Everything in AMSTERDAM (ทุกอย่างมีที่อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์)
Story by Editorial Staff
ภาพจักรยานที่มีจอดกันทั่วเมือง และปั่นผ่านหน้าไปมาคือ ภาพที่คุ้นตาของเมืองอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ชื่อเมืองได้ชื่อมาจากแม่น้ำอัมสเตล (Amstel) และดัม (Dam) ที่แปลว่าเขื่อน รวมกันเป็นเมืองอัมสเตอร์ดัม
เดิมพื้นที่ตั้งของเมืองเป็นเพียงพื้นที่ว่างและเป็นลุ่มหนองน้ำ ไม่เหมาะเเก่การอยู่อาศัยเลยจนในช่วงของศตวรรษที่ 13 ชนชาวดัตช์ ชาติผู้มีความชำนาญในเรื่องของน้ำจึงเข้ามาปรับเปลี่ยนพื้นที่บริเวณนี้ให้กลายมาเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองริมน้ำที่เต็มไปด้วยคลองนับร้อยสาย สวยงาม จนน่าจะติดอันดับต้นๆ ของเมืองที่มีคลองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้
อัมสเตอร์ดัมเหมาะกับผู้คนทุกแนวไม่ว่าคุณจะเป็นแนวสุขภาพที่สามารถเดินชมเมืองได้ทั้งวัน แนวพิพิธภัณฑ์ ที่รักจะเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ ศิลปะหรือแนวจับจ่าย ปาร์ตี้ สังสรรค์ ที่อัมสเตอร์ดัมแห่งนี้ มีทุกสิ่งให้ทุกท่านอย่างแน่นอน
เริ่มต้นรู้จักอัมสเตอร์ดัม
จากกรุงเทพฯ มีสายการบินที่แวะพัก หรือจะบินตรงสู่ท่าอากาศยานสคิปโฮลอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam Airport Schiphol) และใช้เวลาเพียง 17 นาทีเท่านั้น จากสนามบินคุณสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่ใจกลางเมือง ที่สถานี Amsterdam Central Station ซึ่งในภาษาดัตช์จะใช้คำว่า Amsterdam Centraal
สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอัมสเตอร์ดัม ที่นี่ผู้คนเดินทางผ่านไปมาถึง 162,000 คนต่อวัน เพราะนอกจากจะเป็นย่านรถไฟแล้วยังเป็นจุดจอดรถบัส รถราง และมีท่าเรือที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อเดินทางยังสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ได้อย่างง่ายดาย
ที่สำคัญอีกอย่างคือมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว I Amsterdam Visitor Centre ตั้งอยู่ ไปตั้งต้นหาข้อมูลและเริ่มต้นทำความรู้จักกับอัมสเตอร์ดัมกันได้
ได้ข้อมูลแล้ว เราเริ่มต้นเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังจัตุรัสดัม (Dam Square) ย่านท่องเที่ยวหลักที่เป็นจุดศูนย์รวมของชาวดัตช์ เดินจากสถานีรถไฟไปประมาณ 7 นาทีเท่านั้น กลางจัตุรัสก็จะมีผู้คนมากมาย ทั้งกรุ๊ปทัวร์ที่มาอธิบายสถานที่ท่องเที่ยวโดยรอบกัน นักเดินทางที่บ้างก็กำลังมองหาที่พัก บ้างก็กำลังเดินหาของฝาก บ้างก็กำลังมาหาซื้อทัวร์สำหรับล่องเรือชมเมือง ราคาประมาณ 20 ยูโร เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักที่หากมาอัมสเตอร์ดัมแล้วควรลองสักครั้ง
สำหรับบางคนก็แวะมาถ่ายรูปและเก็บบรรยากาศความสุขที่กระจายอยู่รอบๆ เช่นพวกเราทางฝั่งตะวันตกของจัตุรัสที่โดดเด่นเลย คือพระราชวังอัมสเตอร์ดัม (Royal Palace Amsterdam) เป็นพระราชวังที่มีความเก่าเเก่เป็นอย่างมากหนึ่งในสามของพระราชวังในเนเธอร์เเลนด์ที่ควีนเบียทริกซ์ทรงงานราชการต่างๆ ตลอดจนเอาไว้สำหรับต้อนรับเเขกบ้านเเขกเมือง เเละทำพิธีสำคัญต่างๆ
เดิมที่นี่เคยเป็นศาลาว่าการเมืองมาก่อน ต่อมาในช่วงของศตวรรษที่ 17 ตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสโดยพระเจ้าหลุยส์ โบนาปาร์ต (น้องชายของจักรพรรดินโปเลียน) เข้าปกครองและเปลี่ยนที่นี่เป็นวังและทำการตกแต่งห้องต่างๆ ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสหมดอำนาจการปกครองเนเธอร์แลนด์มีกษัตริย์เป็นของตนเอง ที่นี่จึงใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์เนเธอร์แลนด์อีกหลายพระองค์ จนในปี ค.ศ.1967 ควีนเบียทริกซ์ก็ทรงย้ายไปประทับที่กรุงเฮก เเละพระราชวังเเห่งนี้ก็ได้รับการปรับปรุงให้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงามเเละยอดนิยมอย่างมากในอัมสเตอร์ดัม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้องโถงที่มีเพดานโค้งสวยงาม พื้นที่ปูด้วยหินอ่อนขลิบลายทอง ประติมากรรมที่ละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าขนาดใหญ่ เป็นต้น
สำหรับคนที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง ด้านหลังของพระราชวังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อยู่ชื่อ Magna Plaza มีสินค้าหลากหลายชนิด ห้างแห่งนี้ตกแต่งสวยงามกลมกลืนไปกับพระราชวังมาก หรือถ้าชอบของแบรนด์เนม มีห้าง de Bijenkorf ที่ตั้งอยู่ตรงจัตุรัสดัมสแควร์ ก็มีสินค้าให้เลือกสรรไม่ใช่น้อย ถ้าเดินถัดไปทางสถานีรถไฟขึ้นเรื่อยๆ บนถนน Damrak ก็จะได้เห็นผู้คนและตึกรามบ้านช่องที่สวยงามเป็นอย่างมาก
ทั้งส่วนของคลองที่สร้างใน ค.ศ. 17 สะพานอีกกว่า 400 แห่ง ที่เชื่อมเกาะต่างๆ เข้าด้วยกันและสิ่งก่อสร้างที่สร้างใน ค.ศ. 19 นั้น อาคารมากกว่า 7,000 หลังได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก โดยในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่กว่า 4 ล้านคนเลยทีเดียว
เดินมาจากพระราชวังก็จะผ่านย่านช้อปปิ้ง จนมาถึงย่านที่เรียกว่าเป็นตลาดขายดอกไม้ของเมือง ชื่อว่า บลูเมนมาร์ค (Bloemenmarkt) ที่นี่มีความพิเศษอยู่ที่เป็นตลาดดอกไม้ลอยน้ำแห่งเดียวในโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 1862 ตั้งอยู่บนคลอง Singel อยู่ระหว่างจัตุรัส Koningsplein และ Muntplein
ที่นี่ไม่ว่าคุณจะหันไปมองทางไหนก็จะพบกับสีสันสวยสดละลานตาของดอกไม้หลายร้อยสายพันธุ์ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามฤดูกาล เช่นทิวลิปในฤดูใบไม้ผลิ กุหลาบในฤดูร้อน ถ้าคุณมาฤดูหนาวคุณจะเห็นต้นคริสต์มาสมาวางขายด้วย ที่นี่มีจำหน่ายเมล็ดเพื่อนำกลับไปปลูกที่บ้านได้ด้วย แต่โปรดสอบถามคนขายก่อนว่าคุณสามารถนำของที่คุณซื้อกลับประเทศหรือส่งไปรษณีย์ไปที่ประเทศของคุณได้หรือไม่
นอกจากดอกไม้แล้วร้านค้าบางร้านยังมีจำหน่าย ชุดกระเบื้อง Delfts Blauw อันเป็นเครื่องหมายการค้าของเนเธอร์แลนด์ รองเท้าไม้ระบายสี และชีสเนเธอร์แลนด์วางขาย ตลาดเปิดทำการทุกวันตั้งแต่วันจันทร์-เสาร์ เวลา 9.00-17.30 น. ส่วนวันอาทิตย์เปิดตั้งแต่ 11.00-17.30 น.
เที่ยวพิพิธภัณฑ์
ในเมืองอัมสเตอร์ดัมนอกจากพระราชวัง ห้างสรรพสินค้า โบสถ์และคลองต่างๆ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักแล้ว พิพิธภัณฑ์ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอัมสเตอร์ดัม ด้วยเวลาที่จำกัดเราจึงเดินทางไปได้เพียงพิพิธภัณฑ์หลักเท่านั้น
เริ่มจาก พิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งอัมสเตอร์ดัมหรือพิพิธภัณฑ์ไรจ์ (Rijksmuseum Amsterdamหรือ Rijksmuseum) สถานที่รวบรวมประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุต่างๆงานประติมากรรม หัตถกรรมรวมไปถึงงานศิลปะที่มีความล่ำค่าอย่างมากหลายชิ้นของจิตรกรชาวดัตช์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงศิลปินอีกมากมาย ที่สะสมมาตั้งเเต่ยุคทองของงานศิลปะ เเละคอลเลกชั่นของศิลปะเอเชีย มากกว่า 8,000 ผลงาน
ไม่ว่าจะเป็นผลงานของภาพวาด The Night Watch ผลงานชิ้นเอกของ Rembrandtvan Rijn หรือภาพวาด Milk Maid ของ Johannes Vermeerได้ถูกรวบรวมและจัดวางแสดงร่วมกับงานศิลปะอื่นๆ ให้เข้าชมกว่า 200 ห้องภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ โดยแบ่งเป็นชั้นๆ
อย่างชั้นศูนย์ ก็เป็นศูนย์ให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ ชั้นหนึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ มีผลงานของแวนโก๊ะบางชิ้นอยู่ชั้นนี้
ชั้นสองคนเยอะหน่อยเพราะมีผลงานของ Johannes Vermeer อยู่ ชั้นสามเป็นศิลปะร่วมสมัย ภายในสามารถถ่ายรูปและวิดีโอได้ แต่ห้ามใช้แฟลช ทางพิพิธภัณฑ์มีแอปพลิเคชัน (Application) ให้นักท่องเที่ยวได้ดาวน์โหลดดูแผนผังและมีแผนการท่องเที่ยวให้ด้วย ลองเสิร์ชหาคำว่า Rijksmusuem ดู เราว่าอ่านเข้าใจง่ายมาก
ที่นี่ก่อสร้างมามากกว่า 200 ปีตั้งแต่ปี 1800 และย้ายมายังที่ตั้งปัจจุบันในปี 1885 แต่เพิ่งเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมทั้งหมดเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2013 ที่ผ่านมา นอกจากชมตัวอาคารที่สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างกอทิกและเรเนซองส์ และงานศิลปะด้านในพิพิธภัณฑ์แล้ว
สิ่งหนึ่งหลายคนไม่พลาดหากได้แวะมาที่นี่ ก็คือการถ่ายรูปป้าย I amsterdam ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ มาเช้าๆ ก็ดี เพราะสายหน่อยคนจะเยอะ ใกล้กันนั้นทางด้านหลังของ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งอัมสเตอร์ดัม คือพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ (Van gogh Museum) พิพิธภัณฑ์นี้เปิดเมื่อปี 1973 และจัดแสดงภาพวาด ภาพระบายสีและภาพพิมพ์ของแวนโก๊ะซึ่งขอยืมมาจาก Van Gogh Trust ในปี 2013
แวนโก๊ะเป็นอีกหนึ่งศิลปินผู้ซึ่งขณะที่มีชีวิตนั้นไม่ได้รับการยอมรับเท่าไร ไม่พอยังเจอกับภาวะปัญหาทางจิตเวชอีก แต่ต้องยอมรับความสามารถในการวาดรูปของเขาจริงๆ สังเกตเห็นได้จากว่าที่นี่คลาคลำไปด้วยผู้คนที่นิยมชมชอบในแวนโก๊ะดังนั้นถ้าจะมาแนะนำให้จองล่วงหน้าไว้ก่อนและมาในช่วงเช้าแทนช่วงบ่ายที่มักจะมีทัวร์มาลงกัน ภายในจะมีภาพวาดมากกว่า 200ภาพ ที่บอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกของเขาในช่วงต่างๆ ของชีวิตเขาว่าเขาคิดอะไรอย่างไรผ่านทางภาพวาด
ไม่ว่าจะเป็นภาพ The Potato Eaters แสดงให้เห็นชีวิตที่ยากลำบากของคนยากจนในชนบทที่เขาอาศัยอยู่ในเวลานั้น The Café Terrace, Starry Night และงานศึกษาเกี่ยวกับดอกทานตะวันของเขา นอกจากชมภาพวาดแล้วสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแวนโก๊ะได้ที่ห้องสมุดพิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่ข้างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ แต่คุณสามารถซื้อโปสต์การ์ดและโปสเตอร์งานในคอลเลกชั่น รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่มีธีมเกี่ยวกับแวนโก๊ะและถ่ายภาพจากชิ้นนั้นได้นะ
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ ที่ผู้คนมากมายไม่แพ้กันกับที่พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ คือ พิพิธภัณฑ์บ้านแอนน์ แฟรงค์ (Anne FrankHouse) จากบันทึกของอันเนอลีสมารี “อันเนอ” ฟรังค์ (Annelies Marie –Anne Frank) หรือแอนน์ แฟรงค์ เด็กหญิงชาวยิว เกิดที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี บรรยายเหตุการณ์ขณะหลบซ่อนตัวจากการล่าชาวยิวในประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างที่ถูกเยอรมนีเข้าครอบครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นจุดที่ทำให้บ้านหลังนี้เป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางที่ต้องการเข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และชีวิตความเป็นอยู่ผ่านสถานที่ที่สาวน้อยแอนน์ แฟรงค์และครอบครัว ใช้ชีวิตอยู่ในห้องลับในบ้านนี้เพื่อหลบหนีการตามล่าของทหารนาซี
บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ริมคลอง Prinsengracht ที่ไม่ไกลจากเเหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างจัตุรัสดัมมากนัก ในตัวของบ้านนั้นจะมีการจัดเเสดงข้าวของเหมือนเมื่อครั้งที่ยังมีคนอาศัยอยู่รวมทั้งในส่วนของห้องใต้หลังคาที่เธอใช้ในการหลบซ่อนตัวจากนาซีถึง 2 ปี ด้วยกัน ส่วนอาคารทรงทันสมัยได้สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่จัดเเสดงเรื่องราวของเธอ รวมทั้งบันทึกต้นฉบับของจริงที่เป็นลายมือของเธอเองก็จัดเเสดงที่นี่ด้วย พิพิธภัณฑ์เปิดตั้งแต่ 09.00 – 21.00 น. แต่คนก็เยอะมาก ถ้าจะมาเที่ยวแนะนำมาช่วงเช้า หรือมาตอนคำๆ ประมาณ1 ทุ่ม หรือจองบัตรผ่านทางเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์จะสะดวกที่สุด เวลามาถึงก็เพียงแต่โชว์สำเนาของการจองนั้นให้เจ้าหน้าที่ดู ก็จะสามารถเข้าชมได้โดยทันทีผ่าน “ทางเข้าพิเศษ” โดยไม่ต้องเข้าแถวเหมือนคนอื่น การจอง 1 ครั้งสามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ถึง 14 ใบ
ปิดท้ายที่โรงงานผลิตเบียร์ไฮเนเก้นหรือพิพิธภัณฑ์ไฮเนเก้น (Heineken Experience) หลายคนอาจจะรู้กันมาบ้างแล้วว่า ต้นกำเนิดเบียร์ไฮเนเก้นอยู่ที่เมืองอัมสเตอร์ดัมแห่งนี้โดยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1864 ปัจจุบันไฮเนเก้นเป็นบริษัทผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก Heineken Experience เป็นทัวร์แบบศึกษาด้วยตนเองผ่านการแสดงนิทรรศการอินเทอร์แอกทีฟภายในอาคารที่เดิมเคยเป็นโรงหมักเบียร์ไฮเนเก้น โดยคุณจะเห็นว่าเจอราร์ด อาเดรียนไฮเนเก้น (Gerard Adriaan Heineken) ได้ปรับเปลี่ยนกิจการโรงเบียร์เล็กๆ ที่ชื่อว่า เดอ ฮอยเบิร์ก (De Hooiberg) มาผลิตเบียร์ระดับพรีเมียมตามสูตรที่ตนคิดค้นและวิจัย พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Heineken’s Bierbrouwerij Maatschappij’ หรือ Heineken® ได้อย่างไร
เราสามารถเดินชมไปได้ด้วยตนเองอย่างอิสระ จะได้เห็นขั้นตอนการผลิตเบียร์คุณจะได้เรียนรู้ว่าต้นฮ็อปและข้าวมอลต์บาร์เลย์ถูกเปลี่ยนให้เป็นเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อได้อย่างไร ได้เห็นห้องหมักเบียร์เก่าแก่ เห็นบาร์ซึ่งตกแต่งแบบโลกอนาคต ที่คุณจะได้ลิ้มรสเบียร์สดไฮเนเก้นฟรีสองขวด ก่อนปิดท้ายด้วยร้านของที่ระลึกเกี่ยวกับไฮเนเก้นที่น่ารักมากมาย แม้แต่คนที่ไม่ดื่มเบียร์ ก็จะได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และขั้นตอนการผลิต รวมไปถึงความสนุกสนานของกิจกรรมด้านในอย่างแน่นอนบันเทิงเริงรมย์อาจจะขึ้นหัวข้อมาล่อแหลมไปนิด อย่างที่บอกอัมสเตอร์ดัมมีทุกสิ่งที่คุณต้องการ
ย่านสำหรับคนที่ชื่นชอบกินดื่มและปาร์ตี้สังสรรค์แล้วละก็ ขอแนะนำย่าน Leidseplein หรือ Leiden Square คือ จัตุรัสในใจกลางกรุงอัมสเตอร์ดัม เป็นอีกหนึ่งจัตุรัสที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ย่านนี้สมัยก่อนเคยเป็นถนนสายหลักของเมืองไลเดนปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งไปเรียบร้อย มีรถรางหลายสายมาตัดกันที่นี่ จึงมีการเปิดร้านค้าทั้งร้านขายของ ร้านอาหาร บาร์เครื่องดื่ม ตลอดจนความบันเทิงมากมายทั้งโรงละคร โรงภาพยนตร์ ดนตรี ตลก และการแสดงเรียงรายเต็มสองข้างถนน อย่างที่อาคาร Stadsschouwburg อาคารอิฐสีแดงแนวนีโอกอธิก ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าในจัตุรัสนี้ ก็จะมีการจัดแสดงหมุนเวียนเปลี่ยนไป ถัดออกไป คุณจะได้พบกับน้ำพุที่สร้างอย่างหรูหรา บาร์ และร้านอาหารของ Amsterdam American Hotel ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ประจำชาติในสไตล์อาร์ตเดโค
เดินต่อไปอีก 2-3 นาที ตรงจัตุรัสงานศิลปะ Max Euweplein จะเห็นกระดานหมากรุกขนาดเท่าคนจริง ในช่วงกลางวันของฤดูร้อนจะเห็นผู้คนออกมาสังสรรค์ กิน ดื่มและรื่นรมย์ไปกับบรรยากาศ ส่วนในฤดูหนาว พื้นที่ของจัตุรัสแห่งนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง กลายเป็นลานสเก็ตขนาดใหญ่ ให้ทุกคนได้มาสนุกสนานกันส่วนในยามค่ำคืนที่นี่บาร์และผับบริเวณนี้ก็แสนจะครึกครื้น เปิดเกือบตลอดทั้งคืน
แต่สำหรับย่านกลางคืนที่ขึ้นชื่อของอัมสเตอร์ดัมที่สุดคงหนีไม่พ้นย่านโคมแดง (Red Light District) อันเก่าแก่ของกรุงอัมสเตอร์ดัมมีชื่อว่า De Wallen (ทำนบกั้นน้ำ) ซึ่งมีอยู่สี่แห่งและก่อเกิดเป็นย่านนี้ เนื่องด้วยการค้าประเวณีถือเป็นอาชีพถูกกฎหมายในประเทศเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นการให้บริการแบบนี้เปิดเผย ในช่วงกลางวันบริเวณนี้ก็เป็นถนนโรยกรวด คาเฟ่สบายๆ ปกติ แต่พอพระอาทิตย์ลับข้ามฟ้าโคมไฟสีแดงก็จะถูกเปิดพร้อมทั้งผู้หญิงที่ทำอาชีพด้านนี้ก็จะออกมานั่งที่หน้าต่างกระจกพร้อมกับชุดที่น้อยชิ้น
เปิดเผยขนาดที่บางคนจะมีการยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าเชื้อเชิญผู้ที่ผ่านไปมาแม้ว่าชาวเมืองที่นี่จะเดินผ่าน De Wallen เหมือนเป็นเพียงอีกย่านหนึ่งในเมืองเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากมักจะอดไม่ได้ที่จะต้องอ้าปากค้างไปกับภาพสาวๆ นุ่งน้อยห่มน้อยในหน้าต่างบานเล็กใต้โคมไฟสีแดงนั้น หญิงสาวนับร้อยจากหลายเชื้อชาติพยายามเสนอบริการของตน ร้านเซ็กซ์ช็อป พิพิธภัณฑ์เรื่องทางเพศ และการแสดงโชว์อีโรติกใต้แสงนีออน ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่อยากรู้อยากเห็นแต่ก็อดที่จะเขินอายไม่ได้ ขอเตือนไว้ก่อนว่า โชว์เหล่านี้เปิดเผยจนแทบจะไม่เหลือให้จินตนาการ กว่า 500 ตู้
นอกจากนี้ยังมีร้านค้าที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับเซ็กซ์ รวมไปถึงกัญชาที่ถูกกฎหมายแต่มีการควบคุมตามกฎหมาย ถ้าอยากรู้ร้านคาเฟ่ที่ให้บริการลองหาคำว่า Coffeeshop ดู เมื่อการค้าประเวณีเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ดังนั้น ไม่แปลกที่จะเห็นนักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชมย่านนี้ได้ราวกับเป็นย่านท่องเที่ยวอื่น แต่มีจุดที่สำคัญคือ ห้ามถ่ายรูปบุคคลเฉพาะเจาะจงโดยเด็ดขาด สามารถเพียงเก็บภาพคนบนถนนได้เท่านั้น แม้ว่าจะมีการตรวจตราอย่างเข้มงวดของตำรวจ แต่ปัญหาอาชญากรรมทั้งการล้วงกระเป๋า ฉกชิงวิ่งราว คนขอทาน คนติดยา ซึ่งมักจะมุ่งเล็งมาที่นักท่องเที่ยว ดังนั้นหากจะมาเดินย่านนี้ควรระมัดระวังตัวเป็นอย่างมากเฉพาะในเมืองอัมสเตอร์ดัมมีที่ท่องเที่ยวมากมายหลากรูปแบบที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทุกฤดูกาล หากคุณมีเวลา สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวที่ใกล้เคียงได้อีก อย่างเช่น สวนเคอเคนฮอฟ (Keukenhof Garden) เมืองลิเซ่ (Lisse) ที่ขึ้นชื่อเรื่องเทศกาลดอกทิวลิป ดังนั้นควรเผื่อเวลาเยอะ ถ้าอยากดื่มดำไปกับเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้
ช่วงเวลาที่ดีในการไปอัมสเตอร์ดัม เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เป็นช่วงที่ดอกทิวลิปบาน เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่หนาวมาก กลางวันยาวนาน ทำให้เที่ยวได้มากขึ้น เดือนมิถุนายนถึงกันยายน กลางวันยาวแต่ฝนจะตกชุก เหมาะกับการท่องเที่ยวในร่ม เช่น การชมพิพิธภัณฑ์ เดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ กลางวันสั้นและหนาวสิ่งที่ไม่ควรพลาด อัมสเตอร์ดัมมีกิจกรรมที่ให้ทำมากมาย
หนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดและเป็นกิจกรรมยอดฮิต คือ การล่องเรือเพื่อชมบรรยากาศและสถาปัตยกรรมอันสวยงามของเมือง
อีกอย่างไม่ควรพลาดคือ ชีส (Cheese) ของที่นี่ เพราะประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีชื่อเสียงด้านนมและชีสเป็นอย่างมาก
ในตัวเมืองอัมสเตอร์ดัมมีร้านขายชีสมากมาย หลากหลายรูปแบบรสชาติและสีสันกัน
และอย่าลืมลองชิม Stroopwafels (SyrupWaffles) วาฟเฟิลแผ่นบางสอดไส้ไซรัปรสหวานหอมกลิ่นเครื่องเทศขนมกินเล่น และนับได้ว่าเป็นของฝากอันดับหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ ที่น่าลองและซื้อหา