โอ๊ต – สิทธาวัฒน์ ตั้งศรีวงศ์ ตามรอยทางของนักบุกเบิก…ต้องยอมเหนื่อยจึงจะเข้าถึง
เรื่องและรูปโดย สิทธาวัฒน์ ตั้งศรีวงศ์
หลายคนคงรู้จัก เขาช้างเผือก เส้นทางที่ให้คุณรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินอยู่บนเมฆ และขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งใน Dream Destination ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หลายคนคงเคยได้ยิน น้ำตกเปรโต๊ลอซู น้ำตกรูปหัวใจที่สวยงาม และเป็นปลายทางของการเดินทางในนิตยสารฉบับนี้ของเรา แต่จะมีใครรู้บ้างไหมว่า เส้นทางที่คุณกำลังเดินทางอยู่นั้น คือเส้นทางของนักบุกเบิกท่านนี้ ชายหนุ่มผู้หลงใหลการท่องเที่ยวในรูปแบบเทรคกิ้ง และเป็นอีกหนึ่งคนในยุคบุกเบิกเส้นทางรุ่นแรกๆ ที่ก้าวย่ำนำทางเราไปในเส้นทางสายดังกล่าว ในฉบับนี้ทีมงานของเราจะพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับชายหนุ่มท่านนั้นกัน กับคุณโอ๊ต – สิทธาวัฒน์ ตั้งศรีวงศ์ นักเดินทางเทรคกิ้ง ผู้บุกเบิกเส้นทางท่องเที่ยวหลากหลายเส้นทาง และเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ชื่อ www.TravelLifeThailand.com รวมถึงบริษัทฯท่องเที่ยว ที่เติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบ “ขั้นกว่า” ให้ลูกทัวร์ทุกคนเข้าไปสัมผัสกับทุกสถานที่แบบเห็นจริง สัมผัสได้จริง รู้จริงกว่าทัวร์ปกติทั่วไป
คุณโอ๊ตเผยรอยยิ้มก่อนเล่าให้เราฟังว่า อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนุ่มวิศวกรไฟฟ้าผันตัวมาสู่วงการการท่องเที่ยว “ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ได้เรียนรู้การเดินทางจากรุ่นพี่ชมรมอนุรักษ์ แล้วรู้สึกชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่นั้น พอมีเวลา มีงบประมาณ ก็จะออกเดินทาง สมัยเป็นนักศึกษาจะโบกรถเที่ยวกัน พอจบมาทำงานก็มีโอกาสเดินทางมากขึ้น แล้วก็ยิ่งไปไกลขึ้น ชอบเดินทาง เดินป่า เข้าหาธรรมชาติ แสวงหาสิ่งใหม่ๆ ตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว จนในที่สุดก็ผันตัวเองมาอยู่ในวงการท่องเที่ยว โดยตอนนั้นได้รับการสนับสนุนจากเว็บเทรคกิ้งไทย ได้ให้โอกาสฝึกหัดเป็นสต๊าฟ ก่อนที่จะแยกออกมาทำเองครับ”
เรื่องราวความสนุก ความสุขในการเดินทางได้เริ่มเปิดฉากขึ้น เมื่อเราถามถึงความทรงจำครั้งอดีตของการท่องเที่ยว “การบุกเบิกเส้นทางตอนนั้นก็มีเขาช้างเผือก น้ำตกเปรโต๊ะลอซู น้ำตกป่งป๊ง แล้วก็เขาโล้น มันมักจะเริ่มจากตอนเที่ยวๆ อยู่ ก็จะพบที่ที่ทำให้เราอยากไปต่อ อย่างเช่น เวลาเราขึ้นไปบนเขา แล้วเราเจออะไรผ่านตา ที่มันสะดุดตา เราก็พยายามไปให้มันมากขึ้น ไปให้ทั่วถึง สมัยเรียนเคยโบกรถไปสังขละบุรี แล้วก็เจอภูเขาลูกหนึ่ง นั่นคือเขาโล้น เลยคิดจะหาวิธีจะขึ้นไป ก็ลองติดต่อคนนำทางเพื่อจะขึ้นไปจนได้ แต่ปัจจุบันก็ปิดไปแล้ว อย่างเขาช้างเผือกทุกคนก็คงเคยเห็น ใครเคยไปบ้านอีต่อง เวลาเรามองจากข้างล่าง น่าจะต้องมีความรู้สึกว่า เขาลูกนี้สวยดีนะ จะขึ้นไปได้หรือเปล่า มันก็ขึ้นอยู่ที่เราละว่าจะมองมันจากข้างล่างเฉยๆ หรือว่าเราจะพยายามหาทางขึ้นไปพิสูจน์ และด้วยความคิดที่ว่า “เออ..เราทำได้น่า น่าจะขึ้นไปได้นะ” มันเลยเป็นที่มาของการไปถึงของหลายๆ สถานที่”
ด้วยเพราะสังเกต และชอบแสวงหาข้อมูลในเส้นทางใหม่ๆ ทำให้เขาคนนี้ค้นพบเส้นทางการท่องเที่ยวอยู่เรื่อยๆ “เพราะมีเทคโนโลยีช่วยเสริมการบุกเบิกเส้นทางใหม่ๆ ด้วยครับ อย่าง แผนที่ทหาร จีพีเอส และสมัยนี้ยิ่งมี กูเกิ้ลเอิร์ธ กูเกิ้ลแมพ ก็ทำให้เรารู้เส้นทางใหม่ๆ ได้ว่าสภาพพื้นที่ที่จะไปเป็นอย่างไร มีอะไรข้างบนบ้าง ความสูงเท่าไหร่ เริ่มจากหมู่บ้านไหนได้ใกล้สุด เพราะตามหลักความจริงแล้ว ถ้าจะต้องไปที่แห่งนั้นจริงๆ ก็ต้องสอบถาม และให้คนที่ชำนาญพื้นที่พอ นำทางพาเราขึ้นไป
อย่างเส้นทางเปรโต๊ะลอซู ตอนนั้นผมขึ้นไป ตอนปี 2006 เดินข้ามมาจากสังขละบุรีไปจนถึงอุ้มผาง เส้นทางลัดผ่านป่าตะวันตก ซึ่งวันสุดท้ายที่เดินออกมา ก็คือ เดินออกจากหมู่บ้านเลตองคุแล้วก็มุ่งหน้าออกมา สภาพตอนนั้นที่เห็นคือแสงแดดแล้วก็มีเมฆหมอก อยู่ๆ ก็มีภูเขาลูกหนึ่งโผล่มาอยู่ข้างหน้า มันเป็นภูเขาที่แบบที่ขึ้นมาท่ามกลางเมฆ ก็รู้สึกภูเขาลูกนี้ดูมีมนต์ขลัง มีอะไรที่ไม่ธรรมดา แล้วพอเดินออกมาถึงหมู่บ้านเปิ่งเคลิ่งก็ยิ่งเห็นมันชัดขึ้นเลยคิดว่าต้องลองขึ้นไปสำรวจภูเขาลูกนี้ดู ตอนนั้นปลายเดือนมิถุนายน ช่วงสิงหาคมก็กลับเข้าไปใหม่ กลับเข้าไปที่หมู่บ้านแถวนั้น เพื่อที่จะไปขึ้นยอดเขาลูกนี้ หลังจากที่เลือกสภาพเส้นทางแล้ว จุดที่จะไปอยู่ใกล้กับหมู่บ้านที่ชื่อกุยเลอตอ ไปติดต่อคนนำทางที่บ้านนี้เค้าก็พาขึ้นไปให้ แต่พอขึ้นไปแล้วปรากฏว่าทางขึ้นมันไปผ่านน้ำตกที่ใหญ่แล้วก็สูง ชนิดที่เรียกว่าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ซึ่งก็คือน้ำตกเปรโต๊ะลอซูนี่ล่ะ หลังจากไปเจอน้ำตกก็เลยไปไม่ถึงยอดสักที ตอนนั้นเอาจีพีเอสไปวัดจากตรงฐานน้ำตกจนกระทั่งขึ้นไปถึงบริเวณหัวน้ำตกซึ่งเสมอกัน มันจะอยู่ที่ระยะความสูงประมาณ 513 เมตร ซึ่งข้อมูลปัจจุบันในยุคนั้น น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือน้ำตกแม่สุรินทร์ สูงประมาณ 100 กว่าเมตร ซึ่งถ้าจะนับจากน้ำตกชั้นล่างสุดจนถึงบนสุดของเปรโต๊ะน่าจะสูงกว่านั้นเยอะทีเดียว พวกเราก็เลยเริ่มจัดวางเป็นเส้นทางท่องเที่ยว วางแคมป์ 1 แคมป์ 2 อยู่ตรงไหน เริ่มวางรูท เริ่มจัดทัวร์ ตอนนั้นก็ทำให้กับเทรคกิ้งไทยครับ
หรืออย่างเขาช้างเผือก จริงๆ ต้องบอกว่าเป็นแค่ตัวแทนเขาโล้นนะ (หัวเราะ) จริงๆ แล้วชอบเขาโล้น เพราะสวยกว่า ตอนนั้นยังมีซีรี่ย์ทริปนรกหารเฉลี่ย เขาโล้นนี่เป็นทริปนรกหารเฉลี่ยหมายเลข 1 เลย ประมาณว่าเป็นตัวแจ้งเกิดในวงการเลยทีเดียว แล้วอยู่ๆ เขาโล้นมีโครงการที่จะทำเป็นสถานีเรดาห์ ก็เลยถูกปิด พอเขาโล้นถูกปิดก็เลยมานั่งดูแผนที่เมืองกาญจนบุรีว่า มีเขาที่สูงทั้งหมด 4 ลูก ลูกแรกคือเขาโล้น ลูก 2 คือเขาเขียว ก็ไปมาแล้ว ลูกที่ 3 เขากำแพงที่อยู่ตรงถ้ำธารลอด ขึ้นไปแล้วก็ไม่มีอะไร ก็เลยมุ่งความสนใจไปที่บ้านอีต่อง ปกติพอไปถึงบ้านอีต่อง ทุกคนแค่ไปนอนตรงจุดชมวิวกูดดอย จะนอนบ้านต้นไม้ หรือเขาช้างศึก หรือว่าจะไปบ้านอีต่อง มุมไหนก็ต้องเห็นเขาช้างเผือก ซึ่งเวลาเห็นภูเขาอยู่ตรงหน้าแล้วมันก็มีคำถามผุดขึ้นมาว่า ภูเขาลูกนี้ จะขึ้นไปได้หรือเปล่า ? ภูเขาลูกนี้ มันจะขึ้นไปได้ไหม ? เป็นบทพิสูจน์ใจว่าเราผ่านมาได้ตั้งหลายลูก แล้วทำไมเขาอีกลูกจะขึ้นไม่ได้ ก็เลยไปนั่งกินข้าวร้านน้องหน่อย (ร้านอาหารที่อยู่บ้านอีต่อง) ถามน้องหน่อยว่า เขาช้างเผือกนี้มีคนขึ้นไปไหม? น้องเขาก็บอกว่า เดี๋ยวไปถามมาให้ ก็เลยได้เด็กๆ มาแก๊งค์นึง มาเป็นลูกหาบ ซึ่งเป็นรุ่นลูกจริงๆ อายุประมาณ 7 ขวบ 12 ขวบเท่านั้น แล้วเด็กๆ ก็พาเราไปที่ยอดเขาช้างเผือก นำไปก็วิ่งเล่นกัน เตะกันไป หกล้มกระจองอแงกันไปเรื่อย ผมก็เดินตามไป ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเส้นทางที่ยากนัก ระหว่างทางก็ยังเจอคนที่เค้าไปล่าสัตว์ หาของป่าอยู่เนืองๆ เส้นทางนี้จะยากจริงๆ ก็คือตอนที่ขึ้นสันคมมีด ซึ่งต้องปีนหินแบบร่วนๆ นิดหน่อย แต่พอขึ้นไปถึงแล้วก็เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างสวยและเดินไม่ยาก เหมาะสำหรับการจัดทัวร์ในระยะสั้น 2 วัน 1 คืน เลยเป็นที่มาของการไปเยือนเขาช้างเผือก พอลงมาก็เลยส่งรูปไปให้ที่อุทยาน ซึ่งทางอุทยานเองก็คงมีแนวคิดที่จะโปรโมทเส้นทางตรงนั้นอยู่แล้วด้วย กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ค่อนข้างน่าดีใจสำหรับชาวบ้านอีต่อง เพราะในปัจจุบันจะมีฤดูกาลท่องเที่ยวเขาช้างเผือก ซึ่งเมื่อก่อนที่นั่นไม่มีอะไรเลย ตอนนี้กลายมาเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีเสน่ห์ มีคนเข้ามาท่องเที่ยว มีฤดูกาล มีร้านอาหาร ห้องพัก อะไรต่างๆ เยอะขึ้น”
เส้นทางบุกเบิกในยุดแรกๆ เลยเปลี่ยนแปลงไป “แน่นอน เปลี่ยนไปเยอะเลย อย่างเขาโล้นก็โดนปิดใช่มั้ย (หัวเราะ) เขาช้างเผือก เจริญขึ้นๆ บางเส้นทางก็เป็นรุ่นอมตะนิรันดร์กาล มีคนไปเรื่อยๆ อย่างเขาช้างเผือก หรือปงป๊ง ส่วนใครที่ขึ้นเขาโล้นได้ก็เป็นรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่นแล้ว เพราะปัจจุบันขึ้นไม่ได้ มันก็เลยทำให้ทุกความทรงจำของการเดินทางที่ผ่านมาทรงคุณค่าขึ้นเรื่อยๆ”
จากชายหนุ่มผู้หลงใหลการเดินทาง ชอบจัดทริปท่องเที่ยว ชี้ชวนให้คนอื่นมาร่วมในเส้นทางแห่งความสุขนี้ด้วย วันนี้ทางคุณโอ๊ต ได้นำประสบการณ์ที่สะสมมาเปิดเป็นบริษัททัวร์ ทราเวล ไลฟ์ ไทย์แลนด์ ทำเคียงคู่กับเว็บไซต์ www.TravelLifeThailand.com
“ปัจจุบัน ผมเดินทางมาแล้ว 33 ประเทศ ส่วนใหญ่ชอบเที่ยวแนวลุยๆ คือไปสักครั้ง มีสิ่งไหนควรจะไปดู ควรทำ ควรเรียนรู้ ก็จะทำมันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทริปลักษณะไหน แต่ว่าถ้าผมอยู่เมืองไทย ก็ชอบที่จะออกเดินป่า ไปแสวงหาอะไรที่มันมากกว่าทั่วๆ ไปอยู่แล้ว และเวลาผมรู้สึกว่าเวลาพบเจออะไรแปลกใหม่ก็อยากให้คนอื่นได้พบเห็นได้สัมผัสกับมันบ้าง และทัวร์กลุ่มแรกของบริษัทฯ ใช้ชื่อว่านักเดินทาง ก็ไปเขาช้างเผือกนี่ละครับ ประมาณปี 2007 ซึ่งหากถามว่ากระแสตอบรับดีไหม อืม…ผมไม่ได้วัดตามกระแสตอบรับนะ ผมวัดจากความสุขและความสนิทสนมของคนที่ไปมากกว่า ก็ถือว่าพอใจมากครับ ปัจจุบันก็มีเพื่อนๆ ที่เคยไปทัวร์เป็นลูกค้าแล้วก็กลายมาเป็นเพื่อนคุยกัน ร่วมกันแชร์เฟซบุ๊ค แบ่งประสบการณ์กัน บางคนไปเดินป่ากับเรา สักพักเค้าอัปเกรดขึ้นไปหาสิ่งที่ยากกว่าตอนไปกับเรา ก็รู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมจุดประกาย จุดไฟในการเดินทางให้กับคนอื่นๆ การเดินทางจะเหนื่อย จะร้าย หรือดียังไง มันก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่คุณก็จะจดจำไปตลอดทั้งชีวิต มันไม่ใช่แค่นอนโรงแรมดีๆ แล้วก็ลืมไป ไม่ใช่แค่ขับรถไปเจอแล้วก็หายไป หรือกินข้าวมื้อนึงแล้วก็จบกัน แต่มันคือประสบการณ์ที่คุณจะจำ เป็นเหมือนสูตรสำเร็จของการเดินทาง เหมือนเทปสักม้วนนึงที่คุณจะจำไปเรื่อยๆ นึกถึงเมื่อไหร่ก็ยังมีความสุข”
บทเส้นทางสายธุรกิจตลอด 7 ปี ที่ผ่านมา อุปสรรคโดยมากของคนทำทัวร์ คุณโอ๊ตกล่าวว่า “ในช่วงแรก จะยากตรงที่เรายังไม่รู้ว่าเราจะนำเสนอมุมมองอะไรให้ลูกค้ารู้ว่าบริษัททัวร์เราเป็นแบบนี้แล้วให้เค้ามาเลือกเรา ก็ยอมรับว่าเจอคนหลากหลาย เจอบางคน เค้าไม่ได้สิ่งที่เค้าคาดหวัง คนอยากไปเที่ยวแบบสบายๆ แต่กลับมาสมัครไปกับทัวร์เดินป่า ตอนนั้นเราก็คิดว่า เราผิดอะไรของเราหรือเปล่า มันก็ต้องทำความเข้าใจกันค่อนข้างเยอะ บางคนคิดว่าเดินป่าจะสบายกว่านี้ จะไม่ลำบากอย่างนี้ เค้าอาจจะอ่านข้อมูลไม่ครบ หรือรับรู้ข้อมูลไม่หมด ก็ทำให้สมัครทริปมา และผิดจากความต้องการเลยกลายเป็นเรื่องยากที่จะทำให้มีความสุข แต่เราก็ได้เรียนรู้จากตรงนี้ในการเขียนโปรแกรมทัวร์ว่าจะให้ข้อมูลอย่างไรให้ทุกอย่างตรงกับข้อมูลจริงในสิ่งที่เราเป็น เราทำ การที่ให้ลูกค้าได้รับรู้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว และตัดสินใจมากับเรา ก็จะง่ายขึ้นที่จะทำให้เค้ามีความสุข เพราะอย่างน้อย ความเป็นตัวเราที่มันชัดเจน มันก็แสดงให้เห็นถึงสไตล์ในการเดินทางของเราเอง ที่อาจไปตรงใจ ทำให้เค้าเลือกที่จะเดินทางด้วย และสำหรับทริปเดินป่าในเมืองไทยที่มีการแข่งขันกันสูงและกำไรค่อนข้างน้อย ฉะนั้นคนที่ทำทริปเดินป่าก็จะต้องเป็นคนที่ใจรักจริงๆ ประกอบกับทั้งเรื่องของทีมสต๊าฟ เพราะการหาคนที่จะยอมเหนื่อย ยอมลำบาก รับผิดชอบทุกอย่างได้ ก็ยอมรับว่าหายากครับ”
มุมมองของชายหนุ่มคนนี้คงทำให้คุณมีไฟที่จะออกไปเดินทางขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย อย่าลืมว่าโลกถึงจะกว้างใหญ่เพียงใด แต่ทุกๆ ที่ก็ไม่ไกลเกินก้าวน้อยๆ ของมนุษย์จะไปถึง ในชีวิตคนเราการได้ไปเห็น ได้ไปสัมผัส ได้ไปรับรู้สิ่งที่แปลกใหม่ย่อมจะเปลี่ยนมาเป็นประสบการณ์ที่จะตรึงอยู่ในใจไปตลอดกาล อย่าปล่อยให้เวลาดีๆ ในชีวิตหมดไปกับนาฬิกาของชีวิตเมืองที่เร่งรัด เตรียมตัวให้พร้อม และก้าวออกไปเดินตามรอยเท้าของผู้บุกเบิก ไปดู ไปรู้ให้ได้ว่า โลกเบื้องหน้ามีอะไรรอเราอยู่บ้าง
Story : Editorial Staff / Photo : สิทธาวัฒน์ ตั้งศรีวงศ์
สไตล์การท่องเที่ยวแบบทราเวล ไลฟ์ ไทยแลนด์ : ถ้าใครอยากมีสัมผัสบริการทัวร์ ที่พาเที่ยวแบบรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่แค่ชะโงกทัวร์ ช้อปปิ้ง หรือตามรอยละครเกาหลี คลิก www.TravelLifeThailand.com คุณมาถูกทางแล้วค่ะ ทราเวล ไลฟ์ ไทยแลนด์ของคุณโอ๊ตและชาวคณะสร้างขึ้นมาจากแรงบันดาลใจของการท่องเที่ยว ที่เรียกว่าขั้นกว่า เป็นการบรรจบกันระหว่างสองแนวทาง นั่นคือ การแบ็คแพ็ค เที่ยวด้วยตัวเอง และการไปทัวร์แบบทั่วไป โดยจะใส่สาระแห่งการเดินทางเข้าไปในทริป เปิดมุมมองการเดินทางของลูกค้าให้กว้างขึ้น เติมเต็มประสบการณ์ทั้งเรื่องธรรมชาติ วัฒนธรรม อารยธรรม ผู้คน อาหารการกิน อาจจะออกนอกขอบเขตที่ทัวร์ทั่วไปเข้าไม่ถึง มีลุยบ้าง ลำบากบ้าง เพื่อให้เข้าถึงการเดินทางในจุดหมายนั้นอย่างแท้จริง และให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของการเดินทางที่ครบทุกรส ทั้งหวาน มัน ขม และเข้ม
รู้ไหมใครคือนักเทรคกิ้งในดวงใจของคุณโอ๊ต : น้าชูครับ น้าชูเป็นพรานป่ากะเหรี่ยง อยู่ที่หมู่บ้านกองม่องทะ แกใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ในป่า ตั้งแต่เด็กยันโต แกเป็นเหมือนสักขีพยานในการเปลี่ยนยุคสมัย น้าชูไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้ด้านวิชาการ ด้านแผนที่ทหาร หรือด้านวิทยาศาสตร์ใดๆ เลย แต่แกเป็นอาจารย์ที่สอนจากการพุดคุย ผมเรียนรู้การใช้ชีวิตในป่า เรียนรู้ในการหาเส้นทาง ในการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ การแยกแยะต้นไม้ แยกแยะด่านสัตว์ แกเคยทำให้ผมทึ่ง เมื่อแกดูแผนที่ทหารไม่เป็น แต่เส้นทางทุกเส้นแกจำได้อย่างแม่นยำ และมันตรงกับแผนที่ๆ ผมถืออยู่เป๊ะๆ เลย
แนะนำเส้นทางสำหรับนักเทรคกิ้งที่ไม่ควรพลาด : ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ คุณโอ๊ตแนะนำเส้นทางการเดินป่าแก่นักเทรคกิ้งหน้าใหม่ๆ ว่าก่อนอื่น ถ้าต้องการเทรคกิ้งเพื่อชมความสวยงามแบบธรรมชาติ ในเมืองไทยก็ถือว่ามีจุดท่องเที่ยวอยู่หลายเส้นทาง แต่ถ้าจะแนะนำสำหรับคนที่มีเวลาไม่มากอยู่ใกล้กรุงเทพฯ เดินค่อนข้างง่าย เหมาะสำหรับการฝึกหัด ก็คือเขาช้างเผือก แล้วถัดไปถ้าจะเริ่มมีกำลังวังชามากขึ้นก็ลองดู อย่างเช่น ภูกระดึง ภูสอยดาว เชียงดาว แล้วก็น้ำตกปงป๊ง ก็ได้ แต่ก็ถือว่าต้องลุยมากกว่า จนกระทั่งถ้าจะไปแบบขั้นพรีเมี่ยมเลย ก็โมโกจู แต่ว่าถ้าใครไปโมโกจู แล้วยัง need อีก มันยังไม่สุด ก็แนะนำว่า ลองอินบ๊อกซ์เข้ามาคุยกันครับ ยังมีสถานที่แนะนำอีกเยอะทีเดียว ซึ่งแบบนี้จะเกินกว่า ที่เรียกว่านักท่องเที่ยวแล้ว ต้องเป็นคนที่ต้องยอมเหนื่อยเพื่ออะไรที่จะเข้าถึงแล้วล่ะ