Tokyo Again & Again – โตเกียว ไปแล้ว (ก็) ไปอีก
Story & Photo Orawan
ในเช้าวันที่กรุงโตเกียวอุณหภูมิ 11 องศา ต่างจากอุณหภูมิเมืองไทยที่ฉันเดินทางจากมาถึง 20 องศา ถือว่าเป็นอุณหภูมิที่ยังยิ้มได้สำหรับคนที่ชื่นชอบอากาศเย็นแบบฉัน ไม่ได้รู้สึกว่าหนาวจนไม่สามารถเดินชื่นชมเหล่าใบไม้ที่กำลังปรับเปลี่ยนสีตามฤดูกาล ขณะเดียวกันก็ไม่ร้อนและเหนื่อยหากต้องเดินตลอดทั้งวัน ช่วงใบไม้ผลิแบบนี้จึงเป็นช่วงเวลาการเดินทางที่พอเหมาะเสียจริง
แม้ฉันจะเดินทางมาโตเกียวหลายครั้ง แต่หากมีโปรโมชันตั๋วเครื่องบินทีไร โตเกียวก็มักเป็นจุดหมายปลายทางที่ฉันเลือกเดินทางได้อย่างไม่ลังเล เพราะนอกจากจะมีสถานที่ช้อปปิ้งชื่อดังที่หลายคนรู้จักกันดีอย่างเช่น ชินจูกุ (Shinjuku) ชิบูย่า (Shibuya) ฮาราจูกุ (Harajuku) โตเกียวยังมีอีกหลากหลายสถานที่ให้ได้สัมผัสกัน และหากมาโตเกียวแล้วสถานที่แรกที่หลายคนมุ่งหน้าตรงไปนั่นก็คือ
วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) ย่านอาซากุสะ (Asakusa) หรือวัดอาซากุสะที่หลายคนนิยมเรียกกันนั่นเอง ภาพโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่มีตัวอักษร 雷門 (Kaminari-Mon) ที่แปลว่า ประตูสายฟ้าแขวนอยู่กลางซุ้มประตูสีแดงสด มียักษ์ตัวโต ไม่แพ้กันยืนขนาบซ้ายขวา คือ ฟูจิน เทพแห่งลม : 風神 และไรจิน เทพสายฟ้า : 雷神 นั่นเอง
ผู้คนมากมายหลากหลายชาติ หลายวัย ยกกล้อง หรือมือถือของตัวเองกดถ่ายภาพความทรงจำ ณ จุดนี้กันอย่างครึกครื้น เป็นภาพที่เห็นเจนตาเวลามาที่วัดนี้ เลยซุ้มประตูเข้าไปเรียกว่าถนนนากามิเซะ (Nakamise dori)
เส้นทางที่แสนจะยั่วยวนกิเลสก่อนจะถึงตัววัด ด้วยสองข้างทางที่รายล้อมไปด้วย ขนม ของฝาก ของที่ระลึก หลายรูปแบบ ฉันเป๋ไปหลายทีเมื่อได้กลิ่นข้าวเกรียบ (Kawarasenbe) ทำใหม่ลอยมาแตะจมูก หรือภาพสีสันละลานตาของซอฟท์ครีม ไอศกรีมเนื้อเนียนที่แทรกตัวอยู่เป็นระยะๆ
เป็นเส้นทางแห่งความอดทนกว่าจะฝ่าฟันเข้ามาถึงซุ้มประตูโฮโซมอน (Hozomon) ที่มีสัญลักษณ์เป็นโคมไฟสีแดง และสีทองอีก 2 อันขนาบข้าง
หลายคนมาที่วัดแห่งนี้ อาจจะงงๆ นิดหน่อยว่าทำไมคนโบกควันธูปเข้าหาตัวเองกันใหญ่ ที่จริงเป็นหนึ่งในวิธีขอพรของที่นี่ที่ขึ้นชื่อว่ามาขอพรแล้วสัมฤทธิ์ผล วิธีขอพรนั้นเริ่มจากขวามือคุณจะเห็นบ่อน้ำอยู่ ให้มือขวาตักน้ำล้างมือซ้าย สลับล้างมือขวา แล้วก็ใช้มือขวา (อีกครั้ง) ตักน้ำเทลงมือซ้าย เพื่อใช้น้ำนั้นบ้วนปาก จากนั้นจับกระบวยตั้งขึ้นเทน้ำที่เหลือล้างกระบวย เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนแรก
จากนั้นเดินตรงไปยังกระถางธูปที่คนกำลังมุงกันอยู่ได้เลย โบกควันธูปจากกระถางเข้าหาตัวเอง อยากให้มีเงินทองสะดวกให้โบกเข้ากระเป๋า เจ็บป่วยตรงไหนโบกเข้าตรงนั้น เป็นต้น เดินต่อขึ้นไปด้านบนหน้าศาลเจ้า โค้งคำนับ 1 ครั้งหยิบเหรียญ 5 เยน ที่มีความพ้องเสียงกับคำว่า “ผูกพัน” ซึ่งจะหมายถึงการผูกพันกับพระพุทธเจ้าขึ้นมาโยนเข้าใส่กล่องรับบริจาค ก่อนจะโค้งคำนับ 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง พนมมือตั้งจิตอธิษฐานขอพร แล้วโค้งคำนับอีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
แต่ถ้าไม่มีเหรียญ 5 เยนให้ใช้เหรียญอื่นได้ตามกำลังทรัพย์เลย ใครต้องการเสี่ยงเซี่ยมซีก็ทำได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะอ่านไม่ออกเพราะที่นี่ใบเซียมซีมีภาษาอังกฤษให้ด้วย สำหรับคนญี่ปุ่นเองจะมีความเชื่อเรื่องเครื่องราง ดังนั้นในบริเวณวัดจะมีจุดที่ให้เช่าเครื่องรางกลับไป มีทั้งเรื่องการเงิน การงาน ความรัก หรือสุขภาพ
อีกจุดหนึ่งที่อยากให้ลองแวะกันนั่นก็คือ ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวและจุดชมวิวที่เป็นตึก 7 ชั้น อยู่ฝั่งตรงข้ามของประตูคะมินะริมงนั่นเอง
ชั้นบนสุดของอาคารจะมีร้านกาแฟ และจุดชมวิวให้คุณได้เห็นโตเกียวในมุมที่ต่างออกไปจากจุดนี้เองคุณสามารถ มองเห็นอาคาร Tokyo Sky tree อยู่ไกลลิบๆ เป็นทั้งจุดชมวิวร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และอื่นๆ
อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของย่านอาซากุสะ ก็คือ สำนักงานใหญ่ของเบียร์ Asahi ตัวตึก 22 ชั้น ติดกระจก สีทองอร่ามที่แทนสัญลักษณ์ของเบียร์ในแก้ว ด้านบนสุดของอาคารตกแต่งเป็นกระจกสีขาวเลี่อมไปมาคล้ายกับฟองเบียร์
และที่เป็นที่สะดุดตาใครหลายคนคงหนีไม่พ้นสถาปัตยกรรมคล้ายเปลวไฟสีทองตั้งอยู่บนตึก Super Dry Hall ที่หมายถึงหัวใจที่ลุกไหม้โชติช่วงของ Asahi แต่สำหรับฉันสถาปัตยกรรมอันนี้มันแปลกตาพิลึกชวนนึกถึงสิ่งอื่นมากกว่า คุณล่ะนึกถึงอะไร (คิดแล้วเก็บไว้ในใจน่ะ)
หากคุณมาช่วงฤดูใบไม้ผลิ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ชื่อ สวนอุเอโนะ (Ueno) น่าจะเป็นปลายทางที่คุณควรแวะเพราะจะมีต้นไม้น้อยใหญ่กว่า 8,000 ต้น ที่สำคัญมีต้นซากุระกว่าร้อยสายพันธุ์ ที่นี่ช่วงเดือนมีนาคม เมษายน สวนนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาชมซากุระกัน แต่ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ที่เที่ยวบริเวณที่ฉันอยากให้ได้แวะกัน คือ ตลาดอะเมโยโกะ (Ameyoko Market) มีทุกสิ่งให้เลือกสรร น่าจะเป็นคำนิยามที่เหมาะกันตลาดแห่งนี้เป็นอย่างดี
มีตั้งแต่ของชิ้นเล็กพวกเครื่องสำอาง ไปจนของชิ้นใหญ่อย่างกระเป๋าเดินทาง ของกินเล่น ผลไม้ ของสด ตลอดจนอาหารเป็นมื้อกินอิ่มแถมยังมีจากหลากหลายเชื้อชาติ คุณอยากรับประทานอาหารเกาหลีในญี่ปุ่น หรือแม้แต่ร้านอาหารไทยที่มีเสียงเพลงไทยลอยออกมาเชิญตั้งแต่หน้าร้านก็ย่อมได้ ตลาดคึกคักเกือบตลอดทั้งวัน
ฉันมีโอกาสเคยไปตลาดนี้จะเริ่มในช่วงกลางวัน ประมาณ 10.00 น. จะมีนักท่องเที่ยวเดินมาจับจ่ายซื้อสินค้าไปเป็นของฝาก ของกำนัลกัน แต่คราวนี้มาช่วงกลางคืน มีคนญี่ปุ่นประปรายโดยมากจะแวะมารับประทานอาหาร สังสรรค์หรือแม้กระทั่งเข้าไปเล่นเกมในร้านเกมที่ตั้งแทรกอยู่อยู่ระหว่างทาง
ใครจะคิดว่าเดิมสถานที่ที่เป็นขายขนมและลูกอมลูกกวาด ภาษาญี่ปุ่นเรียกร้านเหล่านี้ว่า “Ameya Yokocho” จึงเป็นที่มาของชื่อตลาดอะเมโยโกะ (Ameyoko) วันนี้จะคึกคักไปด้วยผู้คนเช่นนี้
ที่สำคัญแทบทุกร้าน ติดป้าย Sale กันถ้วนหน้าชวนให้เงินในกระเป๋าปลิดปลิวไม่พอ หมัดเด็ดคงเป็นป้าย Tax Free ที่ตั้งเสริมเข้าให้อีก งานนี้ไม่พ่ายแพ้ ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว
ต้นแปะก๊วย มันสวยได้ถึงขนาดนี้เหรอ…เป็นความคิดแว้บแรกของฉันยามที่เห็นเหล่าต้นแปะก๊วยที่บริเวณถนนอิโช นามิกิ (Icho Namiki) ด้านข้างสวนเมจิ จิงกุ ไกเอน (Meiji Jingu Gaien Park) บรรดาต้นแปะก๊วย กว่าร้อยต้นที่ปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ตลอดแนวทางเดินกว่า 300 เมตร
ต้นของมันสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านเต็มสองข้างทางราวกับอุโมงค์สีเหลืองทองสวยงามจนต้องร้องว้าวดังๆ (ในใจ) ยิ่งปลายเดือนพฤศจิกายน เช่นนี้ บางส่วนได้ร่วงหล่นลงพื้นกลายเป็นเหมือนพื้นสีเหลืองปูเต็มพื้นที่ไปหมด
ส่วนด้านในสวนต้นเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ตัดกับสีโทนดำของกิ่งไม้ที่ผลัดใบไปแล้วโดยรอบ เห็นคุณครูกำลังพาเหล่านักเรียนตัวน้อยออกมาธรรมชาติกันอย่างเป็นที่น่าสนุกสนาน
ใกล้ๆ กันนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์ Meiji Memorial Picture Gallery พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมภาพวาดของจิตรกรญี่ปุ่นที่ได้บันทึกภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1852 จนถึง ค.ศ. 1912 ภาพวาดเหล่านี้ต้องไปเห็นด้วยตาของคุณเอง เพราะทางพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป
หลังจากสำรวจเงินในกระเป๋าว่ายังพอมีหลงเหลือจากการช้อปปิ้งที่ตลาดอะเมโยโกะอยู่บ้าง ฉันจึงเก็บกระเป๋าไปหาที่ช้อปปิ้งอีกสักหนึ่งแห่ง ว่ากันว่าย่านนี้เป็นย่านช้อปของคนชิคกันเลย สิ่งที่คุณมักจะพบเห็นเสมอ คือความเป็นอยู่ที่ดูไม่เร่งรีบ ทั้งที่ห่างจากสถานที่ท่องเที่ยวหลักอย่างชินจูกุ หรือชิบุย่าเพียง 1 สถานี
ซ้ายมือของฉันตอนนี้ (คาดว่า) เป็นคุณแม่ 2 ท่านกำลังคุยกันอย่างออกรส ถัดไปคุณยายกำลังเลือกซื้อผลไม้อยู่อย่างตั้งใจ ขวามือน้องนักเรียนแก้มแดง กำลังเดินทอดน่องเพื่อไปโรงเรียน ที่ดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาคงเป็นกลุ่มวัยรุ่นญี่ปุ่นที่กำลังคุยต่อรองราคาสินค้ากับคนขายที่กำลังจัดวางของที่เข้ามาใหม่ ทั้งหมดคือภาพบรรยากาศอันแสนสบายของย่านช้อปปิ้งชิโมะคิตะซาว่า (Shimokitazawa) ย่านช้อปปิ้งที่มีรางรถไฟที่ตัดผ่านกลางเส้นทางสายช้อปปิ้งนี้
สินค้าที่นี่โดยมากเป็นสินค้ามือ 2 ทั้งแบรนด์เนมชื่อดังและสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่น สไตล์เก๋ไก๋น่ารัก มีแบ่งโซนถึง 4 โซน คือ เหนือ (North) ใต้ (South) ตะวันตก (West) ตะวันออก (East) แบ่งตามสายถนัดของแต่ละคนกันไป ฝั่งทางเหนือ เสื้อผ้ามือ 2 สไตล์ญี่ปุ่นแท้ดาหน้าเรียงรายกันมาเป็นล็อกๆ แต่ละล็อกก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง
บางร้านเหมาะสำหรับคนที่นิยมสินค้าแบบ Handmade บางร้านเหมาะสำหรับขาร็อกด้วยโทนเสื้อสีดำหรือเสื้อหนังที่ใส่แล้วก็เท่ห์ แต่บางร้านก็มีของเล็กของน้อย เครื่องประดับน่าซื้อหา หากไม่จุใจเดินไปทางฝั่งทิศใต้ จะมีร้านขายของเล่น ของสะสมโบราณรวมตัวกันอยู่ เดินดูไปแล้วนึกถึงครั้งยังเป็นเด็ก สำหรับใครที่ชื่นชอบสินค้าเรียบง่ายแบรนด์ MUJI ที่ฝั่งตะวันตกมีอยู่ร้านหนึ่ง และฝั่งเดียวกันนี้ก็มีร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับราคาไม่แพงอย่าง WE GO อยู่ด้วย
แต่ถ้าอยากเปลี่ยนอารมณ์จากการช้อปปิ้งไปดูละครเวที ที่นี่ก็มีโรงละครที่จัดแสดงละครเวทีอยู่หลายจุด อย่างโรงละครฮอนดะ (Honda Theater) ที่ตั้งขึ้นมาเป็นแห่งแรก หรือจะชมภาพยนตร์ ก็มี โรงภาพยนตร์ขนาดเล็กที่มีหนังสั้นวนเวียนกันมาจัดฉาย ชิโมะคิตะซาว่าอยู่ไม่ไกลจากย่านหลักอย่างชิบุย่ามากนัก แต่บรรยากาศค่อนข้างจะแตกต่างกันมาก อันดับแรก อาคารบ้านเรือน ไม่ได้เป็นตึกที่ไม่สูงเสียดฟ้าแบบชิบูย่า ชินจูกุ เป็นเหมือนบ้านและร้านค้าเล็กน้อยมารวมตัวกันยิ่งมีภาพของผู้คนและการใช้ชีวิตที่แทรกตัวในแต่ละมุมเป็นความน่ารักที่ประทับใจสำหรับคนที่ได้มาเยือนเสียจริง
หากถ้าจะถามว่ามาโตเกียวฤดูไหนดี ฉันตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่ามาได้ทุกฤดูเลย ฤดูใบไม้ผลิ คุณจะเห็นต้นซากุระผลิดอกเต็มทั่วทั่งเมือง มาฤดูร้อนแม้อากาศจะร้อนแต่คุณจะได้เห็นเทศกาลดอกไม้ไฟที่สวยงามยิ่งใหญ่มาฤดูหนาวเหมาะสุดสำหรับสายช้อปปิ้งเพราะก่อนเข้าฤดูหนาวห้างร้านต่างๆ จะทยอยปล่อยสินค้าฤดูร้อนที่สามารถซื้อกลับมาใช้บ้านเราได้ในราคาแสนถูก
และถ้าคุณมาช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นฉันในครั้งนี้ ภาพใบไม้สีเหลือง แดง เขียวเตรียมต้อนรับคุณอย่างพร้อมเพรียง โตเกียวจึงเป็นอีกเมืองที่คุณได้มาแล้ว (ก็อยาก) มาอีกอย่างแน่นอน