Classic..Portugal
Story & Photo by Kanjana Hongthong
ถ้าใครเดินทางจนมาถึงจุดที่ว่า ยุโรปช่างน่าเบื่อไปซะหมด ดูแล้วก็ละม้ายคล้ายกัน ขอแนะนำให้เบนเข็มไปสำรวจประเทศโปรตุเกส (Portugal) บางทีคุณอาจจะพบว่า ที่นี่แหละที่ทำให้มุมมองต่อยุโรปของคุณเปลี่ยนไป
ยิ่งเมื่อได้สัมผัสกับลิสบอน (Lisbon) จะยิ่งเห็นด้วยเลยว่า เมืองนี้ไม่ธรรมดา ลิสบอนเป็นเมืองน่าเที่ยวที่ต้นทุนค่าทำความรู้จักยังไม่แพงจนเกินไป
ดีที่สุดนี่คือเมืองที่เปรอะเปื้อนไปด้วยประวัติศาสตร์ อันยาวนานกว่า 800 ปี ลิสบอนผ่านทุกข์สุขมานับครั้งไม่ถ้วน เจอทั้งแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงและสงครามเล่นงาน สถานที่ท่องเที่ยวแทบทุกแห่งในลิสบอน จึงล้วนแต่มากมายไปด้วยที่มาที่ไป
มุมที่จะบอกเล่าอดีตของลิสบอนได้ดีที่สุดอยู่แถวย่านเบเลม (Belem) ที่นั่นมีอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (Monument of Discoveries) ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการค้นพบโลกใหม่ของโปรตุเกส
แท่งคอนกรีตหน้าตาคล้ายด้านหน้าของเรือ เป็นสิ่งก่อสร้างที่อายุประมาณ 50 ปีเท่านั้นเอง ชาวโปรตุเกสยกย่องสรรเสริญพวกนักเดินเรือในอดีตเอามากๆ เมื่อตอนที่เขาเฉลิมฉลองครบรอบ 500 ปีการสิ้นพระชนม์ ของพระเจ้าเฮนรี่ เลยสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้น
ซึ่งรูปปั้นที่หันหน้าออกสู่แม่น้ำทากัส หน้าสุดเป็นกษัตริย์เฮนรี่ อีก 20 กว่าคนข้างหลังมีทั้ง นักเดินเรือ นักแผนที่ นักคณิตศาสตร์ ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ และหมอสอนศาสนา
ตรงลานกว้างหน้าอนุสาวรีย์เป็นแผนที่โลกหินอ่อนที่บอกเล่าถึงการเดินทาง เพื่อค้นพบแผ่นดินทั่วโลกของโปรตุเกสตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
เดินเลียบแม่น้ำทากัสไปเรื่อยๆ มีอนุสรณ์สถานอันเก่าแก่ ที่ฉายให้เห็นภาพความเกรียงไกรในอดีตของลิสบอนได้เป็นอย่างดี ที่นั่นคือหอเบเลม (Belem Tower) ที่ในยุคแห่งการค้นพบ บรรดานักเดินเรือรวมถึงวาสโกดากามาใช้ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นออกเดินเรือ
แต่มุมที่ผู้มาเยือนลิสบอนทุกคนจะมุ่งหน้าไปหาคือวิหารเจอโรนิโม (Jeronimo Monastery) ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของกษัตริย์ จะเรียกว่าเป็นอารามหลวงคงไม่ผิด
นอกจากความเข้มขลังที่เป็นคุณสมบัติประจำตัวของโบสถ์แล้ว ยังตกแต่งเอาไว้อย่างวิจิตรตระการตา เมื่อปี 1983 องค์การยูเนสโกมอบสายสะพายมรดกโลกให้
แต่ดูเหมือนว่าคนที่เข้ามาภายในโบสถ์ จะตามหามุมที่เป็นศพของวาสโกดากามา (นักสำรวจชาวโปรตุเกสพร้อมลูกเรือ 265 คน เป็นชาวยุโรปคณะแรกที่ค้นพบอินเดีย)
โบสถ์แห่งนี้อายุมากกว่า 500 ปีแล้ว แต่ยังคงความงดงามเอาไว้อวดแขกเหรื่อของลิสบอนได้สบายๆ นั่นก็เพราะตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 1755
สิ่งปลูกสร้างในลิสบอนส่วนใหญ่ถูกแรงสั่นสะเทือน เขย่าจนพังราบเป็นหน้ากลอง แต่วิหารเจอโรนิโมเป็นศาสนสถานที่กลับรอดพ้นจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงครั้งนั้นไปได้
นั่นจึงทำให้ชาวโลกได้มีโอกาสเห็นความงดงามแปลกตา ที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ (Manueline) อันเป็นเอกลักษณ์ของวิหารแห่งนี้
สถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์คือการอวดลวดลายที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินเรือไว้ตามซุ้มประตู หน้าต่าง และหัวเสา
ความจริงลิสบอนยังมีย่านเมืองเก่า มีคาเฟ่ให้นั่งแฮงเอาต์เยอะมาก แต่ผู้คนมักไปป้วนเปี้ยนแถวจัตุรัสรอสซิโอ
ยังมีย่าน อัลฟาที่พอขึ้นลิฟต์ซานตา จัสตา (Elevador de Santa Justa) จะได้เห็นวิวเมืองเก่าลิสบอน
ซุ้มประตูชัย ตรงออกไปคือลานจัตุรัส Praça do Comérico มีอนุสาวรีย์ King José I ตั้งอยู่กลางจัตุรัส
ทำความรู้จักกับลิสบอนกันไปแล้ว โปรตุเกสยังมีเมืองปอร์โต (Porto) ที่นั่งรถไฟจากลิสบอนแค่ 3 ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟเซา เบนโตตั้งอยู่ใจกลางเมือง
ปอร์โตเองก็มีความสวยประดับประดาเมืองไม่น้อยไปกว่าเมืองหลวงของโปรตุเกสเลยด้วยซ้ำ ชาวปอร์โตเขาออกจะภูมิใจที่แม้ความใหญ่จะเป็นรองลิสบอน
แต่ก็มีชื่อชั้นเป็นเมืองหลวงทางเศรษฐกิจของประเทศ และการที่ยูเนสโกให้รางวัลเมืองมรดกโลกเมื่อปี 1997 รวมถึงได้รับตำแหน่งเมืองหลวงทางวัฒนธรรมเมื่อปี 2001 แสดงว่าเรื่องความสวยงาม ปอร์โตก็ไม่เคยเป็นรองลิสบอน
มุมที่มีเสน่ห์ของปอร์โตคือย่านเมืองเก่า ย่านที่มีแต่อาคารบ้านเรือนโบราณ ถนนบางสายนี่อายุหลายร้อยปี บรรยากาศแบบดิบๆ เดิมๆ ยังคงมีถนนปูด้วยหินทอดไปบนเนินสูงต่ำ
เมื่อมาถึงย่านเมืองเก่า นักเดินทางมาตาม หามหาวิหารประจำเมือง วิหารแห่งนี้สร้างในศตวรรษที่ 12 แทรกตัวอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง ลักษณะจะเหมือนป้อมปราการซะมากกว่ามองจากบนวิหารจะเห็นแม่น้ำโดรูอย่างเต็มตา
หอคอยโบสถ์และหลังคาอาคารบ้านเรือนก็เห็นได้ชัดกว่ามุมไหนๆ ส่วนด้านในก็มีความสงบงามรอทุกคนอยู่ นอกจากวิหารประจำเมืองแล้ว ปอร์โตยังมีอีกโบสถ์หนึ่งที่นักท่องเที่ยวตามหากัน ที่นั่นคือโบสถ์เซนต์ฟรานซิส (St.Francis Church) โบสถ์แบบบาร็อกที่ทั้งโอ่อ่าและงดงาม
อีกมุมหนึ่งของเมืองปอร์โตที่มีเสน่ห์จัดจ้านคือย่านริเบยรา (Ribeira) มุมเลียบแม่น้ำที่ใครๆ ก็มาเดินเตร็ดเตร่กันแถวนี้
ยิ่งเป็นช่วงเย็นย่ำแล้วละก็คนเดินกันแน่นไปหมด และที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวปอร์โตคือ เรือที่แล่นอยู่ในแม่น้ำโดรูเขาเรียกว่า ราเบลอส
เรือท้องแบนที่มีไม้พายสองข้างและมีใบอยู่ตรงกลางลำเรือ เขามีไว้ใช้บรรทุกถังไม้ที่บรรจุไวน์ล่องไปตามท้องแม่น้ำ เย็นย่ำไปจรดค่ำคืนของทุกวัน
ริเบยราคือมุมเดียวในปอร์โตที่ควรจะพาชีวิตไปเดินโต๋เต๋อยู่แถวนั้น แล้วก็พบว่าปอร์โตไม่ได้สวยอย่างเดียว แต่โรแมนติกวายร้ายเลย ยิ่งยามดวงตะวันหย่อนตัวลงจมแม่น้ำ
พอข้ามสะพานหลุยส์ไปยืนฝั่งตรงข้ามกับเมืองเก่า แล้วมองย้อนกลับมาผ่านแม่น้ำโดรู เมืองเก่าที่ทอดตัวสูงต่ำไปตามเนินเขา ยามที่ถูกห่มด้วยแสงไฟจะงดงามระยิบระยับจับใจ ภาพความงดงามของปอร์โตที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะไม่เคยพร่าจางไปจากใจ
จากลิสบอนไปจนถึงปอร์โต ช่างกลมกล่อมไปด้วยรสชาติของความคลาสสิก เคล้าความโรแมนติก พูดเลยว่าเป็นยุโรปอร่อยๆ ชนิดที่คาดไม่ถึงเชียวละ
– จากกรุงเทพฯ ไปลิสบอน สายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์มีเที่ยวบินไปทุกวัน แวะเปลี่ยนเครื่องที่อิสตันบูล คลิกไปดูที่ www.turkishairlines.com
– จากลิสบอนไปปอร์โตมีรถไฟออกทั้งวัน คลิกไปเช็กตารางรถไฟได้ที่ www.raileurope.fr
– คนไทยไปเที่ยวหากมีวีซ่าเชงเก้นเข้าได้เลย แต่ถ้าไม่มียื่นขอวีซ่าได้ที่สถานทูตโปรตุเกส สอบถามที่ 0 2234 2123
– โปรตุเกสใช้เงินยูโร 1 ยูโรประมาณ 39 บาท