Small & Beautiful in Liechtenstein
Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
เมื่อบอกเพื่อนว่า “อยากไปเที่ยวลิกเตนสไตน์” ก็ได้คำตอบกลับมาว่า “ไปทำไม ไม่มีอะไรเลย” อาจเป็นเพราะคำว่า “ไม่มีอะไรเลย” นี่แหละ ที่เป็นแรงจูงใจให้ฉันแพ็กกระเป๋าออกเดินทางไป ลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein) หนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เพราะฉันเชื่อว่าประเทศนี้มันต้องมีอะไรดีๆ บ้าง
ประเทศลิกเตนสไตน์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ราชรัฐลิกเตนสไตน์” (Principality of Liechtenstein) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลและถูกล้อมไว้ทุกๆ ด้าน หรือที่เรียกว่า Doubly Landlocked Country ประเทศนี้ซ่อนตัวอยู่ระหว่างสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียในเขตเทือกเขาแอลป์
ลิกเตนสไตน์มีพื้นที่ทั้งหมดเพียง 160 ตารางกิโลเมตร ระยะทางจากเหนือจรดใต้แค่ 25 กิโลเมตร (หรือแค่จากสยามไปสนามบินดอนเมือง) และมีประชากรแค่ 37,000 คน เท่านั้นเอง แต่กลับเป็นประเทศที่ร่ำรวยและมีผลิตภัณฑ์หรือรายได้รวมต่อประชากรสูงเป็นอันดับสองของโลก
โดยรายได้หลักส่วนหนึ่งของประเทศที่นอกเหนือ จากการท่องเที่ยวและการจำหน่ายดวงตราไปรษณียากร คือการเป็นประเทศที่มีการเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ ลิกเตนสไตน์จึงเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนนอกประเทศที่สำคัญของยุโรป
Vaduz…The last Monarchy in the heart of the Alps (วาดุซ เมืองหลวงระบอบกษัตริย์สุดท้ายใจกลางเทือกเขาแอลป์)
การเดินทางมาเยือนลิกเตนสไตน์ ตั้งต้นจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นแสนสะดวก โดยนั่งรถไฟมาลงที่เมืองซาร์กันส์ (Sargans) แล้วนั่งรถบัสต่อไปยังเมืองวาดุซ (Vaduz) เมืองหลวงของประเทศลิกเตนสไตน์ ที่นับเป็นเมืองหลวงที่เกือบเล็กที่สุดในโลกด้วย เมื่อเข้ามาในเขตเมืองวาดุซ
สิ่งที่สังเกตเห็นได้ง่ายจากทุกมุมของเมืองก็คือ ปราสาทวาดุซ (Vaduz Castle หรือ Schloss Vaduz) ปราสาทเก่าแก่ ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนหน้าผาบนภูเขาเหนือเมืองวาดุซ และมีฉากหลัง เป็นภูเขาสูงขึ้นไปอีก เป็นหนึ่งในปราสาทหลายแห่งที่หลงเหลือจากยุคกลางที่อยู่ในลิกเตนสไตน์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของประเทศเล็กๆ แห่งนี้
ก่อนขึ้นไปชมปราสาทขอแวะเดินเล่นชมเมือง ด้านหน้ามหาวิหารวาดุซ (Vaduz Cathedral หรือ Cathedral of St. Florin) เป็นจุดเริ่มต้นของถนน Stadtle ถนนคนเดินซึ่งถือเป็นถนนสายหลักของเมือง เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางราชการหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น รัฐสภา ศาลาว่าการเมือง พิพิธภัณฑ์มากมาย รวมทั้งเป็นย่านท่องเที่ยวที่มีร้านอาหาร ร้านค้า ศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยว เรียกได้ว่ารวมแทบทุกอย่างไว้บนถนนสายสั้นๆ แห่งนี้
ลิกเตนสไตน์นั้นแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ว่ามีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง
ที่โดดเด่นได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (Museum of Fine Art) ที่รวบรวมผลงานชิ้นเอกของโลกไว้มากมาย
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (National Museum) ที่มีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ต่างๆ ของประเทศและประวัติศาสตร์ธรรมชาติผ่านกาลเวลา
พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากร (Postage Stamp Museum) ที่จัดแสดงแสตมป์หายาก เอกสารทางประวัติศาสตร์ เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับประวัติกิจการไปรษณีย์ของประเทศ
เมื่อเดินมาเกือบสุดถนน Stadtle ตรงข้ามกับศาลาว่าการเมือง จะมีทางเดินขึ้นไปยังปราสาทวาดุซ ใช้เวลาเดินประมาณ 15-20 นาที ได้ออกกำลังกายและได้ชมวิวเมืองไปในตัวด้วย อีกวิธีหนึ่งคือการขับรถขึ้นไป มีลานจอดรถอยู่ไม่ไกลจากตัวปราสาท หากเดินขึ้นไประหว่างทางมีจุดชมวิว (Kanzeli)
ที่เราจะได้เห็นเมืองวาดุซในมุมกว้าง จากย่านร้านค้ากลางเมืองจะเห็นย่านหมู่บ้านชุมชนและพื้นที่ทำการเกษตร เลยไปถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำไรน์และภูเขาสูงในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เดินขึ้นไปอีกไม่ไกลจากจุดชมวิวก็ถึงปราสาทวาดุซที่มีอายุเก่าแก่กว่า 800 ปี นอกจากเก่าแก่ และเป็นโบราณสถานจากยุคกลางแล้ว
ปราสาทวาดุซยังมีความสำคัญคือ ปัจจุบันมีการใช้งานและเป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของเจ้าชายและราชวงศ์ผู้ปกครองรัฐลิกเตนสไตน์ (The Princely Family) และความเป็นราชรัฐนี่เองที่เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของประเทศนี้ ดินแดนระบอบกษัตริย์แห่งสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในประเทศแถบเทือกเขาแอลป์
ลงมาจากปราสาท ฉันไปเดินเล่นต่อเลียบแม่น้ำไรน์ บนถนนสายเล็กๆ ที่ทอดยาวขนานไปกับแม่น้ำเป็นเส้นทางให้ชาวเมืองออกมาเดินเล่นหรือปั่นจักรยาน
อีกฝั่งของแม่น้ำคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่นี่มีสะพานไม้ไว้ใช้สำหรับสัญจรข้ามแดน
บรรยากาศแถวนี้ยังเต็มไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรม แม้จะมีพื้นที่เพาะปลูกน้อย แต่พื้นที่เพาะปลูกอุดมสมบูรณ์ นับเป็นเมืองกลางขุนเขาที่น่ามาลองใช้ชีวิตแบบใกล้ชิดธรรมชาติดูสักครั้ง
Malbun…Little and Beautiful (มัลบุน หมู่บ้านสวยกลางหุบเขา)
พื้นที่สองในสามของประเทศลิกเตนสไตน์เป็นภูเขา ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสำหรับการเล่นสกีในฤดูหนาวและการเดินเขาในช่วงฤดูร้อน คนชอบเดินเขาอย่างฉันจึงไม่พลาดที่จะหยิบรองเท้าเดินเขามาที่นี่ด้วย จุดหมายอยู่ที่หมู่บ้านกลางหุบเขามัลบุน (Malbun)
โดยสามารถนั่งรถบัสจากเมืองวาดุซ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที รถบัสค่อยๆ ไต่ขึ้นภูเขาสูงมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองมัลบุน หมู่บ้านเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยหุบเขาตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีรางวัลจากสภาการท่องเที่ยวแห่งสวิตเซอร์แลนด์ ว่ามีรีสอร์ตที่เหมาะสำหรับครอบครัวในการเล่นสกีฤดูหนาว
ที่นี่จึงมีสกีรีสอร์ตมากมาย รวมทั้งเป็นศูนย์รวมกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง ที่มัลบุนนี้ยังมีเส้นทางเดินเขาให้เลือกหลายระดับตามความยากง่าย
สำหรับคนที่มีเวลาไม่มาก อาจจะเลือกขึ้นเคเบิลคาร์ไปบนยอดเขามัลบุน แต่ฉันมีเวลาพอสมควรจึงเลือกที่จะลองเดินเขาที่นี่ เลือกเส้นทางความยากระดับปานกลางแต่รับประกันโดยชาวท้องถิ่นว่าวิวสวยระดับสี่ดาว เส้นทางนั้นคือ Malbun – Schönberg ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 4-5 ชั่วโมง
ช่วงที่ฉันเดินทางไปเป็นต้นฤดูร้อน เทศกาลเดินเขาเพิ่งเริ่มต้น ไม่คึกคักหรืออ้างว้างจนเกินไป เส้นทางเริ่มต้นจากตัวเมืองมัลบุน ผ่านหมู่บ้านกระท่อมไม้ชาร์เลต์ ผ่านป่าสนที่เพิ่งเริ่มแตกใบเขียว เส้นทางช่วงแรกค่อนข้างเดินสบาย บรรยากาศเทือกเขาแอลป์แห่งลิกเตนสไตน์สวยงามไม่แตกต่างจากประเทศใกล้เคียง
แต่ประสบการณ์ที่ฉันไม่เคยเจอในการเดินเขาประเทศอื่นๆ ในดินแดนเทือกเขาแอลป์ก็คือ การจราจรติดขัดบนเส้นทางเดินเขา ที่มีฝูงวัวเจ้าถิ่นเดินชิลเรียงแถวยาวต่อกันบนเส้นทางเดินแคบๆ คิดจะเดินฝ่าฝูงวัวเข้าไป ทำตัวลัดเลาะซอกแซกเหมือนพี่วินมอเตอร์ไซค์ในกรุงเทพฯ ยามรถติด ก็เกรงว่าจะถูกเจ้าถิ่นเตะหรือชนกระแทกจนตกเขาไปเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้
ผู้มาเยือนอย่างเราก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมค่อยๆ หาช่องทางเดินเลาะฝ่าฝูงวัวเข้าไป คอยสบตาบอกเจ้าถิ่นว่า “ฉันมาดีนะจ๊ะ อย่าทำอะไรฉันเลย” ใช้เวลากว่า 20 นาทีกว่าจะฝ่าวิกฤตการณ์ traffic jam กลางหุบเขาไปได้ สนุกและลุ้นดีจริงๆ
เดินต่อมาอีกไม่นานก็มาถึงบริเวณ Sassförkle บริเวณนี้ค่อนข้างหวาดเสียว เพราะต้องค่อยๆ เดินไต่ขึ้นภูเขาหินกรวดที่ค่อนข้างชันและเป็นทางเดินแคบๆ ริมเขา ฉันยอมรับว่าขาสั่นเพราะกลัวลื่นตกเขา จะก้าวขาไปทีละก้าวแสนยากเย็น เห็นเด็กน้อยสองสามคนด้านหน้า
ค่อยๆ เดินไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ได้แต่อิจฉาและคิดว่าเด็กๆ แถวนี้นี่เกิดมาเพื่อกิจกรรมเดินเขาและเล่นสกีจริงๆ ฉันใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงก็มาถึงยอด Schönberg ซึ่งเป็นเนินเขาที่มีลานหญ้าให้ได้นั่งพัก
นักเดินเขาทั้งหลายหยุดพักทานอาหารกลางวันกันที่นี่ แซนด์วิชรสจืดชืดก็อร่อยได้เมื่อมีวิวภูเขาอลังการเป็นกับแกล้มอยู่รอบตัว ได้เห็นยอดเขา Säntis ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในระยะไกลแต่ชัดเจนและสวยงามมาก
ฉันนั่งพักเก็บบรรยากาศที่นี่อยู่เกือบชั่วโมง ก็ตัดสินใจเดินกลับลงเขาอีกเส้นทางหนึ่งที่อาจจะใช้เวลานานกว่า แต่จะได้ชมวิวที่แตกต่างไป ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงเพื่อเดินลงมาถึงหมู่บ้าน Steg ก่อนจะต่อรถบัสกลับไปยังเมืองมัลบุน และนั่งรถกลับเมืองวาดุซอีกที นับเป็นวันที่เหนื่อย สนุก ตื่นเต้น แต่คุ้มแสนคุ้ม
การเดินทางครั้งนี้สอนให้รู้ว่า สถานที่ที่ไม่มีอะไรสำหรับคนอื่น อาจจะมีอะไรมากมายสำหรับเราก็ได้ อย่าเพิ่งตัดสินใจจนกว่าจะได้ไปเห็นไปเรียนรู้ไปสัมผัสประสบการณ์นั้นด้วยตัวเอง ลิกเตนสไตน์สำหรับฉันมีเสน่ห์และสวยงามมาก หากมีโอกาสมาเที่ยวยุโรปแถวประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย หรือเยอรมนี อยากแนะนำให้เพิ่มลิกเตนสไตน์ ประเทศจิ๋วแต่แจ๋วแห่งนี้เข้าไปในแผนการเดินทางด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศลิกเตนสไตน์ https://tourismus.li/en/