเซลเซียสก็ถือว่าสบายๆ สำหรับคนไทย
ในขณะที่ช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน เป็นฤดูใบไม้ร่วงถือได้ว่าเป็นช่วงที่ทัศนียภาพสวยงามเป็นที่สุดอากาศเย็นสบายกำลังดี ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเดินไปมุมไหนก็สวยงามน่ามองไปหมด
ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ค่าเงินของที่นี่อยู่ในระดับที่รับได้เพราะ 1 ลารีจอร์เจีย = 10 – 11บาทเท่านั้น ทำให้เส้นทางการท่องเที่ยวจอร์เจียเป็นเส้นทางใหม่ที่นักท่องเที่ยวต่างใฝ่ฝันและเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของการเดินทาง