ชุ่มฉ่ำหัวใจที่ อุทัยธานี

เรื่องและภาพโดย ทีมงาน Vacationist

ผมรู้จักจังหวัดอุทัยธานี ครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีที่แล้วตั้งแต่สมัยยังเป็นหนุ่มน้อย รู้จักเพราะรุ่นน้องชวนไปเดินป่าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักอุทัยธานีผ่านชื่อของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้

สำหรับจังหวัดอุทัยธานีเองเป็นจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง แทบทุกคนมองว่าเป็นแค่ทางผ่านไปยังภาคเหนือตอนบนหรือลงมายังภาคกลาง แต่จริงๆ แล้วที่นี่มีอะไรน่าสนใจมากมาย ไม่เพียงแต่ธรรมชาติที่สมบูรณ์เท่านั้น ยังมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี รวมไปถึงสินค้าพื้นบ้าน ที่น่าสนใจอีกมากมาย ตามผมไปรู้จักอุทัยธานี ให้ชุ่มฉ่ำหัวใจกัน

ทำความรู้จักอุทัยธานี
“เมืองพระชนกจักรี” เป็นประโยคแรกของคำขวัญจังหวัดอุทัยธานี เพราะตามหลักฐานจากพระราชหัตถเลขาระบุว่า บ้านสะแกกรังหรือจังหวัดอุทัยธานีวันนี้ คือ ถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

ทางจังหวัดอุทัยธานีได้มีการริเริ่มโครงการสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมชนกขึ้นที่เทือกเขาสะแกกรังพร้อมกับขอใช้รูปพลับพลาอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นตราจังหวัดอุทัยธานีจนทุกวันนี้ บริเวณที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกแห่งรัชกาลที่ 1

อยู่ภายในอาณาบริเวณเดียวกันกับวัดสังกัสรัตนคีรี วัดคู่บ้านคู่เมือง บนยอดเขาสะแกกรังที่นอกจากมีพลับพลาอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระปฐมบรมชนก

ด้านในวิหารของวัดยังมีประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญอย่าง “พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์” หรือ “หลวงพ่อมงคล”

และที่นี่เองเรายังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบของเมืองอุทัยธานีได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

วัดแจ้ง

สำหรับพื้นที่ศึกษาประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาของเมืองอุทัยธานีที่น่าสนใจมีหลายจุดอย่างเช่นบริเวณบ้านอุทัยธานีเก่า อ.หนองฉาง ซี่งเป็นที่ตั้งของเมืองอุไทยธานีเก่า

วัดแจ้ง

ที่นี่มีโบราณสถานเก่าสมัยอยุธยาตอนปลายหลงเหลืออยู่ เช่น วัดแจ้ง วัดหัวเมือง (มีสถานที่ที่สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองโบราณ และมีเสาหลักเมืองจำลองตั้งอยู่ภายในวัดด้วย)

วัดหัวเมือง
วัดหัวเมือง

เมืองโบราณบ้านการุ้ง ตำบลวังหิน เป็นแหล่งชุมชนโบราณที่มีผังเมืองเป็นรูปวงกลมรี เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 800 เมตร ประกอบด้วยคูนำกว้าง 20 เมตร ลึก 3 เมตร และคันดิน กว้าง 6 เมตร

จากการขุดค้นพบว่ามีเศษภาชนะดินเผา ขวานหิน เครื่องประดับ ระฆังหิน พระพุทธรูปปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ และซากเจดีย์อยู่ทางทิศใต้ของตัวเมืองไปประมาณ 3 กิโลเมตร

ปัจจุบันที่นี่เป็นที่ทำการของแขวงการทาง ส่วนด้านหน้าคูเมืองการุ้ง มีศาลเจ้าแม่เมืองการุ้งตั้งอยู่ริมทางหลวง เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป

อีกวัดที่ผมแวะกราบสักการะคือ วัดพิชัยปุรณาราม เดิมชื่อวัดกร่าง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา

ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชัยสิทธิ์ ปางมารวิชัย มีซุ้มประดับเรือนแก้วคล้ายพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก

เดิมเป็นวิหารที่มีทั้งกุฏิพระอยู่ในวิหารด้วย และมีแท่นอาสนะ สำหรับพระสงฆ์ทำพิธี แต่หลังจากบูรณะมีการก่อกำแพงปิดกุฏิพระ และปูพื้นถมแท่นอาสนะไป

ด้านหลังของวิหารยังมีเจดีย์สมัยอยุธยาหลงเหลืออยู่เยอะพอสมควร ด้านข้างมีโบสถ์ที่สร้างขึ้นแยกออกมามีภาพจิตรกรรมฝาผนังให้ได้ศึกษา

และยังมีพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากโบสถ์หลังเดิม แต่ด้วยแบบที่ก่อสร้างเตี้ยกว่าองค์พระ

จึงมีการเว้นช่องด้านหลังเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปพระประธานได้ เมื่อเข้ามาเราจะเห็นคานบังเศียรพระประธาน ดูแปลกตา

เรียนรู้ธรรมชาติ

จากเมืองโบราณบ้านการุ้งมาอีกประมาณ 10 กิโลเมตรก็ถึงอำเภอบ้านไร่มี “ต้นไม้ยักษ์” ที่มีคุณค่าต่อชุมชนอยู่ที่ บ้านสะนำ ตำบลบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่นั่นเอง

ต้นไม้ยักษ์ต้นนี้มีชื่อเรียกว่า ต้นผึ้ง หรือ ต้นเชียง อายุประมาณกว่า 300 ปี สูงเกือบ 30 เมตร

ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าหมากสูงใหญ่ทำให้ต้นไม้ยักษ์ได้รับความชุ่มชื่น ด้วยวิถีของธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัย

ความใหญ่ของต้นไม้นี้ ถ้าใช้คนโอบรอบต้นประมาณ 30 – 40 คน สำหรับการเข้าชมต้นไม้นี้ก็ไม่ยากเลยเพราะอย่ใูจกลางชุมชน ไปมาสะดวก ไม่ต้องเข้าไปถึงป่าลึกให้ลำบากอย่างที่คิด

ผมยังแวะสวนผลไม้ของ คุณสง่า สุพรรณคง เกษตรกรที่ปลูกพืชแบบผสมผสาน ในพื้นที่กว่า 40 ไร่

มีทั้งทุเรียน สับปะรด กล้วย สะตอ ต้นมัลเบอร์รี่ ต้นยาง ด้วยผลผลิตที่สวยงาม ปราศจากสารเคมี

ซื้อผลไม้สดๆ ราคาถูกติดไปรับประทานที่บ้าน หรือเป็นของฝากก็ถูกใจผู้รับแน่นอน เลือกสรรสินค้าท้องถิ่น

นอกจากมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แล้ว บริเวณอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี มีชื่อเสียงในเรื่องของผ้าทอชาติพันธุ์ลาวครั่ง

ซึ่งถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับการทอผ้าลาวครั่ง ผ้าทอลายโบราณอย่างละเอียด และสนุกสนาน ศูนย์ผ้าทอลายโบราณบ้านผาทั่ง ตำบลห้วยแห้ง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

ผ้าทุกชิ้นของที่นี่ไม่ว่าจะเป็น ผ้าซิ่น ผ้าขาวม้า ย่าม ผ้าโพกหัวนาค ล้วนแล้วแต่มีความละเมียดละไมและงดงาม การันตีด้วยรางวัลมากมาย

โดยเฉพาะรางวัลระดับโลกจากองค์การยูเนสโก ที่มอบให้แก่ให้ซื้อหาไปฝากเป็นของที่ระลึก ประทับใจผู้รับอย่างแน่นอน (ซื้ออีกแล้ว)

สุดท้ายสิ่งที่พลาดไม่ได้หากคุณมาอุทัยธานีคือ ล่องเรือแม่น้ำสะแกกรัง การเรือล่องแม่น้ำสะแกกรัง

มีบริการเรือหางยาว หรือจะเหมาลำเป็นเรือนำเที่ยวขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย พร้อมอาหารว่าง และผลไม้รับประทานขณะล่องเรือ มีวิทยากรคอยอธิบายรายละเอียดสองข้างทาง

ที่เมื่อได้รับฟัง คุณจะอมยิ้มและรักเมืองอุทัยธานีเพิ่มอีกเท่าตัวเลย ตลอดเส้นทางจะได้ชมทัศนียภาพความงามของชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยเรือนแพตลอดแนวชายฝั่งสองข้างทางริมแม่น้ำสะแกกรังที่มีมาหลายชั่วอายุคน

ชาวแพที่ดำเนินชีวิตด้วยการเลี้ยงปลาในกระชัง ปลูกผักในน้ำ จากเดิมกว่า 300 หลัง ปัจจุบันเหลือประมาณ 200 หลัง และทุกหลังมีทะเบียนบ้านถือกรรมสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย

ดูแล้วมีความสุขและชุ่มชื่นใจจริงๆ บริเวณใกล้ๆ กันผมแวะหาความรู้เพิ่มเติมและซื้อของฝาก ติดมือจากศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์

ซึ่งเป็นสถานที่ศึกษาและเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงาน กศน. เป็นหน่วยงานรับสนองงานตามแนวพระราชดำริในการพัฒนาศักยภาพของราษฎรในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี และจังหวัดใกล้เคียงให้มีอาชีพที่มั่นคง

โดยมุ่งเน้นภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมพื้นบ้าน เป็นทั้งศูนย์แสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้และศึกษาแก่ประชาชน ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ใครที่อยากหาความสงบและพักผ่อน สบายๆ จากกรุงเทพฯ มาอุทัยธานี ใช้เวลาไม่นานนัก มาค้นหาความหมาย ว่าทำไม “ดำนำสามผุด ก็ไม่หลุดอุทัยฯ” คุณสามารถเดินทางมาพักผ่อน ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ได้อย่างง่ายดาย แวะมาชุ่มฉำหัวใจที่อุทัยธานีแบบผมได้

ขอขอบคุณ
กองตลาดภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ททท. สำนักงานอุทัยธานี
โทรศัพท์ : 0 5651 4651-2 อีเมล : tatuthai@tat.or.th
เว็บไซต์ : www.tourismthailand.org/uthaithani

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0